• วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    ไม่เคยคิดจะไปดูหนัง Snow White เวอร์ชั่นล่าสุด เพราะเบื่องานรีเมค รีบูตทั้งหลาย

    แต่เริ่มจะเปลี่ยนใจ

    เหตุเพราะมีคนต่อต้านหนังเรื่องนี้และนักแสดงเยอะมาก และเหตุผลการต่อต้านไม่ใช่ตัวหนัง

    เริ่มที่นักแสดงเป็น Snow White (Rachel Zegler) สวยสู้แม่มด (Gal Gadot) ไม่ได้ จึงไม่เข้าใจว่าแม่มดจะอิจฉาความสวยของสโนว์ไวท์ทำไม

    สงสัย self esteem ต่ำ

    ตามมาด้วยนักแสดง Rachel Zegler ด่ากวาดไปทั่ว เริ่มที่วิพากย์หนังการ์ตูน Snow White ต้นฉบับปี 1937 ในเชิงลบ

    ตามมาด้วยด่าทรัมป์และสาวกทรัมป์

    ส่วน Gal Gadot นักแสดงอิสราเอล ก็ถูกลากไปเกี่ยวกับสงครามที่กาซา

    Gal Gadot อยู่ฝ่ายยิว Rachel Zegler อยู่ฝ่ายปาเลสไตน์

    ตามมาด้วยความเบื่อหน่ายกระแส WOKE

    ข่าวร้อยละ 95 ไม่พูดเรื่องตัวหนัง ทำให้รู้สึกว่าผู้คนใช้อารมณ์มากจัง ทั้งที่ยังไม่ได้ดู

    ใครไปดูมาแล้วครับ ช่วยบอกด้วยว่าสมควรไปดูหนัง หรือดูฝ่ายค้านถล่มรัฐบาลดี

    ว.ล. 
    25-3-25

    0
    • 0 แชร์
    • 18
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    ทางเซนมีคำสอนว่า เมื่อชี้นิ้วไปที่พระจันทร์ ให้ระวังอย่าหลงคิดว่านิ้วคือพระจันทร์

    นิ้วไม่ใช่พระจันทร์

    พระเซนรูปหนึ่งมองว่าจิตที่สะอาดคือจิตที่ใสประหนึ่งกระจกเงา ไร้ฝุ่นจับ เป็นที่มาของโศลก

    กายนั้นคือต้นโพธิ์
    จิตคือกระจกเงา
    หมั่นเช็ดถูอยู่เสมอ
    อย่าให้ฝุ่นละอองลงจับ

    แต่ศิษย์วัดคนหนึ่งกลับมองไปถึงหัวใจของมันว่า จะสนใจฝุ่นไปไย ในเมื่อไม่มีกระจกเงาแต่แรก

    โพธิ์นั้นไม่มีต้น
    กระจกเงาก็ไม่มี
    สรรพสิ่งแต่แรกมาคือความว่างเปล่า
    ฝุ่นละอองจะลงจับบนสิ่งใด

    มองปัญหาผิดจุด ก็ไม่มีวันบรรลุธรรม!

    ปัญหาของบ้านเมืองหลายอย่างเกิดจากการมองปัญหาผิดจุด หรือมองในรายละเอียด แต่ไม่เห็นโครงสร้างของปัญหา

    เมื่อมองปัญหาผิดจุด ก็เสียเวลาและทรัพยากรแก้ไขผิดจุด

    ปัญหาต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดทุกข์ในชีวิตก็ต้องเริ่มที่การค้นเหตุของทุกข์ให้พบก่อน - สมุทัย

    สมุทัยค้นพบได้ด้วยการวิเคราะห์เท่านั้น

    การมองเห็นปัญหาจึงเป็นก้าวแรกของการแก้ปัญหา

    คนไข้คนหนึ่งบอกหมอว่า เขามีอาการเจ็บจี๊ดเมื่อใช้นิ้วกดหน้าผาก

    หมอถามว่า “แล้วเจ็บตรงไหนอีก?”

    “ที่ขมับ พอกดเข้าไป เจ็บแปล๊บ”

    หมอนึกในใจ อาจเป็นความบาดเจ็บที่ศีรษะ เดี๋ยวจะลองส่งไปทำ MRI แต่ควรถามเขาให้ถ่องแท้ก่อน

    “เจ็บที่ไหนอีก?”

    “ที่ชายโครงครับ กดแล้วเจ็บมาก”

    หมอตรวจศีรษะ ขมับ และชายโครงของเขา ไม่พบความผิดปกติใด ๆ คราวนี้หมอลองกดหน้าผาก ขมับ และชายโครงของคนไข้ทีละจุด ถามว่า “เจ็บไหม?”

    คนไข้บอกว่าไม่เจ็บ

    หมอส่งเขาไปเอ็กซเรย์สองสามจุด เมื่อผลออกมา คนไข้ถามว่า “ผมเป็นอะไรครับ มะเร็งสมอง หรือว่าไต หรือว่าตับ?”

    “เปล่า...” หมอบอกเรียบ ๆ “นิ้วคุณหักครับ”

    บางครั้งนาน ๆ ที นิ้วก็คือพระจันทร์!

    วินทร์ เลียววาริณ
    25-3-25

    จากหนังสือ ความสุขเล็ก ๆ ก็คือความสุข

    57 บทความกำลังใจสั้นและยาว ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 3.3 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
    หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว

    https://www.winbookclub.com/store/detail/165/ความสุขเล็ก%2520ๆ%20ก็คือความสุข 

    0
    • 0 แชร์
    • 17
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    อีกสามวัน

    0
    • 0 แชร์
    • 8
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    นักเขียนก็เหมือนคนทั่วไป มีปริมาตรสมองพอๆ กันคือราว 1,130 ลูกบาศก์เซนติเมตร

    พื้นที่เท่านี้บรรจุข้อมูลได้พอๆ กัน

    ดังนั้นเมื่อใช้ข้อมูลหนึ่งในสมองเขียนหนังสือไปแล้ว ก็ไม่มีทางเลือก ต้องเติมข้อมูลใหม่เข้าไป ไม่งั้นก็ไม่มีเรื่องให้เขียน

    การเติมข้อมูลมีสองทางเลือก

    หนึ่ง เขียนเสร็จเรื่องหนึ่ง ค่อยหาข้อมูลใหม่

    สอง หาข้อมูลตุนไว้เยอะๆ เหมือนสัตว์ที่กักตุนอาหารไว้สำหรับฤดูหนาว เมื่อเขียนเสร็จเรื่องหนึ่ง ก็จะมีข้อมูลสำหรับเรื่องใหม่ทันที นอนสต็อป!

    เอาละ ย้ำอีกทีว่า เรามีปริมาตรสมอง 1,130 ลูกบาศก์เซนติเมตร ก็เหมือนห้องเก็บของ เราจะเก็บอะไร เก็บอย่างมีระเบียบหรือยัดๆ เข้าไป ก็แล้วแต่เรา

    สมัยนี้เป็นโลกของข้อมูลเกลื่อน มีข้อมูลเยอะ แต่ไม่ค่อยมีคุณภาพ ดังนั้นหากเก็บพวกนี้เยอะๆ ถึงสมองจะเต็มไปด้วยข้อมูล ก็อาจไม่มีอะไรให้เขียน

    จะเป็นนักเขียนอาชีพหรือนักเขียนคุณภาพ ก็ต้องรู้จักคัดสรร ไม่ใช่มีอะไรก็ยัดเข้าหัวหมด มันเปลืองที่เก็บ

    เรื่องนินทาชาวบ้าน เรื่องทะเลาะกันในโชเชียล อย่าไปใส่ใจ เพราะกินพื้นที่สมอง ยิ่งใส่พวกนี้เข้าไปมาก สมองจะไม่เหลือที่เก็บข้อมูลสำหรับงานเขียน และไม่มีพื้นที่สำหรับขบคิดเรื่องใหม่ๆ

    เป็นนักเขียนต้องรู้จักเทน้ำชาออกจากถ้วยบ้าง โดยเฉพาะชาชืดที่ชืดชา

    เติมความรู้ใหม่ๆ เข้าไปมากๆ เพื่อเป็นต้นทุุนเวลาเขียน จะมีเกร็ดเรื่องราวให้เล่าได้มาก

    นี่เองที่ผมบอกแล้วบอกอีกว่า ทำไมเราต้องอ่านหนังสือหลากหลาย ทำไมต้องดูหนัง ทำไมต้องอ่านเรื่องที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับงานที่เราอยากเขียน

    มันเกี่ยวกันหมดนั่นแหละ อยู่ที่จะมองเห็นหรือไม่เท่านั้น

    ยิ่งหลากหลาย ก็ยิ่งมีเรื่องให้เขียนมากและเขียนกว้าง

    ผมใช้วิธีอ่านกว้างๆ ไม่ลงลึก ถ้าอ่านกว้างแล้วเห็นว่าไม่มีประโยชน์ ก็หยุด ไปอ่านเรื่องใหม่ทันที

    ถ้ามีประโยชน์หรือมองเห็นศักยภาพของมัน ก็อ่านลึก อ่านแล้วก็เก็บให้เป็นระเบียบ

    เก็บเป็นไฟล์ เรียงเรียบร้อย เวลาต้องการก็นำมาใช้ได้ทันที ที่ผมเคยบอกว่า ทำเป็นธนาคารไอเดีย

    ข้อมูลมีสามประเภท

    ข้อมูลประเภทที่ 1 คือข้อมูลดิบที่เราอ่านหรือได้ยินได้ฟังมา

    ข้อมูลประเภทที่ 2 มาจากภายในหัวเราเอง เรานึกขึ้นได้เอง

    ดังนั้นวันดีคืนดีเมื่อนึกสัจธรรมอะไรได้ คำพูดคมๆ สักประโยค ก็จดเอาไว้ เก็บไว้ในไฟล์ มันอาจยังไม่มีประโยชน์ในวันนี้ แต่มีศักยภาพที่อาจจะใช้ได้ในวันหน้า

    แล้วก็มาถึงข้อมูลประเภทที่ 3 คือข้อมูล 1+2

    เราอ่านข่าวหรือเรื่องราวบางอย่าง แล้วเราก็คิดต่อเติมเรื่อยเปื่อยต่อไปอีกขั้น กลายเป็นไอเดียใหม่ ยังไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไร แต่ดูเหมือนมีศักยภาพ ก็เก็บไว้ในไฟล์เช่นกัน

    วันดีคืนดี เราอาจจะโยง 1 - 2 - 3 ชุดนี้กับ 1 - 2 - 3 ชุดนั้น หรือ 1 - 2 - 3 ชุดโน้น กลายเป็นเรื่องที่ลงตัว

    นี่ก็คือการสร้างคลังข้อมูลที่ไม่มีวันเหือดแห้ง คิดอะไรไม่ออก ก็ไปที่ไฟล์ 1 - 2 - 3 จับมาคลุกๆ แล้วก็ได้ของมาขาย

    กระบวนการทำงานนี้ก็เหมือนหอคัมภีร์เส้าหลิน เก็บเคล็ดวิชาทั้งหลายไว้ในหอ ว่างๆ ก็นำมาใช้

    นักเขียนจึงเป็นหลวงจีนเฝ้าหอคัมภีร์ และโชคดีเจ้าสำนักอนุญาตให้เข้าไปอ่านได้

    ขึ้นกับว่าหลวงจีนเฝ้าหอจะอ่านคัมภีร์หรือจะเล่นโชเชียล

    วินทร์ เลียววาริณ
    24-3-25

    จากอีบุ๊ค #ปล่อยให้ตัวเลขอายุพาไป https://www.winbookclub.com/store/detail/225/ปล่อยให้ตัวเลขอายุพาไป 
    หรือ The Meb

    0
    • 0 แชร์
    • 22
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    เมื่อวานนี้ตัวเลขอายุของผมถูกปรับใหม่ เพิ่มอีกปี

    ปีหน้าก็เลข 7 แล้ว

    ผมต้อนรับการมาถึงของวัยชราได้ค่อนข้างดี แต่ไม่ชอบอยู่อย่างสองอย่าง หนึ่งคือปัญหาสุขภาพ

    อีกหนึ่งคืออาการย้ำคิดย้ำทำ

    อาการนี้คงเป็นเรื่องปกติของคนแก่ เพราะเมื่อเพื่อนผมหลายคนเล่าเรื่องให้ฟัง ก็เป็นเรื่องเดิมที่พวกเขาเคยเล่ามาก่อน ที่น่าขันคือท่าทางพวกเขาเล่าเหมือนกับว่าเล่าเป็นครั้งแรก

    คนอายุมากขึ้นก็คล้ายแผ่นเสียงเก่าที่ตกร่อง เล่นเพลงบางท่อนซ้ำไปซ้ำมา

    สมัยหนุ่มเคยได้ยินคนแก่บอกว่า “Getting old sucks.” ตอนนี้เข้าใจซาบซึ้งแล้วว่าเป็นยังไง

    อาการย้ำคิดย้ำทำหรือ Obsessive Compulsive Disorder (OCD) เป็นอาการหนึ่งเกี่ยวกับสมองที่เกิดขึ้นบ่อยกับคนอายุมาก

    มันเกิดขึ้นเพราะอะไร? คำตอบก็คือสมอง  อาการของ OCD แบ่งออกเป็นสองส่วนได้แก่ อาการย้ำคิด (obsession) กับอาการย้ำทำ (compulsion)

    อาการย้ำคิด (obsession) คือการคิดหมกมุ่นเรื่องเดิมซ้ำซาก คล้ายขยะความคิดที่ลอยไปลอยมาในหัวซึ่งไม่มีช่องระบายออก บ่อยครั้งเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผลหรือไม่มีสาเหตุ เมื่อสมองจับเรื่องนั้นแล้ว ก็ไม่ยอมปล่อย เช่น สงสัยว่าปิดหน้าต่างปิดเตาในครัวแล้วหรือยัง จอดรถแล้ว เดินไปได้สิบก้าว ก็นึกว่า เอ๊ะ! เราล็อกรถแล้วยัง

    obsession อาจเป็นความคิดหมกมุ่นกับความกลัว เช่น กลัวเชื้อโรค คิดว่ามือสกปรก หรืออาจคิดเรื่องไม่ดี เช่น คิดทำร้ายคนที่ตัวเองรัก หรือคิดฆ่าตัวตาย คิดจุดไฟเผาบ้าน คิดพูดจาลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์

    บางครั้งก็เป็นความคิดต้องห้าม เช่น เรื่องเซ็กซ์วิตถาร ทั้งที่โดยนิสัยพื้นฐานไม่ใช่คนหยาบโลนแต่อย่างใด แต่เมื่อใจคิดถึงเรื่องนี้แว่บเดียว ก็จับมันแน่น สลัดไม่หลุด แล้วเกิดทุกข์

    obsession มักเป็นความคิดที่ผุดขึ้นมา โดยไม่เป็นจริงอย่างนั้น แต่สมองพาลคิดเรื่องนี้ บ้างเป็นจินตนาการด้านลบ ที่ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ ทั้งที่ตนเองก็รู้ว่าเป็นความคิดที่เหลวไหล แต่ก็ห้ามไม่ได้ และบางครั้งก็ทำให้รู้สึกผิดที่คิดอย่างนั้น

    ความคิดเหล่านี้ทำให้ไม่สบายใจ หงุดหงิด เหมือนเสี้ยนตำมือ และยังเอามันไม่ออก

    .........................

    ส่วนอาการย้ำทำ (compulsion) ก็คือการเปลี่ยน obsession ให้เป็นการกระทำ เช่น obsession คือไม่แน่ใจว่าล็อกรถแล้วหรือไม่ compulsion คือการเดินกลับไปที่รถเพื่อเช็ก บางทีอาจกลับไป 2-3 รอบ ใจคิดว่าล็อกแล้ว แต่ความไม่แน่ใจท่วมท้นจนต้องกลับไปตรวจดู อีกรอบ และอีกรอบ

    ถ้าล้างมือเพราะคิดว่ามันไม่สะอาด ก็อาจล้างแล้วล้างอีก บางคนล้างห้องน้ำ กวาดบ้านหลายครั้งในหนึ่งวัน แปรงฟันมากครั้งเกินจำเป็น

    อาการย้ำคิดกับอาการย้ำทำอาจเกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง แต่ร้อยละ 80 เกิดขึ้นทั้งสองอย่าง ที่เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์เป็นแค่ย้ำคิด

    ทางการแพทย์บอกว่าสาเหตุอาจเกี่ยวกับเมตาโบลิซึมในสมองไม่สมดุล การสื่อสารภายในสมองส่วนหน้าอาจบกพร่อง เนื่องจากการสื่อสารของสมองส่วนนี้ต้องใช้เซโรโทนิน การขาดหรือมีความผิดปกติในระบบเซโรโทนินจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการย้ำคิดย้ำทำ

    OCD อาจรักษาด้วยยาหรือโดยพฤติกรรมบำบัด

    จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมพบว่าเครื่องมือฝึกจิตทางพุทธช่วยได้ นั่นคืออานาปานสติ (อานาปานัสสติ) การใช้สติบำบัด เช่น เดิมต้องเช็กล็อกประตู 3-4 ครั้งก่อนออกจากบ้าน วิธีใช้สติบำบัดคือก่อนล็อกก็กำหนดรู้ว่ากำลังล็อกประตู และเฝ้าดูการล็อกประตูจนจบกระบวนการ แล้วออกจากบ้านอย่างสบายใจขึ้น เพราะสติทำให้มั่นใจว่าล็อกประตูดีแล้ว

    ปัญหาคือเราตามจิตไม่ค่อยทัน เผลอนิดเดียว สติก็หลุด

    วินทร์ เลียววาริณ
    24-3-25

    ...................

    มากกว่าสามสิบสอง / วินทร์ เลียววาริณ

    49 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 250 บาท = บทความละ 5.10 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
    หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว

    https://www.winbookclub.com/store/detail/195/มากกว่าสามสิบสอง 

    https://s.shopee.co.th/9UlyhN6c1q 

    โปรโมชั่นคอมโบ https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201 

    Shopee https://s.shopee.co.th/9UlyhN6c1q 
    โปรโมชั่นคอมโบ https://s.shopee.co.th/8zpi6W2V3T 

    ทำไมควรซื้อหนังสือเล่มนี้: https://www.facebook.com/photo/?fbid=1207283390760350&set=a.208269707328395 

    0
    • 0 แชร์
    • 35