• วินทร์ เลียววาริณ
    0 วันที่ผ่านมา

    เมื่อวานนี้พูดถึงศูนย์กลางของจักรวาลแบบออกทะเลไปไกล

    วันนี้เข้าเรื่องจริงๆ

    จุดศูนย์กลางของจักรวาลอยู่ตรงไหน? ใช่โลกของเราหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่ อยู่ตรงกาแลกซีไหน?

    คำตอบคือมันไม่มีจุดศูนย์กลางของจักรวาล

    ผู้อ่านอาจถามว่า เป็นไปได้อย่างไร? ในเมื่อเวลาเราส่องกล้องโทรทรรศน์ออกนอกโลก พบว่าดาราจักรทั้งหลายเคลื่อนออกห่างจากเรา ก็แสดงว่าเราเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล ไม่ใช่หรือ?

    ไม่ใช่ มันเป็นภาพลวงตา

    อ้าว! ในเมื่อเรารู้ว่ามีการเกิด บิ๊ก แบง ที่จุดแรกเริ่ม แล้วทำไมไม่มีจุดศูนย์กลางของจักรวาล ต้องมีซีน่า!

    คำตอบอาจสวนกับสามัญสำนึกของเราอย่างยิ่ง

    สิ่งที่คนส่วนมากเข้าใจ บิ๊ก แบง ผิดก็คือ คิดว่ามันเป็นการระเบิด ดังนั้นเมื่อสสารพลังงานสารพัดเกิดขึ้น ก็แสดงว่าจุดที่เกิด บิ๊ก แบง คือ จุดศูนย์กลางของจักรวาล แต่แนวคิดใหม่ของจักรวาลวิทยาบอกว่าไม่ใช่

    เหตุผลเพราะเรามองเห็นคราบจางๆ ของรูปถ่ายจักรวาลตอนเป็น 'เด็ก' (เรียกว่า CMB) ซึ่งบ่งบอกกำเนิดจักรวาล แต่เรามองไม่เห็นว่ามีจุดใดที่เป็นจุดศูนย์กลาง แทบทุกจุดสม่ำเสมอเท่ากัน

    บิ๊ก แบง ไม่ใช่การระเบิดตูม คำว่า ‘แบง’ อาจทำให้เขวได้ บิ๊ก แบง ไม่ใช่การขยายตัวของสสาร บิ๊ก แบง เป็นการขยายของที่ว่าง ไม่ใช่การขยายในที่ว่าง

    การค้นพบว่าดาราจักรทั้งหลายเคลื่อนห่างจากกัน (จากการสังเกตของเรา) ไม่ได้แปลว่าเราเป็นจุดศูนย์กลางของการ ‘ระเบิด’ ความจริงดาราจักรไม่ได้วิ่งไปไหน แต่ที่ว่างขยายตัว ทำให้ดูเหมือนดาราจักรเคลื่อนที่

    นักวิทยาศาสตร์ นักเขียนชาวอเมริกัน คาร์ล เซเกน (Carl Sagan) กล่าวว่า เราเป็นสัตว์โลกแบบสามมิติ เราจึงมักมองทุกอย่างเป็นสามมิติ เรามองว่าจักรวาลที่เราอยู่ก็น่าจะเป็นสามมิติ แต่บางทีมันอาจพิสดารกว่าที่เราคิด

    เมื่อจักรวาลขยายตัว เราก็คิดว่ามันขยายแบบสามมิติเหมือนลูกโป่งที่กำลังขยาย แต่มันอาจเป็นสี่มิติก็ได้ หรือ 5-10 มิติก็ได้

    เวลาเราเฝ้าดูจักรวาล เมื่อจักรวาลขยายตัว เรารู้สึกว่าเราเป็นจุดศูนย์กลางของการขยายตัว เซเกนว่า จริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะอยู่จุดไหนของจักรวาล ก็จะรู้สึกเหมือนว่าตนเป็นศูนย์กลางของการขยายตัว

    ตัวอย่างที่นิยมใช้มากที่สุดในการอธิบายเรื่องนี้คือ ลูกโป่ง ที่ เซอร์ อาร์เธอร์ เอดดิงตัน (Sir Arthur Eddington) ใช้ในช่วงปี 1933 ในหนังสือเรื่อง The Expanding Universe ต่อมาภายหลัง เขาเป็นคนพิสูจน์ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ว่าถูกต้อง

    การเปรียบเทียบเรื่องลูกโป่งคือ เราใช้ปากกาเขียนจุดกระจายไปบนลูกโป่งที่ยังแฟบอยู่ จุดเหล่านี้หมายถึงดาราจักร ผิวบางๆ ของลูกโป่งหมายถึงจักรวาล เมื่อเป่าลูกโป่งให้ขยายตัว (หมายถึง บิ๊ก แบง) ‘ดาราจักร’ บนลูกโป่งก็จะถ่างห่างออกจากกัน ยิ่งลูกโป่งขยายตัวมากเท่าไร ดาราจักรก็ยิ่งห่างออกจากกันมากขึ้นเท่านั้น แต่ตัวดาราจักรเองไม่ขยายตัว เพราะมันมีกรอบแรงดึงดูดของมันยึดเอาไว้

    ทว่าเราต้องไม่สับสน ผิวแบนของลูกโป่งนับเป็นสองมิติ แทนจักรวาลซึ่งมีสามมิติ ยังไม่นับเวลาหรือมิติอื่นๆ (ถ้ามี)

    ไม่มีจุดใดบนผิวของลูกโป่งที่เป็นจุดศูนย์กลางของการขยายตัว จุดศูนย์กลางของลูกโป่งก็ไม่ใช่จุดศูนย์กลางของการขยายตัว จึงไม่ใช่จุดศูนย์กลางของจักรวาล

    แต่เรารู้แน่ๆ ว่าจุดศูนย์กลางของครอบครัวคือกะละมัง

    อ้าว! นอกเรื่องอีกแล้ว สงสัยจะเก็บกดมาก เลิกชั้นดีกว่า

    วินทร์ เลียววาริณ
    15-11-25

    อ่านข้อมูลลึกกว่านี้ได้ในหนังสือ ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล
    ความรู้ล้นเล่ม ราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ หนา 320 หน้า ลดเหลือแค่ 190.- ช่วยซื้อหน่อย ต้องหาเงินไปซื้อผงซักฟอก
    https://www.winbookclub.com/store/detail/89/ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล 

    0
    • 0 แชร์
    • 3
  • วินทร์ เลียววาริณ
    0 วันที่ผ่านมา

    นักอ่านอาจรู้จักกิมย้ง ปรมาจารย์นิยายจีนกำลังภายใน อาจรู้จักเหง่ยคัง นักเขียนเพื่อนกิมย้ง แต่อาจไม่รู้จักไช่หลานและหวงจัน

    ทั้งสี่คนนี้คือสี่เซียนฮ่องกง บุคคลสี่คนที่เปลี่ยนโฉมวัฒนธรรมแห่งฮ่องกง สังคม การเมือง ผ่านงานเขียนและศิลปะ ทั้งสี่ทำงานด้านนวนิยาย ภาพยนตร์ ละคร เพลงประกอบภาพยนตร์ วาไรตีโชว์ ไปจนถึงการชิมอาหาร สี่เซียนฮ่องกงเป็นภาพสะท้อนยุคทองทางวัฒนธรรมของฮ่องกงที่แพร่ไปทั่วเอเชีย

    และนี่คือบทความใหม่วันเสาร์ ความรู้ล้วนๆ นำมาเสนอถึงมือท่าน คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/689d69f7a2fec0801bf0c92d 

    1
    • 0 แชร์
    • 10
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าจักรวาลกำเนิดจาก บิ๊ก แบง ตรงจุดที่เรียกว่า singularity

    singularity ก็คือจุดศูนย์กลางของจักรวาล

    แต่รู้ไหมว่าจุดจุดนั้นอยู่ตรงไหน? จุดใดเป็นศูนย์กลางของจักรวาล? ใกล้โลกที่เราอยู่ไหม?

    ผมถามนักฟิสิกส์จักรวาลท่านหนึ่ง ตำแหน่งศาสตราจารย์ อายุมากแล้ว เป็นคนฉลาดปราดเปรื่องยิ่ง

    "ท่าศาสตราจารย์ครับ จุดใดเป็นศูนย์กลางของจักรวาลครับ?"

    ศาสตราจารย์ชราตอบ "ผมขอโทร.ถามคนก่อนนะ"

    ผมว่า "เอ๊ะ! ระดับท่านยังต้องถามคนอื่นอีกหรือ? ผมคิดว่าท่านมีคำตอบแล้วเสียอีก"

    "มี แต่ต้องโทร.คอนเฟิร์ม"

    "โทร.หาใครครับ?"

    "ภรรยาผม"

    "ทำไมต้องคอนเฟิร์มกับภรรยาท่านล่ะครับ?"

    ศาสตราจารย์ชราถอนใจ "ก็เพื่อที่จะรู้ตำแหน่งของภรรยาผมตอนนี้ไงเล่า เพราะภรรยาผมเป็นศูนย์กลางของจักรวาล"

    อืม! บอกแล้วว่าท่านเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องยิ่ง

    วินทร์ เลียววาริณ
    14-11-25

    1
    • 0 แชร์
    • 20
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    ชาวโลกทั่วไปทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน หยุด 1-2 วัน ถือเป็นมาตรฐาน แต่มนุษย์หลายพันล้านคนบ่นว่าตัวเองทำงานหนักไป

    หลายคนทำงานหนักเกินไปจริง แต่หลายคนยังฝังกรอบคิดในหัวว่า งานคือความลำบาก ความไม่สนุก

    อาจจะจริงบ้าง แต่ไม่สามารถใช้เป็นข้อสรุปทั้งหมด

    เราโตมากับความคิดว่าการทำงานเป็นเรื่องยากลำบาก เรามีภาพว่ามีแต่คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจึงไม่ต้องทำงานหนัก ฯลฯ

    เวลาอวยพรใครหรืออธิษฐาน ก็ขอให้ได้เป็นเจ้าคนนายคน สบายๆ ไม่ต้องทำงานหนัก

    เรายังมีกรอบคิดว่า ใครได้ เออร์ลี รีไทร์ ตอนอายุ 30-40 พร้อมเงินหลายล้านในบัญชี ถือว่าสุดยอด

    หลายปีก่อน นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์เสนอไอเดียให้ประชากรฟินแลนด์ทำงานวันละ 6 ชั่วโมง อาทิตย์ละ 4 วันพอ เหตุผลคือเพื่อให้ทุกคนมีเวลากับครอบครัวมากขึ้น ร่วมสันทนาการต่างๆ พักผ่อนหย่อนใจ นอนให้อิ่มไปเลย ผลที่ตามมาก็จะทำให้ทำงานได้ผลผลิตดีขึ้น

    ไอเดียนี้มีหลายกลุ่มการเมืองในหลายประเทศสนับสนุน (รวมทั้งพรรคคอมมิวนิสต์ของหลายประเทศ) เช่น ออสเตรเลีย อิตาลี นอร์เวย์ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ฯลฯ

    ยังไม่มีใครมาสอบถามคนไทย

    ไม่มีใครอยากทำงานชั่วโมงยาวๆ !

    คำนวณคร่าวๆ ทำงานวันละ 6 ชั่วโมง อาทิตย์ละ 4 วัน เท่ากับทำงานอาทิตย์ละ 24 ชั่วโมง

    ปีหนึ่งมี 52 อาทิตย์ ก็เท่ากับทำงานปีละ 1,248 ชั่วโมง

    เทียบเป็นวัน ก็เท่ากับทำงานแค่ปีละ 52 วัน

    แปลว่ามีเวลาสันทนาการ พักผ่อนปีละ 300 วัน

    สรุปคือนอนมากกว่าทำงาน

    ยังไม่มีใครคำนวณว่า หากโลกเดินหน้าด้วยโหมดนี้ ผลผลิตในโลกจะพอให้ชาวโลกอยู่ได้หรือไม่

    เอาละ สมมุติว่าอยู่ได้สบายๆ หรือสมมุติไปไกลกว่านั้นเลยว่า มนุษย์ไม่ต้องทำงานเลย โลกจะเป็นอย่างไร

    นักเขียน นักวิทยาศาสตร์ นักอนาคตวิทยา อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก เคยเสนอไอเดียว่า ในอนาคตหากเรามีวิทยาการแยกและประกอบอะตอม ด้วยเครื่อง Replicator ทุกคนก็ไม่ต้องทำงานอีกต่อไป

    Replicator คือเครื่องอ่านและเรียงตัวของอะตอม เช่น อะตอมข้าวมันไก่เรียงตัวแบบนี้ อะตอมก๋วยจั๊บ ข้าวไก่กะเพรา เรียงแบบนั้น

    เมื่อมีเครื่องนี้ ก็สามารถผลิตอาหารมากินโดยไม่ต้องปลูกพิช ไม่ต้องเลี้ยงสัตว์ เพราะสินค้าทุกอย่างก็คืออะตอมมาเรียงกัน

    ทุกคนสามารถมีภาพ โมนาลิซา หรืองานของแวนโก๊ะห์ต้นฉบับประดับบ้าน เพราะมันเรียงตัวเหมือนของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์

    หากวันนั้นมาถึง มนุษย์เราจะเป็นอย่างไร จะบ่นอีกไหมว่าชีวิตน่าเบื่อ แล้วขอทำงาน?

    โดยส่วนตัวผมนึกไม่ออกว่าถ้าทำงานวันละ 6 ชั่วโมง อาทิตย์ละ 4 วัน ผมจะเป็นอย่างไร คงเฉาตายแน่ เพราะผมเป็นพวก workaholic ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง ปีละ 365 วัน ไม่มีวันหยุด

    และถ้าไม่ให้ซักผ้าด้วย ตายดีกว่า

    วินทร์ เลียววาริณ
    14-11-25

    1
    • 0 แชร์
    • 28
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    ผมไม่ใช่แฟนหนังชุด Predator มนุษย์ต่างดาวรูปทรงสองแขนสองขาอย่างคน ไว้ผมยาวทรง Dreadlocks ขับจรวดข้ามกาแลกซี แต่ยังใช้ดาบเป็นอาวุธ

    Predator เรื่องแรกที่ออกมาในปี 1987 ก็แปลกดี แต่เมื่อเข็นภาคต่ออีกหลายภาค ก็เริ่มเข้ารกเข้าพง เรื่องสุดท้ายที่ผมดูคือ Aliens vs. Predator: Requiem (2007) ไม่ได้รีวิว แต่ถ้าบังคับให้คะแนน ก็คงได้ 1/10 เต็มที่แล้ว

    ตอนนี้ Predator ตอนใหม่ (ตอนที่ 9) เข้าโรง คือ Predator: Badlands ก็เข้าไปลองดู เชื่อว่ามันคงไม่สามารถเลวร้ายไปกว่า Requiem 1/10 อีกแล้ว

    แม้จะจัดเป็นหนังไซไฟ แต่การดูหนัง Predator ต้องวางหลักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดทิ้งไว้หน้าโรง ไม่งั้นก็ไม่ต้องดู ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตต่างดาวเหมือนคน พูดอย่างคน เดินอย่างคน ใช้อาวุธเหมือนคน ฯลฯ

    ผมกะดูสักสิบนาที ถ้าไม่เข้าท่า ก็คงเดินออกไปหาไอติมกิน ขณะดูสาวๆ นอกโรง

    ปรากฏว่าผิดคาด ไม่ได้ดูสาวๆ หนังดีกว่าที่คิด มันพลิกแพลงไปอีกทิศหนึ่ง แทนที่ Predator จะบุกโลก ก็สร้างจักรวาลใหม่ให้มันเลย แทนที่จะให้มันรับบทตัวร้าย ก็เปลี่ยนใหม่ เป็นการฉีกแนวที่ฉลาด

    Badlands เดินเรื่องกระชับ จังหวะจะโคนดี เล่าเรื่องเป็น จุดเด่นคือมันเป็นหนัง crossover กับจักรวาล Alien อย่างกลมกลืน นำบริษัท Weyland-Yutani จากชุด Alien เข้ามาในเรื่อง

    หนังอุดมไปด้วยสัตว์ประหลาดและสิ่งมีชีวิตแปลกๆ ฉากของเรื่องมีกลิ่น Avatar ภาคแรก แต่ไม่ถือว่าลอก ในท่อนท้าย ตัวเอกเก็บของป่าเป็นอาวุธสู้กับฝ่ายตรงข้าม ก็มีกลิ่นของ Apocalypto ของ เมล กิบสัน

    หนังสนุก หักมุมเป็นระยะ ให้ความบันเทิงสูง ถือว่าเป็นการเปลี่ยนทิศที่ดีและน่าจะประสบความสำเร็จในเชิงรายได้ การเปลี่ยนทิศนี้ทำให้มีโอกาสสร้างแฟรนไชส์ต่อไปอีกหลายเรื่อง

    ส่วน Predator: Badlands ภาคการเมืองไทย กำหนดฉายปีหน้า แต่ผมขอตัวนะ

    8.2/10
    ฉายในโรงภาพยนตร์

    วินทร์ เลียววาริณ
    13-11-25

    วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)

    (มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)

    1
    • 0 แชร์
    • 31