-
วินทร์ เลียววาริณ0 วันที่ผ่านมา
คนจำนวนมากมองว่าอะไรที่เป็นแบบเดิม เป็นของล้าสมัย เช่น วัฒนธรรมบางอย่าง วิธีการเรียนการสอนแบบเก่า ฯลฯ บางเรื่องอาจจะล้าสมัยจริง แต่บางเรื่องอาจจะยังใช้ได้ดีอยู่
คนเรามักใช้ความรู้สึกตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิต เพราะเชื่อว่าวิถีใหม่ดีกว่า แต่ในที่สุดก็อาจเข้าใจว่า เก่าและใหม่จริงๆ ไม่มี ใหม่อาจกลายเป็นเก่า และเก่าอาจกลายเป็นใหม่ได้เสมอ
นี่มิได้หมายความว่าเราไม่ควรเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิต แต่ชี้ว่าแต่ละเหตุการณ์ แต่ละเรื่องมีคนละเงื่อนไข ใช้วิธีเดียวกันแก้ปัญหาไม่ได้
บทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/689d6993a2f6e3338866e41e
0- แชร์
- 7
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
นาทีนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก Zohran Mamdani ชายหนุ่มชาวอเมริกันวัย 34 เชื้อสายอินเดีย + อูกานดา
เขาเพิ่งได้เลือกเป็น (mayor of New York City) คือผู้นำเมือง New York City เป็นนายกเทศมนตรีมุสลิมคนแรกของนิวยอร์ก
คำว่า mayor แปลเป็นไทยว่านายกเทศมนตรี ฟังดูเหมือนผู้นำบ้านนอก ดูแลเทศบาล แต่ mayor ของเมืองใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ มีอำนาจหน้าที่มากกว่านั้น ดูแลหลายเรื่อง การจัดการบริการ ตำรวจ ไปจนถึงกฎหมายต่างๆ ที่ใช้ในเมือง มีเจ้าหน้าที่กว่าสามแสนคน (มากกว่ากทม. เกือบ 10 เท่า)
โซห์ราน มัมดานี นักสังคมนิยมประชาธิปไตย สังกัดพรรคเดโมแครต
เขามีเสน่ห์จูงใจคนคล้ายโอบามา เสน่ห์ (charisma) ของเขาอยู่ที่ความเชื่อมั่นในตัวเอง นโยบายของเขาชัดเจน ไม่กี่ข้อ เช่น
จำกัดค่าเช่าบ้านคงที่
รถประจำทางฟรี
ดูแลเด็กถึงห้าขวบฟรี
ฯลฯจะให้สวัสดิการพวกนี้ ต้องใช้เงินมหาศาล แล้วเอาเงินมาจากไหน?
คำตอบของเขาคือก็รีดภาษีคนรวย ใครที่มีรายได้เกินหนึ่งล้านเหรียญต่อปีโดนจัดหนัก นี่ทำให้อภิมหาเศรษฐีหลายคนลงขันหาทางสกัดไม่ให้เขาขึ้นมา
เขาบอกขำๆ ว่า "พวกนั้นจ่ายเงินสกัดผมมากกว่าภาษีที่ผมจะรีดจากพวกเขาเสียอีก"
ขณะที่ผู้สมัครอื่นๆ และนักการเมืองส่วนมากในสหรัฐฯไม่กล้าพูดต่อต้านอิสราเอล มัมดานีบอกว่าเขาต่อต้านนโยบายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลโดยไม่อ้อมค้อม
เขาบอกว่า หากเนทันยาฮูบินบินมาลงสนามบิน JFK เขาจะสั่งจับไปขึ้นศาลอาชญากรโลก
ในประเทศที่ยิวมีอิทธิพลครอบครองเหนือประธานาธิบดีและรัฐสภา หลายคนเชื่อว่าการประกาศแบบนี้จะทำให้เขาไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ผลกลับตรงกันข้าม มีองค์กรชาวยิวบางแห่งสนับสนุนเขา
ชัยชนะของมัมดานีครั้งนี้นอกจากเป็นการส่งเสียงต้านนโยบายทรัมป์ ยังเป็นชัยชนะต่อ AIPAC องค์กรล็อบบี้ของยิวว่าชาวนิวยอร์กส่วนใหญ่ไม่ได้โง่ มองไม่เห็นว่าเนทันยาฮูและก๊วนของเขาก่อกรรมอะไรไว้
ตอบยากว่าเขาจะทำได้ตามสัญญาหรือไม่ เพราะสัญญาของเขาต้องอาศัยอำนาจของผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กด้วย และนิวยอร์กเกอร์ไม่ใช่พวกที่ยอมใครง่ายๆ ถ้าสัญญาแล้วทำไม่ได้ ก็เท่ากับฆ่าตัวตายทางการเมือง
แต่ที่แน่ๆ คือเนทันยาฮูจะไม่ไปกินฮ็อตดอกที่นิวยอร์กอีกหลายปี
วินทร์ เลียววาริณ
7-11-251- แชร์
- 29
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
สองสามวันนี้เอ่ยชื่อนักเขียนชั้นครู 'รงค์ วงษ์สวรรค์ และ อาจินต์ ปัญจพรรค์ ทั้งสองท่านเป็นตัวอย่างของคนที่เลือกเดินทางสายเขียนหนังสือ และจมในโลกนั้นจนวันสุดท้าย
'รงค์ วงษ์สวรรค์ เคยเล่าว่า บ่อยครั้งตอนค่ำดื่มเหล้ากับเพื่อนจนเมา แต่พอตะวันขึ้น ขณะที่คนอื่นยังไม่สร่างเมา พญาอินทรีลุกขึ้นมาเขียนหนังสือ
เป็นรัฐธรรมนูญข้อที่ 1 ของนักเขียนอาชีพ เป็นวินัยชั้นสุดยอด
ส่วน อาจินต์ ปัญจพรรค์ บอกเสมอว่า ตะกร้าสร้างนักเขียน ไม่มีทางลัด
ขอยืนยันว่าเป็นความจริง หากถามผมวันนี้ว่า อะไรทำให้กลายเป็นนักเขียนได้ คำตอบก็คือความไม่กลัวตะกร้า
หลายปีนี้ผมได้รับจดหมายจากนักอยากเขียนจำนวนมากที่อยากมีผลงานเป็นที่ยอมรับของสาธารณชน พวกเขาอยากรู้เคล็ดลับในการก้าวไปสู่จุดหมายโดยเร็วที่สุด คำตอบของผมก็ยังคงเหมือนเดิมคือ ทำงานฝึกฝนอย่างหนักและไปช้าๆ อย่าใจร้อน
บางคนเขียนเรื่องสั้นแล้วหนึ่งเรื่อง ก็คาดหวังจะเปลี่ยนแปลงสังคม
อาจินต์ ปัญจพรรค์ เขียนถึงเรื่องนี้ว่า
"อย่าเพิ่งประมาณตัวเองว่าเป็นนักเขียนเพื่อช่วยสังคม หรือก้าวไปเพื่อมวลชน อย่าคิดไปว่าจะสถาปนาวรรณกรรมไทยให้ก้าวไปไกล สามสิ่งนั้นยิ่งใหญ่กว่าจะนำมากล่าว ๆ ให้เป็นประโยคอันเลื่อนลอย สังคม - มวลชน - วรรณกรรม ไม่เคยรอรับความช่วยเหลือจากใคร แต่นักเขียนนี่แหละอาจจะถูกสนามแม่เหล็กอันรุนแรงนั้นดูดเข้าไปสู่ความมหึมา ซึ่งคนที่มือไม่ถึงก็จะงุนงงเคว้งคว้างไปเลย ส่วนคนที่เป็นอัจฉริยะจึงจะผสานสมอง อุดมการณ์ และประสบการณ์ เข้าไปเป็นศักดิ์ศรีแก่วังวนอันเข้มข้นนั้น"
โลกของการเขียนหนังสือไม่มีทางลัด ไม่มีวิตามินหรือยาเสริม ยิ่งเขียนมาก ก็ยิ่งเก่งขึ้น ยิ่งรีบร้อนยิ่งถอยหลัง
สิ่งนี้ผมเรียนรู้จากประสบการณ์ ความจริงก็คือ การเขียนหนังสือไม่ใช่การวิ่งแข่งที่ประลองความเร็ว แต่เป็นการเดินมาราธอน เดินและเสพทิวทัศน์สองข้างทางไปพร้อมกัน
และเมื่อเดินไปไกลพอ 'สารแห่งความสุข' เอ็นดอร์ฟินก็หลั่งไหล ทำให้เดินต่อไปด้วยความสดชื่นกว่าเดิม
นี่คือความสุขของการเขียนหนังสือ
นี่คือเหตุผลที่นักเขียนหลายคนยึดการเขียนเป็นอาชีพสุดท้าย
วินทร์ เลียววาริณ
7-11-251- แชร์
- 26
-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
พญาอินทรีอักษร 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นคนสร้างศัพท์ใหม่ 'ญาติน้ำหมึก' หมายถึงนักเขียนนักอ่านที่อยู่ในวงการเดียวกัน รักเขียนรักอ่านเหมือนกัน แม้ไม่ได้เจอหน้ากันโดยตรง ก็สนิทสนมกันดั่งญาติ รักกันผ่านตัวหนังสือ
ผมพบญาติน้ำหมึก บินหลา สันกาลาคีรี ครั้งแรกที่สวนทูนอิน นิวาสสถานของพญาอินทรีอักษรที่เชียงใหม่ บินหลา 'บิน' มากับจักรยานคู่ชีพของเขา เราพบกัน --- หากใช้คำของเขา --- "เราพบกันเพราะหนังสือ" เพราะหากเราคนใดคนหนึ่งไม่เขียน ก็คงไม่มีโอกาสพบกัน
คิดย้อนหลังดูก็ประหลาด เราคล้ายกันหลายอย่าง อย่างแรก เราต่างฝันอยากพบพญาอินทรีอักษร และได้พบเพราะ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ รู้จักบินหลาจากเรื่องจักรยาน (หลังอาน) และรู้จักผมจาก ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน บนหน้ามติชนสุดสัปดาห์เหมือนกัน
โลกของคนเขียนหนังสือวนเวียนในพื้นที่เดิมๆ เราพบกันหลายครั้งตามงานหนังสือ ไม่ค่อยคุยกัน ผมไม่ค่อยคุยกับใครอยู่แล้วโดยนิสัย บินหลาทำงานให้มติชน ผมก็เป็น --- หากใช้คำของเขา --- เป็น 'guest writer' ของมติชน เพราะนักเขียนคือผู้เดินทาง ฝากตัวหนังสือไว้ตามเวทีต่างๆ
พื้นเพของเราต่างเริ่มต้นที่สงขลา (เขาเรียนชั้นประถมเดียวกับน้องสะใภ้ของผม) เข้ากรุง เข้าจุฬาฯ เขียนหนังสือ เดินทาง เขียนหนังสือ เดินทาง เขียนหนังสือ บินสวนทางกันบ้างบางครา ต่างแสวงหาตำแหน่งของเราเองในโลกศิลปะ บินไปทีละหลา
เราผ่านเวทีรางวัลวรรณกรรมเดียวกัน ต่างสนใจเรื่องชีวิตผู้คน สังคม ประวัติศาสตร์ ฯลฯ เหมือนกัน ต่างเดินทางเข้าหาพื้นที่ภายในของเราเหมือนกัน
บินหลาเคยกล่าวว่า “มนุษย์ไม่ได้เรียนรู้จากสิ่งที่คนอื่นสอน แต่เรียนรู้จากสิ่งที่ตัวเองตกผลึก" ผมเห็นด้วย
นานปีให้หลัง เราพบว่าเรายังคงวนเวียนอยู่ในโลกหนังสือ ไม่ยอมย้ายไปที่วงการอื่น ราวกับสนามแม่เหล็กของโลกหนังสือทรงพลังดึงดูดให้ไม่ไปไหน
เขาให้สัมภาษณ์ว่า “ผมไม่เคยถามตัวเองว่าเขียนหนังสือไปทำไม การเขียนหนังสือเป็นการยังชีพอย่างหนึ่งที่ผมทำได้และเลือกทำ"
“เส้นทางสายนี้เดินยาก เป็นทางกันดาร ทางขรุขระ น้อยคนจะเดิน" เช่นกัน ผมเห็นด้วย
โลกหนังสือดูเหมือนแคบลงทุกวัน ญาติน้ำหมึกอาจดูน้อยลง แต่บินหลาทำให้ผมยังเชื่อว่า นักเขียนยังสามารถบินไปทีละหลาในโลกหนังสือที่หลายคนเห็นว่ามันแคบและล้าสมัยแล้ว ทว่าในสายตาของเรา โลกหนังสือนี้กว้างใหญ่ไพศาลไปชิดนิรันดร
วินทร์ เลียววาริณ
7 พฤศจิกายน 25681- แชร์
- 27
-
วินทร์ เลียววาริณ3 วันที่ผ่านมา
เมื่อพูดถึงตำนานนักแต่งเพลง เอนนิโอ มอร์ริโคเน ก็ต้องเล่าเรื่องของผู้กำกับคู่บุญ เซอร์จิโอ เลโอเน คู่นี้ทำหนัง-แต่งเพลงด้วยกันหลายเรื่อง
และเรื่องที่ดีที่สุดของ เซอร์จิโอ เลโอเน ในความเห็นส่วนตัวของผมก็คือ Once Upon a Time in the West เพลงที่มอร์ริโคเนแต่งให้หนังเรื่องนี้ก็ดีเยี่ยม ไม่ว่าเพลงในท่อนท้าย หรือเพลงช่วงเล่นฮาร์โมนิกา
ในปี 2521 หนังความยาว 3 ชั่วโมง 4 นาทีเรื่อง Deer Hunter เข้ามาฉายในบ้านเรา (ถ่ายทำที่บ้านเราด้วย) ท่อนแรกของหนังเป็นการปูเรื่องความสัมพันธ์ของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ท่อนที่สองเป็นฉากที่เพื่อนกลุ่มนี้เข้าร่วมสงครามเวียดนาม ในโรงหนังต่างจังหวัด ท่อนแรกยาวร่วมชั่วโมงนี้ถูกหั่นทิ้ง หนังเปิดเรื่องที่สงครามเลย
นี่คือการกระทำของคนที่ไม่เข้าใจหนัง เหมือนชงกาแฟโดยเทกาแฟออกครึ่งถ้วย แล้วเติมนมเข้าไปแทน
สตูดิโอใหญ่ๆ ในอเมริกามีประวัติเรื่องทำลายหนังมาตลอด หนังดีจำนวนมากถูกนายทุนทำลายป่นปี้ เพราะไม่เข้าใจศิลปะ ตัวอย่างเช่น Blade Runner ของ ริดลีย์ สก็อตต์ ถูกนายทุนสั่งให้ตัดบทใหม่ "ขอจบแบบแฮ็ปปี้ เอนดิ้ง นะ" หนัง ‘แป้ก’ แต่ต่อมาก็กลายเป็นหนังฮิต โดยเฉพาะเมื่อผู้กำกับแก้ไขเป็นเวอร์ชั่น Director's Cut
เรื่อง Dune (1984) นายทุนไปตัดต่อหนังเองโดยที่ผู้กำกับทำอะไรไม่ได้ ผลคือเละ
อีกเรื่องหนึ่งที่ประสบชะตากรรมเดียวกันคือเรื่อง Once Upon a Time in the West ผลงานของ Sergio Leone หนังความยาว 229 นาทีถูกตัดเหลือ 139 นาทีสำหรับให้ชาวอเมริกันเสพ ตัวละครบางตัวหายไป ตัดแฟลชแบ็คทิ้ง ผลคือเละ
เหตุที่ Once Upon a Time in the West ‘แป้ก’ ในอเมริกา (ประเทศที่หนังเรื่อง The Shawshank Redemption ขายไม่ออก) อาจเพราะคนดูอเมริกันรู้สึกแปลกๆ ที่หนังคาวบอยอเมริกันสร้างโดยพวกอิตาเลียน หรือเพราะดูหนังแบบนี้ไม่เป็น นักวิจารณ์อเมริกันบางคนด่าเรื่องนี้เละ บอกว่าหนังเดินช้าไป (ขนาดหั่นหนังออกไปชั่วโมงหนึ่งแล้ว!)
ตรงกันข้ามกับสหรัฐฯ หนังเรื่องนี้ได้รับคำชื่นชมอย่างสูงในยุโรป ณ วันนี้มันได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังคาวบอยสปาเก็ตตี้ที่ดีที่สุด และอาจถือเป็นหนังคาวบอยที่ดีที่สุดด้วย แม้แต่ห้องสมุดคองเกรสสหรัฐฯก็ขึ้นหิ้งเป็นหนังที่ต้องอนุรักษ์ นักสร้างหนังแนวหน้าหลายคนยกให้เรื่องนี้เป็นครู เช่น มาร์ติน สกอร์เซซซี จอร์จ ลูคัส เควนติน ทาแรนติโน และเจ้าพ่อ Breaking Bad วินซ์ กิลลิแกน
(ทาแรนติโนเดิมคิดจะตั้งชื่อหนังเรื่อง Inglourious Basterds ว่า Once Upon a Time in Nazi-Occupied France แต่ตอนหลังให้มันเป็นชื่อตอนแรกของเรื่อง และหลายปีให้หลังก็สร้าง Once Upon a Time in Hollywood)
..............
Once Upon a Time in the West เปิดเรื่องที่สถานีรถไฟกลางพื้นที่รกร้าง นายสถานีชราเห็นชายแปลกหน้าสามคนนั่งรอรถไฟที่กำลังจะมา ทั้งสามพกปืนมาด้วย แกรู้ว่าทั้งสามเป็นมือปืน แมลงวันตัวหนึ่งบินมาตอมหน้ามือปืนคนหนึ่ง เขาปัดมันไป แต่มันบินมาตอมเขาอีก เขาจับมันด้วยกระบอกปืน เสียงหวูดรถไฟดังมาแต่ไกล รถไฟแล่นเทียบชานชาลา ผู้โดยสารหลายคนก้าวลงมา แต่ไม่มีเป้าหมายที่สามมือปืนรอ เมื่อรถไฟแล่นออกไป มือปืนทั้งสามจึงเห็นผู้โดยสารคนหนึ่งกำลังมองพวกเขาอยู่อีกฟากหนึ่งของราง ชายคนนี้ยกฮาร์โมนิกาขึ้นเป่าเบาๆ เสียงปืนพลันดังขึ้น มือปืนทั้งสามลงมือ แต่ทั้งสามล้มคว่ำ มือปืนฮาร์โมนิกาไวกว่า
ฉากแรกของหนังมีเพียงเหตุการณ์เดียว คือการดวลกัน แต่ใช้เวลายาวถึง 13 นาที (ดวลครึ่งนาที ปูอารมณ์ 12 นาทีครึ่ง!)
Once Upon a Time in the West เป็นหนัง slow burn แต่ละฉากเดินช้า แต่ละเมียดละไม ไม่ใช่หนังคาวบอยประเภทยิงกันวินาศสันตะโรทั่วไป และเป็นหนังที่สร้างโดยชาวอิตาเลียน
เราเรียกตระกูลงานคาวบอยที่สร้างโดยอิตาเลียนว่า Spaghetti Western หรือที่บ้านเราเรียก คาวบอย สปาเก็ตตี้
Spaghetti Western โด่งดังมากในยุค 60-70 ไม่ได้สร้างกันแค่เรื่องสองเรื่อง มันมีจำนวนถึงกว่าหกร้อยเรื่อง และในบรรดาผู้กำกับหนังแนวนี้ Sergio Leone ถือเป็นเบอร์ 1 งานของเขาจับคู่กับนักแต่งเพลงที่เก่งที่สุดในโลก เอนนิโอ มอร์ริโคเน
ผลงานของ Sergio Leone ที่ดังมากคือชุดไตรภาค Dollars Trilogy คือ A Fistful of Dollars (1964), For a Few Dollars More (1965) และ The Good, the Bad and the Ugly (1966) ทั้งสามเรื่องเล่นโดย คลินท์ อิสต์วูด สมัยยังหนุ่มมาก ดังมากในบ้านเรา
แต่ Sergio Leone โดดเด่นที่สุดในเรื่อง Once Upon a Time in the West มันยกระดับหนังคาวบอยเป็นหนังอาร์ต
เรื่องนี้มีตัวละครหลักสี่คน ผู้หญิงหนึ่ง ชายสาม ทั้งหมดเป็นตัวละครสีเทา บางคนก็ออกเทาสว่าง บางคนก็ดำไปเลย
คนร้ายหลักคือ 'แฟรงก์' รับบทโดย เฮนรี ฟอนดา นักแสดงใหญ่ที่ปกติรับบทคนดี เมื่อได้รับเสนอบทคนร้าย เขาก็ปฏิเสธ ไม่อยากเปลืองตัว
อย่างไรก็ตาม ผู้กำกับอยากได้ตัวเขามาก จึงบินไปหาฟอนดาที่นิวยอร์ก บอกเขาว่า “ลองนึกภาพดูนะ กล้องจับภาพช่วงล่างของมือปืน เขาชักปืนขึ้นมายิงเด็กที่กำลังวิ่งหนี กล้องพาดขึ้นจับที่ใบหน้าของมือปืนโหด ก็คือ เฮนรี ฟอนดา”
ฟอนดารับบทนี้ในที่สุด คนรอบตัวไม่มีใครเห็นด้วย
ปรากฏว่าฟอนดารับบทคนร้ายได้ดีมาก ดูน่ากลัว และได้รับคำชื่นชมว่าแสดงดี
ตัวละครสีเทาคนหนึ่งคือ 'ไชแอน (Cheyenne)' รับบทโดย เจสัน โรบาร์ดส์ นักแสดงคุณภาพ (คนที่รับทบรรณาธิการ Ben Bradlee ในหนังเรื่อง All the President's Men และคว้าตุ๊กตาทองในปีนั้น)
ตัวละครหลักอีกคนคือบุรุษลึกลับ เรียกว่า ฮาร์โมนิกา รับบทโดย ชาร์ลส์ บรอนสัน
เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนมาก แต่วิธีเล่าเรื่องทำให้เรื่องน่าติดตาม การเดินเรื่องโดยให้ตัวละครคนหนึ่งพาไปเปิดตัวตัวละครอีกคนหนึ่งทำได้น่าสนใจ หนังไม่ค่อยเล่าโดยบทพูด แต่เล่าด้วยภาษาหนัง ตัวละครสร้างความสัมพันธ์ด้วยการกระทำมากกว่าบทพูด เช่น เรารู้ความสัมพันธ์ระหว่างไชแอนกับฮาร์โมนิกาโดยไม่ได้รู้จากบทพูด แต่รู้จากแววตา สีหน้า การกระทำ เรารู้ว่ามิตรภาพเกิดขึ้นจากการสัมผัสของเราเอง
เราไม่รู้ว่าตัวละคร ฮาร์โมนิกา เป็นใคร มาจากไหน มาทำอะไร และเรื่องก็พาไปถึงจุดไคลแม็กซ์โดยแทบไม่ปูเรื่อง (establishing) มาก่อน ซึ่งผิดหลักการแต่งเรื่องโดยทั่วไป แต่เรื่องนี้เป็นข้อยกเว้น เพราะมันปูเรื่องไม่ได้ ทำได้อย่างมากที่สุดคือคำพูดของฮาร์โมนิกาว่า "จะบอกเมื่อถึงจุดที่มีคนตาย"
หนังเดินด้วยจังหวะเนิบ มุมกล้องดี ดนตรีดี เนื้อเรื่องน่าสนใจ จับอารมณ์ความดิบในยุคคาวบอย หนังมีกลิ่นของปรมาจารย์ อะกิระ คุโรซาวา (ผู้สร้าง เจ็ดเซียนซามูไร) ซึ่งมีอิทธิพลต่องาน คาวบอย สปาเก็ตตี้ ไม่น้อย
หากจะมีจุดรำคาญสายตาคือ การใช้ฟอนต์ในไตเติลซึ่งสะท้อนความนิยมในยุคนั้น ตัวหนังสือวิ่งไปมา พลิกแล้วหมุน เหล่านี้ดูรุงรังไปหน่อยสำหรับหนังเรียบง่าย แต่ก็คงเป้นเครื่องสะท้อนหลักไมล์ของวงการกราฟิกในภาพยนตร์
ที่โดดเด่นไม่แพ้ตัวหนังก็คือดนตรีประกอบโดย เอนนิโอ มอร์ริโคเน ดนตรีประกอบสุดยอด จับวิญญาณเราจนดิ้นไม่หลุด เสียงเพลงฮาร์โมนิกาทั้งเรื่องประพันธ์โดยปรมาจารย์ เอนนิโอ มอร์ริโคเน สุดยอดมาก นี่เป็นหนึ่งในหนังน้อยเรื่องที่ใช้เครื่องดนตรีฮาร์โมนิกาได้อย่างทรงพลัง (อีกเรื่องหนึ่งที่นึกออกทันทีคือ Midnight Cowboy งานดนตรีของ จอห์น แบร์รี)
ไม่ทุกคนที่ชอบหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะหากทนดูฉากเปิดเรื่องยาว 13 นาทีไม่ได้ อาจจะทรมานและดูไม่จบ (เช่นที่ทนฉากเปิดเรื่อง 2001: A Space Odysey ไม่ได้) แต่ถ้าเข้าถึง จะชอบเรื่องนี้มาก นี่ไม่ใช่หนังที่ดูเอาพล็อต แต่ดูเอาอารมณ์
สุดยอด
ป.ล. นักแสดงหลักของเรื่องนี้ รวมทั้งผู้กำกับและนักแต่งเพลง ล้วนจากโลกไปแล้ว คนล่าสุดเพิ่งจากไปเมื่อสองเดือนก่อนคือ คลอเดีย คลาดิเนล R.I.P.
10/10
วินทร์ เลียววาริณ
5-11-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
(มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)
1- แชร์
- 31
