-
วินทร์ เลียววาริณ0 วันที่ผ่านมา
ถ้าเราเปรียบทั้งชีวิตของเราเป็น 24 ชั่วโมง อาจจะได้ภาพเช่นนี้
เราเกิดตอน 6 โมงเช้า หัดเดินตอน 7 โมงเช้า เรียนชั้นอนุบาลตอน 9 โมงเช้า เรียนชั้นประถมตอน 10 โมงเช้า ถึงเที่ยงเราก็เรียนจบชั้นเตรียมอุดม เราเรียนมหาวิทยาลัยจนถึงบ่ายสาม เราเริ่มหางานำตอนสี่โมงเย็น แต่งงานตอน 6 โมงเย็น มีลูกตอนหนึ่งทุ่ม ทำงานไปจนตี 3 เกษียณตอนตี 4 ตายตอน 6 โมงเช้าของวันใหม่
เวลาสั้นไปไหม?
แล้วแต่มุมมอง เพราะความสุขไม่ได้อยู่ที่เลขอายุสูงๆ
บทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/689d6a469aa06fcca8d713ed
1- แชร์
- 10
-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
เข้าร้านกาแฟเดี๋ยวนี้แล้วตกใจสองอย่าง อย่างแรกคือราคา อย่างที่สองคือตอนเห็นกาแฟใส่ครีมสารพัด ไม่กล้ากิน เพราะหน้าตามันเปลี่ยนไป
เป็นคนหัวโบราณจริงๆ
ชาเขียวสำเร็จรูปบ้านเราก็ใส่น้ำตาลหนักมากไม่แพ้น้ำอัดลม ส่วนชาเขียวตามร้านกาแฟไฮเอนด์ทั้งหลายก็ใส่ครีม ใส่อะไรต่ออะไรจนจำหน้าตามันไม่ได้ ไม่กล้าดื่มเช่นกัน
เครื่องดื่มช็อคโกแลตที่ขายกันก็หวานจนตกใจ เคยสั่งมาดื่ม จิบได้สองสามหยดก็ยอมทิ้งของ
กลัวว่าดื่มแล้วจะเป็นคนหวานกว่าเดิม
เครื่องดื่มของผมแทบไม่ใส่น้ำตาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าดื่มในบ้าน
เพราะเอาเงินไปซื้อผงซักฟอกหมด ไม่เหลือซื้อน้ำตาลเลย
กาแฟที่กินมาตลอดคือเอสเพรสโซดำเข้มข้นรสขมปี๋
ชาเขียวคือชาเขียวญี่ปุ่น ขมสนิท ไม่มีน้ำตาลเจือสักโมเลกุลเดียว
ส่วนช็อคโกแลตบาร์นั้นต้องเป็นแบบดาร์ก 90% ขึ้นไป
มะระก็ชอบ
เรื่องความหวานนี่ ผมแพ้ทางอย่างเดียวคือไอติม แต่ก็ไม่ค่อยชอบยี่ห้อฝรั่ง เพราะหวานมากไป ชอบไอติมกะทิสดของไทยมากกว่า
ก็ดื่มขม ๆ กินขมๆ อย่างนี้มานานก่อนหน้าบ้านเราจะฮิตกาแฟและชาเขียว และราคาเครื่องดื่มที่ไม่ควรจะแพงสามารถพุ่งกระฉูดได้ขนาดนี้ ราคากาแฟในร้านกาแฟชื่อฝรั่งหนึ่งถ้วยซื้อข้าวแกงได้ 1-2 จาน
เครื่องดื่มที่ขายกันแพง ๆ เหล่านี้ ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงเหมือนสาวสวยเรียบ พยายามประทินโฉมจัดจ้านจนไม่เห็นใบหน้าเดิม
ขอกินแบบเก่าก็แล้วกัน กาแฟเป็นกาแฟ ชาเขียวเป็นชาเขียว
หรือพูดอย่างเซนคือ ก่อนมีร้านแพง ๆ กาแฟเป็นกาแฟ ชาเขียวเป็นชาเขียว มีร้านแพงๆ แล้ว กาแฟไม่เป็นกาแฟ ชาเขียวไม่เป็นชาเขียว ออกจากร้านแล้ว กาแฟเป็นกาแฟ ชาเขียวเป็นชาเขียว
ดูจากข้อมูลคนเป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วนแล้วเห็นว่า สุภาษิตโบราณ ‘หวานเป็นลม ขมเป็นยา’ คงมีเหตุผล หวานเป็นบ่อเกิดของโรคจริง ๆ และยารักษาโรคส่วนใหญ่จะขม
ผมเริ่มดื่มชาเขียวอย่างเป็นกิจลักษณะ (หมายถึงทุกวัน) ตั้งแต่เข้าพิธีชาเขียวที่เกียวโตนานปีมาแล้ว ทดลองทุกยี่ห้อที่มีจำหน่ายในประเทศไทย พบว่าที่ถูกปากที่สุดเป็นของญี่ปุ่น
ผมศึกษาคุณสมบัติของชาเขียวมานาน พบว่าหลักฐานทั้งทางตะวันออกและตะวันตกเห็นพ้องกันว่ามันช่วยป้องกันมะเร็ง เพราะมีสาร Catechin สูงมาก (Catechin เป็น antioxidant ในตระกูล flavonoids) สูงกว่าชาอื่น ๆ หลายเท่า แต่ที่ดื่มไม่ใช่เพราะเรื่องสุขภาพ ชอบความขมแบบเฉพาะตัวของมันมากกว่า
สำหรับคนที่แคร์ตัวเอง ข้อมูลคือดื่มชาเขียว (แท้-ขม) มีประโยชน์ แต่ถ้าไม่แยแสเรื่องสุขภาพ ก็เชิญดื่มชาเขียวหวาน ๆ โปะครีมหนา ๆ ตามสบาย แล้วไปตายดาบหน้า ส่วนกาแฟกับช็อคโกแลตยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดในเรื่องประโยชน์ทางสุขภาพ
ผมดื่มกาแฟเพราะรสชาติ กาแฟนี่เป็นกิเลสที่ตัดไม่ขาด
ส่วนโกโก้ร้อนนั้นดื่มมาตั้งแต่เป็นเด็ก กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ชินกับความขม นี่อาจแปลว่า ความเคยชินไม่ว่าขมหรือหวาน เป็นนิสัยที่เราสร้างขึ้นเอง คนไม่น้อยกินกาแฟใส่น้ำตาลสองสามช้อนเพราะนิสัย ไม่ใช่เพราะต้องการรสหวานขนาดนั้น กินก๋วยเตี๋ยวก็ตักน้ำตาลลงไปเป็นช้อน ๆ ด้วยความเคยชินจนลิ้นด้าน
ลองค่อย ๆ ปรับตัวลดความหวานลง จะพบว่ามันยังอร่อยได้ โดยที่ไม่ทำลายสุขภาพ
อย่าลืมนะ หวานเป็นลม ขมเป็นยา
รสขมของชาเขียวและกาแฟก็คล้ายกัน ในความขมมีความหอมซ่อนอยู่
ก็คงเหมือนชีวิตกระมัง ไร้ความขมย่อมไม่รู้จักคุณค่าของความหวาน
อ้าว! พูดเรื่องเครื่องดื่มอยู่ดี ๆ กลายเป็นปรัชญาไปเสียแล้ว
วินทร์ เลียววาริณ
21-11-251- แชร์
- 28
-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
หลายปีก่อน รัฐมนตรีบ้านเราเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหายวับไปกับตา ในกรณีเรืออับปางที่ภูเก็ตว่า "คนจีนทําคนจีนกันเอง"
กว่าจะแก้ไขได้ ก็เหนื่อยคนทำข้าวเหนียวมะม่วง เพราะผู้พูดนอกจากจะออกมาขอโทษแล้ว ยังจัดงานเลี้ยงข้าวเหนียวมะม่วงให้กับชาวจีนหมื่นคน ในงาน ‘We Care About You’
ในกรณีของนายกฯญี่ปุ่นเอ่ยถึงไต้หวัน เท่านั้นไฟลุกท่วมประเทศ คำพูดประโยคเดียวทำลายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทันที
ข่าวบอกว่านายกฯญี่ปุ่นไม่คิดว่าจะต้องขอโทษ และคงจะไม่เลี้ยงข้าวเหนียวมะม่วง
ผลที่ตามมาคือ นักท่องเที่ยวจากจีนหายไปทันที 80 เปอร์เซ็นต์ สายการบินคืนเงินให้เต็ม ไม่มีหัก ตอนนี้คืนตั๋วไปแล้วห้าแสนใบ
นอกจากนี้ยังมีมาตรการจำกัดการนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น
จีนและฮ่องกงเป็นหนึ่งในห้าของนักท่องเที่ยวหลักของญี่ปุ่น หายไป 80 เปอร์เซ็นต์ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหนักทีเดียว
เราคงเคยอ่านข่าวคนญี่ปุ่นไม่อยากได้นักท่องเที่ยวล้นเมือง จนถึงขั้นทำป้ายบดบังทัศนียภาพภูเขาฟูจิ แต่หากนักท่องเที่ยวจีนหายไป 80 เปอร์เซ็นต์ คงต้องคิดใหม่
ไทยเราพึ่งพาการท่องเที่ยวมาก ก็ต้องระวัง ปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนหายไปเยอะ ส่วนหนึ่งคือไม่แน่ใจเรื่องความปลอดภัย ความจริงก็มีสัญญาณเตือนมาเป็นระยะ เช่น ต้นปีนี้ จีนส่งมือปราบ หลิวจงอี้ มาปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือประธานาธิบดีสีจิ้นผิง 'เตือน' ผู้นำไทยคนก่อนด้วยคำถามว่า "จะสร้างกาสิโนจริงหรือ?"
เราต้องระวังอย่าเป็นกบในหม้อต้มไฟอ่อนๆ นักท่องเที่ยวเดี๋ยวนี้มีทางเลือกเยอะ อย่าไล่พวกเขาไปด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง จนต้องเอ่ยประโยค "We Care About You." ถึงตอนนั้นถ้าไม่สายเกินไป ก็เปลืองข้าวเหนียวมะม่วง
วินทร์ เลียววาริณ
20-11-251- แชร์
- 35
-
วินทร์ เลียววาริณ3 วันที่ผ่านมา
เราพูดเรื่องน้ำผลไม้สด 100% ที่บนฉลากบอกว่าคั้นสด ไม่ใส่น้ำตาล รสชาติหวานผิดธรรมชาติ
ชาเขียวก็ต้องระวังเช่นกัน
ใครจะดื่มชาเขียวสำเร็จรูป ควรตรวจสอบด้วยว่าชาเขียวนั้นเป็นชาเขียวจริงหรือแต่งกลิ่นชาเขียว สามัญสำนึกบอกว่า ถ้าเป็นชาเขียวจริงบรรจุในขวดใหญ่ ราคาคงไม่ถูก
แต่ที่เป็นห่วงไม่ใช่ราคา หากคือปริมาณน้ำตาล
ผมเคยลองเช็กชาเขียวบรรจุขวดยี่ห้อหนึ่ง 380 มล. (ขวดเล็ก) บ่งว่ามีน้ำตาล 22 กรัม เท่ากับน้ำตาล 5.5 ช้อนชา (บางยี่ห้อบางขนาดสูงถึง 13 ช้อนชา)
ข้อเท็จจริงคือมนุษย์ปกติไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินวันละ 8 ช้อนชา (มาตรฐานสุขภาพอเมริกาชี้ว่า ปริมาณน้ำตาลที่กินในแต่ละวัน ผู้หญิงไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน ผู้ชายไม่เกิน 9 ช้อนชาต่อวัน)
ปริมาณนี้หมายถึงน้ำตาลในทุกอย่างที่บริโภคในแต่ละวัน ซึ่งมีในอาหารต่าง ๆ มากพอแล้ว
กินกล้วยหอมหนึ่งลูก (100 กรัม) ก็ได้น้ำตาลมาแล้ว 5 ช้อนชา (ข้อมูลกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข)
ทุเรียน 100 กรัม = 3.2 ช้อนชา (ใครเล่ากินทุเรียนที จะกินแค่ 100 กรัม?)
น้อยหน่า = 3.8 ช้อนชา
อินทผลัม = 13.8 ช้อนชา
เห็นชัดว่าไม่มีความจำเป็นต้องใส่น้ำตาลเพิ่มเติมในเครื่องดื่มใดๆ อีก
ถ้าดื่มชาเขียวปรุงแต่งรสขวดใหญ่ทุกวัน ก็นึกออกไม่ยากว่าเรื่องนี้จะจบแบบหวานหรือขม
ถ้าให้ผมเขียนนิยายสยองขวัญเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม ก็คงให้เจ้าของบริษัทชาเขียวปรุงแต่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลด้วย ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อส่งลูกค้าเข้าโรงพยาบาล!
มีคนถามว่า ถ้าดื่มชาเขียวเย็นแบบบรรจุขวด ไม่มีน้ำตาล ยังจะได้ประโยชน์จาก anti-oxidant ไหม
หนังสือ Vitamin Bible บอกว่าได้ครับ ได้เท่ากับ 0 !
ดังนั้นเวลาดูโฆษณาประโยชน์ทางสุขภาพของชาเขียว ให้ตรวจสอบก่อนว่าหมายถึงชาเขียวแท้หรือชาเขียวปรุงแต่งที่ผ่านกระบวนการจากโรงงาน
ผมมีเพื่อนชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่ไปไหนมาไหน พกกระติกชาเขียวเย็นไปด้วย เป็นชาเขียวแท้ ดื่มแล้วชุ่มชื่นใจ คนที่ชอบดื่มเย็น ๆ อาจลองวิธีนี้ก็ได้ ทำเองที่บ้าน ปลอดภัยจากสารเคมีทั้งหลายแน่นอน และไม่มีปัญหาจากน้ำตาลส่วนเกิน
วินทร์ เลียววาริณ
20-11-25
1- แชร์
- 26
-
วินทร์ เลียววาริณ3 วันที่ผ่านมา
ผมเขียนคอลัมน์ Geopolitics มาสามปีแล้ว ทั้งที่ไม่เคยคิดจะเขียนเรื่องแนวนี้มาก่อน แต่บังเอิญมีเรื่องจะเล่าสู่กันฟัง ผมสนใจ Geopolitics เพราะชอบศึกษาประวัติศาสตร์ ก็เท่านั้น
ผมรู้ดีว่าตนเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการเมืองโลก จึงมักบอกว่าเก็บความมา หรือย่อยข่าวมาเล่าต่อ
บทความในคอลัมน์ Geopolitics ก็คือการเรียนประวัติศาสตร์แบบเรียล ไทม์ ว่ากันสดๆ เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้น เพราะผมติดตามข่าวต่างประเทศ ข่าวและบทวิเคราะห์จำนวนมากเป็นภาษาอังกฤษ รู้ว่าผู้อ่านบางคนอาจไม่ถนัด หรือไม่มีเวลาอ่าน ก็แกะ-คุ้ย-ย่อยความมาให้รู้กัน
ดังนั้นเมื่อเห็นคอมเมนต์บางคนว่า ผมอวยจีนบ้าง เกลียดอเมริกาบ้าง ชิงชังยิวบ้าง ฯลฯ ก็นึกขำ เพราะผมเป็นแค่ผู้ส่งสาร ส่งต่อความรู้และข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ว่ากันตามเนื้อผ้า
ผู้อ่านอ่านแล้วก็ต้องระวัง อย่าให้อารมณ์พาไปมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอคติ ส่งผลให้การรับข้อมูลบิดเบี้ยวได้ในเรื่องนั้นๆ
การอ่านบทวิเคราะห์ Geopolitics ที่เกิดขึ้น เป็นวิธีการหนึ่งของการเรียนประวัติศาสตร์ ผู้อ่านยังควรศึกษาเบื้องหลังเหตุการณ์ และประวัติศาสตร์ของแต่ละชาติประกอบด้วย อย่ารับอย่างเดียวโดยไม่ศึกษาต่อ
ยกตัวอย่าง เช่น สงครามอิสราเอลในกาซา มองเผินๆ มีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์ฮามาสฆ่ายิวในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 แต่หากศึกษาประวัติศาสตร์ไกลกว่านั้นสัก 100 ปี ก็จะเห็นภาพเป็นหนังคนละม้วน ดังนี้เป็นต้น
นี่ทำให้เมื่อมองว่าเกิด what อะไร where ที่ไหน และ how อย่างไรในโลก ต้องถาม why เสมอ
why นี่ต้องใช้เวลาศึกษา บางคนจึงไม่สนใจใฝ่หา ทำให้การเรียนไม่ครบถ้วน
วินทร์ เลียววาริณ
19-11-251- แชร์
- 36
