• วินทร์ เลียววาริณ
    0 วันที่ผ่านมา

    ปีนี้ผมเล่าถึงบทบาทขององค์การนาโต (NATO) อยู่บ่อยๆ

    อะไรคือ NATO กันแน่?

    NATO เป็นองค์การที่เกิดขึ้นมาเพื่อคานอำนาจกับโซเวียต ส่งทหารอเมริกันไปประจำการที่ยุโรปในยุคสงครามเย็น หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

    นายพลไอเซนฮาวร์ (Eisenhower) ผู้นำทัพสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง และต่อมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ พูดตอนก่อตั้ง NATO ในปี 1949 ว่า NATO จะเป็นองค์กรชั่วคราวเท่านั้น แค่ให้ยุโรปฟื้นตัวจากสงคราม

    ไอเซนฮาวร์เขียนในเดือนกุมภาพันธ์ 1951 ว่า "ถ้าภายในสิบปี ทหารอเมริกันที่ไปประจำการที่ยุโรปยังไม่กลับสหรัฐฯ ก็แสดงว่าโครงการนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง"

    เมื่อโซเวียตล่มสลายในปี 1990 ตามตรรกะ NATO ก็ควรถูกยุบทิ้ง เพราะไม่มีโซเวียตให้ต้านอีกแล้ว แต่จนบัดนี้ ผ่านมา 80 ปี NATO ก็ยังอยู่ที่ยุโรป และคิดขยายตัวไปเบียดรัสเซีย ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือของจักรวรรดิโซเวียต

    ในปี 1985 เมื่อกอร์บาชอฟขึ้นมาเป็นผู้นำ เขามองว่าโซเวียตไปไม่รอด เขาก็คิดยุติสงครามเย็น แปลว่ายอมให้โซเวียตแตกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย

    โลกตะวันตกก็เอาใจช่วยกอร์บาชอฟเต็มที่ เพื่อให้โซเวียตรัสเซียสลายตัวโดยไม่เกิดเหตุรุนแรง

    ประธานาธิบดีจอร์จ บุช คนพ่อ ให้สัญญากับกอร์บาชอฟว่าสหรัฐฯจะไม่ฉวยโอกาสทำลายผลประโยชน์ของโซเวียต ตามมาด้วย  เจมส์ เบเกอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัญญากับกอร์บาชอฟอย่างหนักแน่นว่า “Not one inch eastward” เพราะกอร์บาชอฟกลัวว่า NATO คิดฉวยโอกาสขยายตัวไปทางตะวันออก

    “Not one inch eastward” คือคำสัญญาว่าตะวันตกจะไม่ขยาย NATO ออกไปทางรัสเซียแม้แต่นิ้วเดียว

    เดือนธันวาคม 1991 อาณาจักรโซเวียตก็ล้ม แตกแยกเป็นประเทศใหม่ หนึ่งในนั้นคือยูเครน ตกลงกันว่ายูเครนจะทำหน้าที่เป็นรัฐกันชน

    แต่เมื่อรัสเซียเห็นสหรัฐฯก่อรัฐประหารเปลี่ยนผู้นำยูเครนที่โปรอเมริกัน รัสเซียก็บุกไครเมีย และเมื่อยูเครนส่่งสัญญาณจะเข้า NATO รัสเซียก็บุกยูเครน

    ทำไมสหรัฐฯทำอย่างนี้?

    ตรงนี้มีประวัติศาสตร์โบราณที่ใช้เป็นกรณีศึกษาได้

    ในสมัยอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ พวกกรีกขอให้พวกโรมันช่วยไปปราบพวก Macedon ที่กำลังแผ่อำนาจ กรีกเชื่อว่าหากได้โรมันมาคุ้มครอง ก็จะปลอดภัย

    โรมันก็ส่งกองทัพไปปราบพวก Macedonian หลายครั้ง จนราชอาณาจักร Macedon ย่อยยับ

    แล้วโรมันทำอย่างไร? กลับบ้าน? หามิได้ ทำอย่างนั้นให้โง่ทำไมเล่า

    โรมันบอกทุกฝ่ายว่า พวกเอ็งไม่ต้องทะเลาะกัน เพราะตอนนี้พวกเอ็งทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันแล้ว

    ว่าแล้วก็ปกครองทั้งกรีกทั้ง Macedon ไปอีก 500 ปี

    ตอนนี้ยุโรปกำลังทำตัวเป็นพวกกรีกในอดีต แลเห็นรัสเซียเป็น Macedon ส่วนสหรัฐฯก็คือพวกโรมัน

    สหรัฐฯอาจคิดตอนแรกว่า NATO อยู่ไม่นาน แต่คิดไปคิดมา ทำไมเราไม่เอาอย่างโรมันล่ะ สถาปนาอเมริกาเป็นจักรวรรดิ ทำลาย Macedon รัสเซีย ให้ทวีปยุโรปกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ

    แล้วอยู่ยาวอีก 500 ปี

    วินทร์ เลียววาริณ
    10-12-25

    1
    • 0 แชร์
    • 20
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    ในสมัยหนุ่ม ๆ เวลาเดินทางไปต่างจังหวัด ไม่ว่าทิศใด บางวูบก็เบื่อที่เห็นวิวคล้ายๆ กันแบบนี้ตลอดทาง คิดในใจว่าเมื่อไรจะถึงสักที

    แต่เมื่อวัยสูงขึ้น กลับมองด้วยสายตาอีกคู่หนึ่ง

    เป็นภาพเดิมๆ ก็จริง แต่ไม่เหมือนเดิม

    เป็นภาพธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา

    เพราะมองทะลุภาพเข้าไป ก็เห็นชีวิตต่างๆ ในแต่ละฉาก

    ทำให้นึกถึงท่านสุนทรภู่ เดินทางผ่านที่ใด ก็มองลึกและกลั่นออกมาเป็นบทกวี

    สมัยเป็นนักเรียนอ่านไม่ค่อยเข้าใจ แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ชัดเจนขึ้นมาก

    การเดินทางในสมัยสุนทรภู่ไปช้ากว่าสมัยนี้หลายเท่า ดังนั้นจึงยิ่งมีเวลาพินิจพิจารณาแต่ละฉากอย่างละเอียด

    ยกตัวอย่าง นิราศสุพรรณ

    ล่วงย่านบ้านวัดร้าง เรือนโรง
    ตกทุ่งถึงคลองโยง หย่อมไม้
    วัดใหม่ธงทองโถง ที่ติด ตื้นแฮ
    ควายลากฝากเชือกไขว้ เคลื่อนคล้อยลอยเลนฯ

    คนขี่ตีต้อนเร่ง รันควาย
    ถอนถีบกีบกอมตกาย โก่งโก้
    เหนื่อยนักชักเชือกหงาย แหงนเบิ่ง เบือนแฮ
    คนหวดปวดป่วนโอ้ สอึกเต้นเผ่นโผนฯ

    เราเห็นชีวิตในฉากนั้น

    นิราศภูเขาทอง ก็เป็นบันทึกการเดินทางที่บรรยายฉากชีวิตที่พบ แล้วโยงหาตัวชีวิตผู้เขียน

    ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้อง 
    มามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน
    เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืน 
    จึงต้องขืนในพรากมาจากเมือง

    ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง 
    มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
    โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา 
    ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย

    ฯลฯ

    มองชีวิต มองการเดินทาง แล้วทำให้เข้าใจสุนทรภู่ดีขึ้น

    เพราะการเดินทางคือชีวิต และชีวิตก็คือการเดินทาง

    ทุกๆ วันเราก็เดินทางไปสู่วัยที่สูงขึ้น ถ้าเราสามารถทำให้แต่ละวันเป็นประสบการณ์ที่ดี มันก็เป็นการเดินทางที่ดี

    The journey is more important than the destination.

    วินทร์ เลียววาริณ
    10-12-25

    1
    • 0 แชร์
    • 14
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    ผมเริ่มเขียนงานชุด บาร์เทนเดอร์ ซีรีส์ มาตั้งแต่ปี 2560 เขียนสะสมมาเรื่อยๆ

    ไม่น่าเชื่อว่าเขียนมาแปดปีแล้ว

    รวมเล่มเป็นอีบุ๊คแล้วสอง แต่วางจำหน่ายแค่หนึ่ง อีกเล่มยังขี้เกียจขาย

    อย่างนี้ก็มีด้วย

    นี่เป็นงานบันทึกเหตุการณ์บ้านเมือง ในรูปหัสคดีเสียดสี ยั่วล้อ

    ร้านเหล้าที่ใช้เป็นฉากของเรื่องชื่อร้านพับผ่า (PubPar)

    ชื่อนี้มีที่มา

    จะรู้เรื่องนี้ ควรอ่านนวนิยายไซไฟกวนตีนชื่อ ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85

    ใช่ ชื่อเรื่องยาวอย่างนี้ 'พิมพ์ครั้งที่ 85 ' ก็เป็นส่วนหนึ่งของชื่อ

    กวนตีนตั้งแต่ชื่อเรื่องอย่างนี้แหละ ใครจะทำไม

    ในเรื่องนี้ ตัวละคร ‘สาย ธารี’ ชอบไปนั่งในร้านเหล้าหรือผับแห่งหนึ่งชื่อ พับผ่า

    สาย ธารี บรรยายลักษณะร้านนั้นดังนี้

    "มันไม่ใช่คำสบถ แต่เป็นสถานที่ที่บางคนไปปลดปล่อยคำสบถ (พับผ่าเป็นคำสบถในยุค 50-60 ปีก่อน) มันไม่ใช่โรงเรียน แต่เป็นสถานที่ที่หลายคนจบปริญญาแห่งชีวิต ยามกลางวันมันเป็นร้านกาแฟตามสมัยนิยม (ราคาอย่างต่ำถ้วยละ 45 บาท อย่างสูงถ้วยละ 200 บาท) ยามราตรีมันคือผับสามัญประจำบ้านของข้าพเจ้า ตั้งอยู่ชั้นล่างของเกสต์เฮาส์ ห่างจากห้องพักของข้าพเจ้ายี่สิบสองก้าว (จำนวนก้าวเพิ่มเป็นสัดส่วนกับปริมาณแอลกอฮอล์์ในสายเลือด)

    PubPar (พับผ่า) คือดินแดนเสรีและปลอดเส้นแบ่งพรมแดนอย่างแท้จริง ที่นี่ไม่มีการตรวจบัตรประชาชน ไม่มีการตรวจฉี่และนิสัยส่วนตัว...

    นี่เป็นสถานที่ที่คุณสามารถพบคนทุกรูปแบบ ทั้งนิสัยดีและแย่ (วัดคุณภาพได้หลังเหล้าเข้าปากสักสองสามจอก) ยกเว้นข้าพเจ้าแล้ว ที่นี่มีลูกค้าไหลเวียนเปลี่ยนไปไม่ซ้ำหน้า ตั้งแต่ฝรั่งไปจนถึงจีน ญี่ปุ่น พม่า ลาว เขมร..."

    เราไม่รู้ว่าร้าน PubPar แห่งนี้เปิดมานานแค่ไหนแล้ว และอยู่ในโลกเดียวกับเราหรือไม่

    เราไม่รู้ว่าบาร์เทนเดอร์ร้านเหล้านี้เป็นใคร มาจากไหน เรียนจบหรือไม่จบอะไรมา อยู่ในวงการขี้เมามานานเท่าไร

    เรารู้เพียงว่า นอกจาก สาย ธารี ผู้ชอบไปนั่งขลุกในร้านนี้แล้ว ยังมีตัวละครและบุคคลจริงอีกมากมายแวะเวียนไปนั่งดื่มสุรานานาชนิดและสนทนา-ปุจฉา-วิสัชนากับบาร์เทนเดอร์
    บาร์เทนเดอร์เป็นชุด ‘spinoff’ จากนวนิยายเรื่อง ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85 ดังนั้นเหตุการณ์ต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นในโลกคู่ขนานต่าง ๆ ใน mulitiverse

    แม้อาจเป็นคนละจักรวาลกัน แต่มันเสียดสีโลกปัจจุบัน โลกของเรา ประเทศของเรา และคนของเรา

    เรื่องสั้นชุดนี้แตกต่างจากเรื่องสั้นทั่วไปคือเรื่องส่วนใหญ่อิงเรื่องจริง เหตุการณ์จริง มีตัวละครจริงเยอะ มันอาจสมจริงเพราะใช้เหตุการณ์จริงในบ้านเมืองมาเป็นประเด็น แต่อ่านให้ดีจะพบว่ามันเป็นเรื่องแต่ง คล้าย ๆ นิยายอิงประวัติศาสตร์

    แต่จะว่าไปแล้ว มันอาจเข้าข่ายแฟนตาซี เพราะสามารถทำอะไรก็ได้ เช่น บาร์เทนเดอร์คุยกับเสือดำ กิมย้ง หรือคุยกับคนที่ตายไปแล้ว เช่น โจโฉ และมันก็เป็นไซไฟ เพราะเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในจักรวาลอื่น

    หลายประเด็นหลายเรื่องในชุดนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเราซ้ำ ๆ ซาก ๆ และเซม ๆ เรื่องการเมือง คอร์รัปชัน ฯลฯ ไปจนถึงเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งที่เราขยายให้เป็นดรามา วนเวียนจนน่าวิงเวียน บางครั้งทางแก้นั้นมี แต่เมื่อผู้มีอำนาจเลือกซุกปัญหาไว้ใต้พรม และผู้คนเลือกลืม พวกเราก็ขอเลือกบ่นแล้วดื่ม (หรือดื่มแล้วบ่น) ในร้านเหล้าชื่อ พับผ่า

    บาร์เทนเดอร์จึงอาจจัดเป็นบทตรวจสอบสังคม หรือบทบันทึกเหตุการณ์ทางสังคมร่วมสมัยที่เกิดขึ้นในบ้านเราใน พ.ศ. นี้ มันก็เหมือนละครแบบ escapism นั่นแหละ อ่านขำ ๆ ไว้เพื่อมีแรงสู้โลกแห่งความจริงต่อไป

    เพราะบางครั้งการหัวเราะในประเทศนี้ต้องใช้พลังงานสูงมาก และมิใช่สิ่งที่ทำง่าย พับผ่าเถอะ!

    วินทร์ เลียววาริณ 9-12-25

    ป.ล. เล่ม 1 ชื่อ พับผ่า! บาร์เทนเดอร์ มีจำหน่ายที่ The Meb

    1
    • 0 แชร์
    • 15
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    ลูกค้าร้านพับผ่าคนนี้เป็นฝรั่ง เขาเดินดุ่มๆ มานั่งที่เคาน์เตอร์ ข้าพเจ้าทักทายเขาด้วยภาษาอังกฤษ เขาตอบเป็นภาษาไทยอย่างชัดเจน

    "คุณพูดไทยได้ดีมาก"

    "ขอบคุณ"

    "งั้นผมเดาว่าคุณไม่ใช่นักท่องเที่ยว"

    "ผมไม่ใช่นักท่องเที่ยว ผมทำงานกับองค์การซีไอเอ ถูกส่งมาสืบหาความลับในเมืองไทย จุดที่ดีที่สุดในการหาความลับคือร้านเหล้า"

    "ใช่ ร้านเหล้าย่อมเป็นจุดที่ดี แต่ที่นี่มีความลับเดียวคือสูตรการผสมเหล้าค็อคเทล ให้ใครไม่ได้"

    "ผมไม่ได้ต้องสูตรเหล้าหรือสูตรเตี๋ยว ผมมาหา weapons of mass destruction ต่างหาก"

    "มาหาอาวุธมหาประลัยในเมืองไทย? เมืองไทยไม่มีหรอก"

    "มันไม่ใช่ประเด็นมีหรือไม่มี แต่อยู่ที่ว่าชาวโลกเชื่อหรือไม่เชื่อ"

    "อย่าง weapons of mass destruction ในอิรัก?"

    "ใช่แล้ว"

    "ทำไมซีไอเอจึงคิดว่าเมืองไทยมีอาวุธมหาประลัย?"

    "ก็เพราะกองทัพกัมพูชารายงานในวันก่อนว่าฝ่ายไทยยิงแก๊สพิษใส่กัมพูชา เราจึงคิดว่าเมืองไทยอาจมีอาวุธมหาประลัย"

    "แล้วซีไอเอก็เชื่อคำประกาศของเขมร?"

    "ใช่ ประกาศของเขาละเอียดมาก ฝ่ายเขมรประกาศว่า กองกำลังทหารไทยใช้อาวุธหนักและอาวุธทำลายล้างหลายชนิด เช่น อาวุธเบา ปืนกล ปืนครก MT-60 มม. รถถัง ปืนใหญ่หนัก 155 มม. ปืนกลหนัก 12.7 มม. เครื่องบินรบ F-16 เครื่องบิน AT-6 โดรนที่ใช้สำหรับการทิ้งระเบิด นอกจากนี้ยังยิงแก๊สพิษใส่กองกำลังกัมพูชา"

    "แล้วคุณก็เชื่อ?"

    "อ้าว! ทำไมไม่เชื่อ ในเมื่อสำนักข่าว CNN รายงานอย่างนั้น CNN ยังรายงานว่าไทยบุกโจมตีเขมรก่อน"

    ข้าพเจ้าถอนใจ

    "ผมรู้จักผู้สื่อข่าว CNN คนนั้น วันๆ มันมากินเหล้าที่นี่ พอเมาได้ที่ ก็นั่งเทียนเขียนรายงานข่าว เขียนอยู่ในร้านนี่แหละ ไม่ได้โผล่หัวไปที่ชายแดน ไอ้คนร่างประกาศของเขมรก็กินเหล้าเหมือนกัน กินเหล้าคู่กับนักข่าว ทั้งคู่เมาทั้งวันทั้งคืน"

    "จริงหรือ?"

    "จริงซี ผมจะโกหกคุณไปหาสวรรค์วิมานอะไรเล่า ผมไม่ใช่อังเคิล"

    "งั้นดื่มเหล้าดีกว่า คุณมีอะไรเสนอมั้ย?"

    "ในเมื่อคุณพูดถึงแก๊สพิษ ผมก็ขอเสนอ Toxic Waste cocktail ทำด้วยว็อดกา Sour Apple Schnapps ผสม Blue Curacao ผสมน้ำส้ม ผสม Citrus Flavored Bitters"

    "ตกลง"

    ข้าพเจ้าเสิร์ฟ Toxic Waste cocktail ให้ฝรั่งซีไอเอ เขาถาม "ทำไมเป็นสีเขียว?"

    "สีเขียวก็เข้ากับอารมณ์พิษไง"

    เขาดื่มรวดเดียวหมดแก้ว

    "พิษสีเขียวนี่รสดี"

    "ไม่ใช่รสดีนะครับ รสดีเป็นเครื่องปรุง ต้ม ผัด แกง ทอด หอมอะไรในพริบตา คู่ครัวรสดี"

    "พิษสีเขียวนี่รสเยี่ยม มีพิษสีอื่นไหม?"

    "มีพิษสีม่วง"

    ข้าพเจ้าทำค็อคเทลแก้วใหม่ให้เขา Purple Poison ทำด้วย The Botanist Gin ผสม Blue Curacao ผสมน้ำแรสเบอร์รี น้ำมะนาว

    เขาดื่มเครื่องดื่มสีม่วงหมด เอ่ย "พิษสีม่วงนี่ก็รสดี เอ๊ย! รสเยี่ยม"

    ข้าพเจ้ามองหน้าซีไอเอ

    "ผมสงสัยว่าพวกคุณมีสายลับมากมาย ทำไมไม่มีปัญญาหาข่าวเอง ต้องพึ่ง CNN"

    "งานเราเยอะ ตอนนี้เราทุ่มคนไปจัดการพวกเวเนซูเอลา กะล้มรัฐบาลนั่นให้ได้ เหลือผมคนเดียวดูแลแถวนี้ ผมจึงมาสืบข่าวในร้านเหล้า ขออีกแก้วนะ"

    แก้วต่อไปคือ Toxic Tonic เป็นส่วนผสมของเหล้ายิน น้ำสับปะรด Tonic water และ Peychaud’s bitters

    ซีไอเอดื่มได้ครึ่งแก้ว ก็ชะงัก สูดจมูกฟืดๆ สีหน้าตกใจ

    "แก้วนี้ไม่อร่อยหรือ?"

    "เปล่า ผมได้กลิ่นพิกล"

    "กลิ่นของค็อคเทลหรือ?"

    "ไม่ใช่ ผมได้กลิ่นในอากาศ นี่กลิ่นแก๊สพิษหรือเปล่า? นี่คนไทยจะฆ่าซีไอเอหรือ? ไหนคุณว่าเมืองไทยไม่มีแก๊สพิษไง..."

    "เปล่า..." ข้าพเจ้าตอบ "กลิ่นผายลมของผมเอง"

    วินทร์ เลียววาริณ
    9-12-25

    ..................

    หมายเหตุ เหล้าทั้งหมดนี้มีจริง

    พับผ่า! บาร์เทนเดอร์ (The Bartender Series 1) มีจำหน่ายแล้วในรูปอีบุ๊ค สนใจดูได้ในเว็บ The Meb

    1
    • 0 แชร์
    • 21
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    มนุษย์ในโลกนี้มีราวแปดพันล้านคน แต่ละคนมีนิสัยบุคลิกต่างกันออกไป ที่คล้ายๆ กัน เรามักจับกลุ่ม และตั้งชื่อ

    โดยหยาบๆ คือพวก Introvert และ Extrovert

    Introvert คือเก็บตัว ไม่ชอบเข้าสังคม

    Extrovert ชอบเผยตัว ชอบพบปะคน

    แต่แบ่งคนเป็นแค่สองอย่างนี้คงแคบไป ในทางวิทยาศาสตร์ มีหลัก The Myers-Briggs Type Indicator (MBTI) ชี้ว่าเราแต่ละคนเป็นมนุษย์กลุ่มบุคลิกนิสัย ออกย่อยเป็น 16 แบบ

    วันนี้วงการจิตแพทย์เสนอประเภทใหม่ เรียกว่า Otrovert

    Otrovert ไม่ใช่ทั้ง Introvert และ Extrovert

    Otrovert ในมุมของจิตแพทย์ หมายถึงคนที่รู้สึกว่าตนเองเป็นคนนอกเสมอ Otrovert ไม่จำเป็นต้องเป็นพวกต่อต้านสังคม (antisocial) แต่ไม่อยากเข้ากลุ่มใคร

    Otrovert ให้ค่าความเป็นอิสระของตนเอง พวกเขาเชื่อมกับคนอื่นได้ เข้าสังคมได้ แต่ไม่ชอบเข้ากลุ่ม ไม่สนใจกติกาค่านิยม จารีตที่สังคมกำหนด

    "ฉันขออยู่ของฉันอย่างนี้"

    เอาละ หลักการแบ่งประเภทคน ไม่ว่าเป็นสำนักไหน ก็เป็นแค่ดัชนีบอกคร่าวๆ ว่าเราน่าจะเป็นพวกไหน ไม่ใช่ตราประทับถาวร เราสามารถพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงได้ มากหรือน้อยแล้วแต่คน

    ท้ายที่สุดแล้ว การดำเนินชีวิตก็อยู่ที่ตัวเราเอง เข้าใจตนเองดีแค่ไหน และจะหาทางอยู่กับโลกได้อย่างมีความสุขสงบอย่างไร

    และถ้าเป็นไปได้ ก็ทำให้คนอื่นมีความสุขด้วย

    วินทร์ เลียววาริณ
    9-12-25

    1
    • 0 แชร์
    • 25