• วินทร์ เลียววาริณ
    0 วันที่ผ่านมา

    ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ ผมก็นึกถึงฉากนี้ในนวนิยาย ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ที่เขียนมา 32-33 ปีแล้ว

    คือฉาก ตุ้ย พันเข็ม ไปร่วมพิธีศพเจ้าหน้าที่รัฐที่ตายในวันเสียงปืนแตก (7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 ครบรอบ 60 ปีในปีนี้) แล้วนึกถึงเจ้านายเก่า (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ที่ตายต่างแดน อัฐิเก็บไว้ในวัดเดียวกัน

    เรื่องท่อนนี้เขียนไว้ดังนี้

    .....................

    อัคคีเร่าร้อนระริก แลบแปลบไปมาดุจลิ้นอสรพิษ ปลายแฉกไร้รูปฉกตวัดเปลวสีแดงส้มพล่านพลุ่งจากเมรุเผา ไฟร้อนแรงละเลียดผ้าห่อหุ้มสีขาวที่ห่มคลุมร่างเย็นชืดซึ่งครั้งหนึ่งเคยโลดแล่นในโลก เคยรัก เคยเกลียด เคยโลภ โกรธ หลง เคยรุ่งเรือง เคยมีอำนาจวาสนา บัดนี้กลับเป็นเพียงซากไร้วิญญาณนอนนิ่งให้ไฟลูบไล้ร่าง

    หลายมือที่ยังมีชีวิตโยนดอกไม้จันทน์เข้าไปในเตาเผา พริบตามันก็มอดไหม้เป็นจุรณ เตาสีดำสนิทค่อย ๆ ส่งควันสีเทาลอยอ้อยอิ่งจากยอดปล่อง เชื่องช้าคล้ายกับจะรู้ว่ายังมีซากเรียงรอให้มันย่อยสลายอยู่ไม่มีวันสิ้นสุด มันพบเห็นความตายมามากนัก สำหรับมันแล้ว ชีวิตเป็นเพียงสิ่งสมมุติฉากหนึ่งที่เริ่มด้วยความฝัน และจบลงด้วยความจริง

    ตุ้ย พันเข็ม ยืนอยู่ที่นั่นมานานแล้ว ในลานวัดที่ว่างเปล่าและเงียบเหงา เฝ้ามองพิธีเผาศพของเจ้าหน้าที่รัฐที่ตายจากการถูกซุ่มโจมตี งานศพเป็นสิ่งที่เขาเกลียด แต่กลับพบพานอยู่เสมอ เขารู้จักตำรวจสามนายในกลุ่มผู้ตายเพราะเคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา ทั้งหมดยังเป็นคนหนุ่มฝีมือดีมีอนาคตไกล แต่กลับตายอย่างง่ายดายจากการถูกกลุ่ม 'ผู้ก่อการร้าย' ซุ่มโจมตีเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 วันที่ถูกจารึกบนหน้าประวัติศาสตร์ไทยว่า วันเสียงปืนแตก

    หลังจากผู้ที่มาร่วมงานศพแยกย้ายกันกลับหมดแล้ว เขาก็มานั่งอยู่ที่ลานวัดคนเดียว รอบข้างเป็นเจดีย์เก็บอัฐิเรียงเป็นแถว จะมีใครสนใจบ้างไหมว่า เมื่อตายแล้วก็ถูกเผาเหลือเพียงอัฐิมาเก็บไว้ในเจดีย์เก่า ๆ นี้ แม้แต่อัฐิของ 'ท่าน' ก็ถูกบรรจุในเจดีย์วัดแห่งหนึ่งเช่นกัน

    เมื่อท่านเสียชีวิตในต่างแดนเมื่อหนึ่งปีก่อน ศพของท่านถูกเผาที่นั่นและนำอัฐิกลับมายังแผ่นดินมาตุภูมิ เครื่องบินนำอัฐิท่านกลับมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2507 ท่ามกลางกองเกียรติยศของทหารอากาศและคนใหญ่คนโตมากมาย เขาก็เป็นคนหนึ่งในหมู่คนที่ไปรอรับ หากแต่ยืนหลบมุมมองดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ เงียบ ๆ ห้าสิบวันต่อมาอัฐิถูกนำมาเก็บไว้ในเจดีย์

    เขาเคยคลุกคลีกับ 'ท่าน' มานาน ท่านเป็นทั้งเจ้านายและเพื่อน กรำศึกการเมืองมานับไม่ถ้วน หลายปีแห่งชีวิตที่โลดแล่นอย่างโลดโผนจบลงด้วยการถูกยึดอำนาจและลี้ภัยที่แดนอาทิตย์อุทัย บางทีท่านคงเคยได้ยินคำกวีที่ปราชญ์ญี่ปุ่นโบราณว่าไว้ ชีวิตเป็นเพียงความฝันในฤดูใบไม้ผลิ ความตายก็คือการกลับบ้าน

    ความตายก็คือการกลับบ้าน! ชีวิตที่ผ่านร้อนหนาวมานานของท่านคงเข้าใจมันซึ้งกว่าใคร มันเป็นสัจธรรมแห่งธรรมชาติที่ไม่เคยหลีกทางให้ผู้ใด ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นไพร่หรือราชา มันเลือกจู่โจมในยามที่คนไม่ระวัง เขาเคยพบความตายที่หนักแน่นกว่าขุนเขา ความตายที่เบาโหวงดุจขนนก ความตายจากโรคภัย ความตายจากการประหาร ความตายจากสงคราม อีกนานเท่าใดจะถึงความตายของเขา? อีกนานเท่าใดเขาจะได้กลับบ้าน?

    ลานวัดว่างเปล่าและเงียบเหงา ไฟในเมรุมอดลงแล้ว นกกระจอกตัวสุดท้ายในลานวัดจิกอาหารบนพื้นเป็นคำสุดท้ายก่อนโบยบินจากไป มันจะเข้าใจไหมว่า ชีวิตไม่ว่าจะเปี่ยมอำนาจและทรัพย์ศฤงคารเท่าใด ในที่สุดก็ต้องจากไปอย่างเดียวดายทุกคน?

    เช่นเดียวกับนก ตุ้ย พันเข็ม จากวัดไปเงียบ ๆ คนเดียว

    .....................

    นวนิยายฉากนี้ฉายภาพสัจธรรมที่นักการเมืองจำนวนมากไม่ค่อยมอง นั่นคืออำนาจไม่เคยอยู่ค้ำฟ้า มันมีขึ้นก็มีลง และผู้นำสูงสุดหลายคนก็ต้องตายต่างแดน และกลับบ้านในสภาวะอัฐิ

    มันน่าจะเป็นภาพที่ทำให้คนอยู่ในอำนาจรักบ้านเกิดของตนมากขึ้น และทำเพื่อแผ่นดินเกิดมากขึ้นสักนิด

    เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราวัดค่าของคนหลังจากเขาตาย ว่าจะมีใครจดจำและระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่เขาเคยทำให้แผ่นดินเกิดไหม

    วินทร์ เลียววาริณ
    5-9-2568

    1
    • 0 แชร์
    • 19
  • วินทร์ เลียววาริณ
    0 วันที่ผ่านมา

    วันก่อนอ่านข่าวคนที่อ้างว่ามีอำนาจแก้กรรมแล้ว ก็นึกถึงศาสตราจารย์อับราฮัม ธอมัส โควัวร์ (Abraham Thomas Kovoor)

    ศาสตราจารย์อับราฮัมเป็นชาวศรีลังกาผู้ทำงานตรวจสอบเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติและหมอดูและนักอ่านลายมือที่บอกว่าโหราศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์ ในอินเดียและศรีลังกา

    ในปี 1963 เขาท้าทายวงการโหราศาสตร์ให้ทำนายหรือทำเรื่องตามรายการที่เขากำหนด ตั้งรางวัลหนึ่งแสนรูปีศรีลังกา

    เงินรางวัลเปิดให้จนเมื่อเขาตายหรือมีคนทำได้คนแรก ทำได้แค่อย่างเดียวก็รับรางวัลไปเลย

    รายการของเขามีดังนี้

    1 อ่านเลขธนบัตรในซองที่ปิดผนึก

    2 สร้างธนบัตรที่เหมือนจริง

    3 ยืนนิ่ง ๆ บนถ่านที่คุไฟนานครึ่งนาที โดยไม่เกิดแผลพุพอง

    4 เสกสิ่งของจากความว่างเปล่า

    5 เคลื่อนหรืองอวัตถุแข็งโดยใช้พลังจิต

    6 อ่านความคิดคนอื่นโดยใช้กระแสจิต

    7 ทำให้แขนขาที่ขาดไปงอกขึ้นมาได้แม้แค่นิ้วเดียวด้วยพลังวิเศษทั้งหลาย

    8 ลอยตัวกลางอากาศโดยใช้พลังโยคี

    9 สั่งให้หัวใจหยุดเต้นห้านาทีโดยพลังโยคี

    10 ไม่หายใจสามสิบนาทีโดยพลังโยคี

    11 เดินบนผิวน้ำ

    12 วางร่างกายที่จุดหนึ่งและปรากฏตัวในอีกที่หนึ่ง

    13 ทำนายเหตุการณ์ในอนาคต

    14 แสดงให้เห็นว่าสามารถใช้พลังโยคีทำให้ฉลาดขึ้นหรือตรัสรู้

    15 พูดหรือเข้าใจภาษาที่ไม่รู้เพื่อพิสูจน์เรื่องการเกิดใหม่หรือการถูกวิญญาณสิงร่าง

    16 ถ่ายรูปวิญญาณหรือผีได้

    17 ไม่ปรากฏรูปบนฟิล์มเมื่อถูกถ่ายรูป

    18 ออกจากห้องที่ถูกล็อกด้วยพลังจิตวิญญาณ

    19 ทำให้สิ่งของมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์

    20 หาสิ่งของที่ถูกซ่อนไว้พบ

    21 เปลี่ยนน้ำเป็นน้ำมันหรือไวน์

    22 เปลี่ยนไวน์เป็นเลือด

    บางคนอาจเห็นว่าโจทย์ยากเกินไป ศาสตราจารย์อับราฮัมจึงให้งานที่ง่าย ๆ เป็นข้อสุดท้ายในรายการ

    ข้อ 23 แยกได้ว่าลายฝ่ามือสิบชิ้นหรือแผนผังโหราศาสตร์สิบชิ้นที่บ่งวันเวลาเกิดและสถานที่เกิด บอกตำแหน่งเส้นรุ้งเส้นแวงชัดเจน โดยทายให้ได้ว่าสิบชิ้นนี้ เป็นของชายหรือหญิง มีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว โดยผิดพลาดได้ไม่เกินห้าเปอร์เซ็นต์

    ง่ายมาก ไม่ต้องทายอดีตและอนาคต แค่บอกว่าเป็นชายหรือหญิง และยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

    ไม่ทำรายการอย่างเดียว ท่านศาสตราจารย์ยังท้าทายหมอดู ผู้วิเศษทั้งหลายที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นยี่สิบกว่าคน ระบุชื่อท้าโดยตรง

    ศาสตราจารย์อับราฮัม ธอมัส โควัวร์ เสียชีวิตในปี 1978 ในช่วงสิบห้าปีนั้น ไม่มีใครสักคนเดียวทำเรื่องในรายการได้แม้แต่เรื่องเดียว

    ในฝั่งตะวันตก นักมายากล เจมส์ แรนดี (James Randi) ตั้งรางวัลหนึ่งล้านดอลลาร์แก่ใครก็ตามที่สามารถแสดงให้เห็นอำนาจเหนือธรรมชาติภายใต้การเฝ้าสังเกต

    จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครได้รับเงินรางวัลดังกล่าว

    วินทร์ เลียววาริณ
    5-9-25

    จากหนังสือ หลับถึงชาติหน้า 
    รวมบทความต้านโหราศาสตร์และไสยศาสตร์
    28 บทความ ราคา 220 = บทความละ 7.8 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
    220 บาทนี้จะทำให้คุณประหยัดค่างมงายไปตลอดชีวิต
    หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว

    https://www.winbookclub.com/store/detail/168/หลับถึงชาติหน้า 
    โปรโมชั่นคู่กับเล่มอื่น https://shope.ee/Vj8bA8a4u?share_channel_code=6 

    1
    • 0 แชร์
    • 21
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    นานปีมาแล้ว ครั้งที่ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน เป็นหัวข้อของวิวาทะกัน นักวิชาการคนหนึ่งบอกว่า "ประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอย" แย้งกับที่ผมเขียนในคำนำหนังสือเล่มนั้นว่า "มิเพียงแต่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย คนไทยเรายังไม่มีความสามารถในการเรียนรู้อีกด้วย!"

    ภาพการเมืองวันนี้ดูเหมือนจะตอกย้ำอีกหนว่า "ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย"

    เรากำลังพูดถึงประโยค “มันจบแล้วครับนาย”

    ต้นเหตุของประโยคนี้มาจากวันหนึ่งในปี ๒๕๕๐ ทักษิณ ชินวัตร ติดต่อเสนอให้ สมัคร สุนทรเวช ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และเป็นนายกรัฐมนตรี ‘นอมินี’

    สมัคร สุนทรเวช ตอบว่า “ตกลง แต่ผมมีเงื่อนไขข้อเดียว”

    “เงื่อนไขอะไร?”

    “ต้องไม่ทิ้งกัน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร”

    ทักษิณรับปาก

    สมัคร สุนทรเวช เริ่มบริหารประเทศไม่นาน กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกออกโรงเคลื่อนไหวขับไล่ จุดหมายคือต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

    การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯ เกิดขึ้นในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑ หน้าทำเนียบรัฐบาล แล้วย้ายไปชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนินนอก

    ยกระดับการชุมนุมจากการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นขับไล่รัฐบาล สมัคร สุนทรเวช

    การเมืองดูเหมือนถึงทางตัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมถอย

    วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๑ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ สมัคร สุนทรเวช สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยขาดคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๖๗ เนื่องจากเป็นพิธีกรของรายการทำครัว

    พรรคร่วมรัฐบาลต้องหานายกฯคนใหม่มาแทน

    ทักษิณ ชินวัตร โทรศัพท์หา เนวิน ชิดชอบ “แจ้ง ส.ส. พรรคพลังประชาชนว่าให้สนับสนุนคุณสมัครเป็นนายกฯอีกรอบ”

    สมัคร สุนทรเวช ปฏิเสธข้อเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีรอบที่สอง แต่เมื่อได้รับการขอร้องซ้ำ หนึ่งคืนก่อนการโหวตเลือกนายกฯ อดีตนายกฯก็ตกลง

    เช้าวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๑ เนวิน ชิดชอบ ได้รับโทรศัพท์จากทักษิณ ยืนยันให้เลือก สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ ทุกอย่างดำเนินไปตามกำหนด สมัคร สุนทรเวช เดินทางไปถึงสภาฯแต่เช้า นั่งรอสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลในห้องรับรอง ขณะที่ ส.ส. พรรคพลังประชาชนกลุ่มเพื่อนเนวิน และพรรคประชาธิปัตย์ทยอยเดินทางมาประชุม แต่ไม่เห็น ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ

    องค์ประชุมไม่ครบ การเลือกนายกรัฐมนตรีล้มเหลว

    เหตุที่องค์ประชุมขาด ส.ส. พรรคที่เหลือเพราะพวกเขาได้รับคำสั่งให้ขาดการประชุมสภาฯ เนื่องจากในนาทีสุดท้าย แผนเปลี่ยนให้เลือก สมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี

    เวลา ๑๐.๑๕ น. สมัคร สุนทรเวช เดินกลับไปขึ้นรถคนเดียว กลับบ้านอย่างเงื่องหงอย

    นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ทุกคนเห็นนักการเมืองชราในที่สาธารณะ

    ข่าวต่อมาคือ สมัคร สุนทรเวช ป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ และไปรักษาตัวที่สถาบันมะเร็งฮิวสตัน สหรัฐอเมริกา เชื่อกันว่าความรู้สึกคับแค้นใจที่ถูกแทงข้างหลังทำให้อาการมะเร็งเลวร้ายลง และเชื่อว่าที่สมัครเสียใจตลอดเวลาที่ป่วยหนักคือ ไม่มีเสียงถามไถ่ทุกข์สุขจากแดนไกลสักครั้งเดียว

    สมัคร สุนทรเวช ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒

    เหตุที่เกิดขึ้นกับ สมัคร สุนทรเวช สร้างรอยร้าวลึกกับกลุ่ม เนวิน ชิดชอบ ซึ่งใกล้ชิดสมัคร หลายคนรู้สึกว่าอดีตนายกฯถูกหักหลัง

    ภาพทั้งหมดนี้ตกอยู่ในสายตาที่เฝ้าดูเงียบ ๆ ของเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ สุเทพ เทือกสุบรรณ

    สุเทพ เทือกสุบรรณ เล่าในหนังสือ The Power of Change กำนัน สุเทพ เทือกสุบรรณ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเนวินกับสมัครว่า “คุณเนวินกับคุณสมัครเขาไปกันได้ และที่ต้องยอมรับคือคุณสมัครได้ชื่อว่าเป็นคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันมาก... คุณทักษิณเห็นว่าสั่งคุณสมัครไม่ได้ทุกเรื่อง ก็เลยเปลี่ยนเอา สมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยตัวเองขึ้นมา ตรงนี้แหละที่มันทำให้คนที่ชอบพอและนิยมคุณสมัครทางการเมืองที่อยู่ในพรรคพลังประชาชนมีอาการไม่ค่อยชอบใจ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคุณเนวิน”

    เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์รอเวลาที่เหมาะสม

    แล้ว สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพราะศาลรัฐธรรมนูญยุบสามพรรคการเมืองในวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

    .....................

    สุเทพ เทือกสุบรรณ อ่านเกมออกแต่แรกว่า สมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะไม่รอด และพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบ

    สุเทพ เทือกสุบรรณ เดินสายพบนักการเมืองหลายคน เริ่มที่กลุ่ม ๑๖ ไล่คุยไปทีละคน เนวิน ชิดชอบ บรรหาร ศิลปอาชา สุวิทย์ คุณกิตติ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ สุชาติ ตันเจริญ สรอรรถ กลิ่นประทุม สมศักดิ์ เทพสุทิน

    กลุ่ม ๑๖ คือกลุ่มการเมืองที่เกิดจากการรวมกันของ ส.ส. รุ่นใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยส่วนใหญ่เป็น ส.ส.พรรคชาติไทยและพรรคชาติพัฒนา แกนนำคือ เนวิน ชิดชอบ

    คนแรกที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ไปคุยด้วยคือ เนวิน ชิดชอบ

    สุเทพ เทือกสุบรรณ บันทึกไว้ในหนังสือ The Power of Change ว่า เวลานั้น เนวิน ชิดชอบ ไปส่งลูกเรียนที่อังกฤษและไปเยี่ยมทักษิณซึ่งพำนักอยู่ที่นั่น สุเทพ เทือกสุบรรณ นัดพบเนวินที่ร้านขายนาฬิกาแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน ต่างคนต่างทำทีไปซื้อนาฬิกา แล้วคุยกัน

    สุเทพ เทือกสุบรรณ บอกเนวินว่า รัฐบาลชุดนี้ไปไม่รอด

    “คุณกล้าตัดสินใจมาอยู่กับพวกผมไหม? มาเปลี่ยนขั้วทางการเมืองกัน ผมตั้งใจแล้วจะพยายามประคับประคองระบอบประชาธิปไตย คือให้การเมืองในระบอบรัฐสภาเดินได้ เพราะฉะนั้นมันต้องเปลี่ยนแปลง”

    เนวินว่า “จะเอาเสียงที่ไหนมาเพียงพอ? พี่มีกี่เสียง?”

    “ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องสนใจว่าผมมีเท่าไหร่ คุณทำใจไว้ก่อนก็แล้วกันว่าคุณเอาด้วยไหม ไปด้วยกันไหม แล้วในใจคุณคิดว่าจะทำเพื่อชาติบ้านเมืองไหม หรือจะหัวปักหัวปำอยู่กับระบอบทักษิณ คุณก็ไปคิดเอาก็แล้วกัน”

    สุเทพเชื่อว่าเนวินรู้สึกเคืองที่ สมัคร สุนทรเวช ‘ถูกหักหลัง’ และวางไพ่ตรงจุดนี้

    เนวินไม่ได้ให้คำตอบ

    อย่างไรก็ตาม ขาเดินทางกลับจากกรุงลอนดอน นักการเมืองทั้งสอง ‘บังเอิญ’ โดยสารเครื่องบินเที่ยวเดียวกัน การสนทนาดำเนินต่อไป

    กลับถึงไทยได้ไม่นาน พรรคพลังประชาชนก็ถูกศาลยุบ

    สุเทพคุยกับสมาชิกระดับสูงของพรรคประชาธิปัตย์ว่า “เราจะตั้งรัฐบาล ให้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ”

    คนในพรรคหัวเราะ ไม่มีใครเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นไปได้

    การเปลี่ยนขั้วเปลี่ยนค่ายนั้น กระทำได้ในทางการเมือง แต่ในกรณีของประชาธิปัตย์กับขั้ว ทักษิณ ชินวัตร นั้นเข้าข่าย “เป็นไปไม่ได้” อีกทั้งพรรคประชาธิปัตย์มีจำนวน ส.ส. น้อยกว่าพรรครัฐบาล

    แม้แต่ ชวน หลีกภัย บอกว่า “คุณสุเทพมาพูดในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นในเมื่อมาขออนุญาตแบบนี้ พวกเราก็ไม่มีเงื่อนไขอะไรที่จะไม่อนุญาต”

    แต่รอยร้าวระหว่าง เนวิน ชิดชอบ กับ ทักษิณ ชินวัตร ในเรื่องการเสนอชื่อ สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีรอบที่สอง ทำให้มันเป็นไปได้

    ในโลกการเมือง ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร

    สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้รับอำนาจเต็มในการทำเรื่องนี้

    สุเทพ เทือกสุบรรณ เขียนในหนังสือ The Power of Change ว่า “อย่างน้อยที่สุดสิ่งหนึ่งที่ทุกคนยอมรับในตัวผมก็คือคำพูดของผมเชื่อถือได้ ผมเป็นคนพูดจริงทำจริง นี่คือต้นทุนของผม”

    และ “เวลาเจรจาผมไม่เอาเปรียบใคร วิธีต่อรองเจรจาของผมก็คือ ผมไปยื่นข้อเสนอให้ชนิดที่เขาปฏิเสธไม่ได้ ข้อเสนอผมก็คือว่า พวกคุณที่เคยอยู่กับทักษิณนี่เคยบริหารงานกระทรวงไหนบ้าง ผมให้กระทรวงนั้นคุณเลย คุณพอใจไหมล่ะ ถ้าไม่พอใจตรงไหนมาเจรจาได้ อย่างเช่นคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน นี่ผมให้ดูแลกระทรวงพาณิชย์ เขาแทบจะกระโดดกอดเอวผมเลย คุณสมศักดิ์ยังบอกว่า พี่สุเทพเขายื่นเงื่อนไขแบบที่ผมปฏิเสธไม่ได้ ส่วนคุณสุวิทย์ คุณกิตติ ผมก็ติดต่อให้เขาดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เขาถนัด อย่างนี้เป็นต้น”

    สูตรจัดตั้งรัฐบาลของสุเทพคือ “ใครจะเอากระทรวงไหนก็เอาไป ขออย่างเดียวคือนายกรัฐมนตรีต้องเป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”

    เมื่อ เนวิน ชิดชอบ ตกลง ‘แต่งงาน’ กับประชาธิปัตย์ สุเทพก็ไปหา ผบ.ทบ. พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา

    นักการเมืองระดับลายครามเช่นสุเทพรู้ดีว่า การเปลี่ยนแปลงขั้วการเมืองแบบนี้ “ทหารต้องเอาด้วย”

    สุเทพถาม ผบ.ทบ. ตรง ๆ ว่า “รับได้ไหมถ้าพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล โดยมีคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี”

    พล.อ. อนุพงษ์ตอบว่า “ทหารก็มีวินัยของทหาร ใครเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย กองทัพก็ไม่มีปัญหา”

    ถึงนาทีนั้นเหลือ บรรหาร ศิลปอาชา เพียงคนเดียวที่ยังไม่ได้ตัดสินใจแต่งงานด้วย

    บรรหารไม่เชื่อว่าทหารเอาด้วย สุเทพจึงบอกบรรหารว่า “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ผมจะนัดไปพบกับกองทัพเพื่อให้ทุกคนได้รู้ ให้คุณบรรหารได้มั่นใจ แต่ว่าคนอื่น ๆ ผมตกลงหมดแล้ว ตัดสินใจกันแล้ว เหลือคุณบรรหารคนเดียว”

    สุเทพนัด บรรหาร ศิลปอาชา ที่กรมทหารราบที่ ๑ ไปพบ ผบ.ทบ.

    ไม่มีใครรู้รายละเอียดการคุยกันในวันนั้น รู้แต่ว่า ‘ดีล’ รวมการขอให้ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าการกระทรวงกลาโหม

    วันนั้นนักข่าวสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งถ่ายภาพสุเทพกับบรรหารเข้าไปในค่ายทหาร ก็เกิดข่าว “ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร”

    ด้วยไม้ตาย ‘ให้ทุกอย่าง’ และกาวพิเศษที่เชื่อมพรรคต่าง ๆ เข้าด้วยกัน คือพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา กลุ่มเพื่อนเนวิน และกลุ่มอื่น ๆ ด้วยคะแนนเสียงในสภา ๒๓๕ เสียง ในวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๗ ของประเทศไทย

    แน่นอน พรรคภูมิใจไทยของเนวินคว้ากระทรวงระดับเกรดเอไปครอง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

    ฝ่ายทักษิณพยายามดิ้นเฮือกสุดท้าย อดีตนายกรัฐมนตรีต่อสายคุยกับ เนวิน ชิดชอบ แต่เนวินบอกนายเก่าว่า “มันจบแล้วครับนาย”

    การเมืองไทยจริง ๆ มักเกิดขึ้นจากการเจรจาที่ฉากหลัง เมื่อสถานการณ์เหมาะสม เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็เป็นไปได้

    ประชาชนมีหน้าที่เพียงรับทราบ

    แล้ววันนี้ดูเหมือนประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยอีกครั้ง

    แต่ “มันจบแล้วครับนาย” จะเกิดขึ้นหรือไม่ ประชาชนก็รอรับทราบเช่นเดิม

    วินทร์ เลียววาริณ
    ๔ กันยายน ๒๕๖๘

    ..................

    บางท่อนจากชุดสารคดี ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม 1-5 (5 เล่ม) แถมวีรบุรุษที่เราลืม

    เหมาะสำหรับเก็บประจำบ้าน ให้ลูกหลานประกอบการเรียน
    1,000 บาท จากราคาปก 1,605.- แต่ละเล่มหนา 256 หน้า (รวม 1,536 หน้า) 
    118 เรื่อง = เรื่องละ 8.4 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
    ทุกเล่มมีลายเซ็นนักเขียน  เหมาะเป็นของขวัญ
    หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว

    สั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6 

    สั่งทางเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/176/%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%20%E0%B9%91-%E0%B9%95%20+%20%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9 

    1
    • 0 แชร์
    • 40
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    สองวันนี้ โพสต์งาน (ตามรูป) ที่บางคนอาจสงสัยว่าเป็นงานตระกูลไหน

    นี่เป็นงานแนววรรณรูป ทำกันมาหลายศตวรรษแล้ว ผมก็ทำเป็นเรื่องเป็นราวในงานชุด หนึ่งวันเดียวกัน (life in a day) ที่ผมเขียนให้นิตยสาร a day นานเกือบสิบปี ตั้งแต่ฉบับปฐมฤกษ์ในปี พ.ศ. 2543 แต่สิ่งที่ผมทำอาจแตกต่างไปจากงานวรรณรูปสมัยก่อนบ้าง เพราะใส่ กราฟิก ดีไซน์ เข้าไปด้วย

    หน้าตาคล้ายโฆษณาผสมเรื่องสั้น

    งานแบบนี้ต้องมีทั้งรูปและเรื่องผสมกัน จุดเด่นคือเน้นคอนเส็ปต์ของเรื่อง เพราะเมื่อมีทั้งวรรณและรูป ก็สื่อความหมายได้แรงกว่าการเล่าด้วยคำพูดอย่างเดียว

    มันเป็นงานแบบที่ไร้รูปแบบตายตัว หลักการคือสื่อสารอย่างไรก็ได้ ขอให้แรง ชัด เข้าใจง่าย และที่สำคัญคือต้องน้อยที่สุด (minimalism)

    งานออกแบบกราฟิก โลโก้ ก็ใช้วิธีคิดแบบนี้ องค์ประกอบน้อยที่สุด แต่แรงที่สุด

    งานออกแบบโลโก้ในสมัยเก่า มักมีองค์ประกอบมากมาย บางอันมากจนเลอะเทอะ โลโก้สมัยใหม่ก็ยังมีคนทำกัน ใส่ทุกอย่างเข้าไปในโลโก้เดียว ในทาง กราฟิก ดีไซน์ ไม่ถือว่าเป็นงานออกแบบที่ดี

    วิธีทำงานวรรณรูปต้องคิดคอนเส็ปต์ก่อนว่า ต้องการบอกอะไร สารที่จะเสนอควรมีอันเดียว แล้วออกแบบโดยทิ้งหลักการ ขนบการเขียนทั้งหมด

    ก็คือไร้กระบวนท่า ใช้อะไรก็ได้เป็นเครื่องมือ

    นักเขียนนักโฆษณาที่จะทำงานแนวนี้ ต้องฝึกฝนทั้งการเล่าเรื่องด้วยคำพูด และการออกแบบด้วยภาพ แล้วท้ายที่สุดลืมทุกอย่าง แล้วใช้สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวแทงเข้าไปเลย

    วินทร์ เลียววาริณ
    4-9-25

    1
    • 0 แชร์
    • 19
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    เชื่อว่าผู้อ่านที่มีอายุเกิน 40 น่าจะทันเกม "He loves me, he loves me not" (บางทีเรียก "She loves me, she loves me not")

    ต้นตำรับภาษาฝรั่งเศสคือ effeuiller la marguerite

    เป็นเกมที่เราเด็ดกลีบดอกไม้ออกทีละกลีบ เด็ดแต่ละกลีบจะเอ่ยว่า "รัก" / "ไม่รัก" สลับกันไป

    กลีบสุดท้ายคือคำไหน ก็คือคำตอบ

    น่าจะมีนัยของความลังเลว่ารักใครคนนั้น หรือใครคนนั้นรักเราหรือเปล่า

    การเมืองวันนี้ก็เล่นเกมนี้ นั่นคือ "ยุบ" / "ไม่ยุบ"

    กลีบสุดท้ายจะออกเป็นอะไร จนปัญญารู้

    รู้แต่ว่ามันไม่ใช่ดอกกุหลาบแน่ น่าจะเป็นดอก xxx มากกว่า

    ว.ล. 
    3-9-25

    1
    • 0 แชร์
    • 22
    -
    ไม่ยุบบบบบ เพราะอนุรักษ์นิยม นีกร้องต่างๆคงจะออกมาเรียกร้องกันเพียบ
    ดูความเห็น 1 รายการ ...