-
วินทร์ เลียววาริณ0 วันที่ผ่านมา
ชาวสวนผู้หนึ่งในเมืองไทยประสบความสำเร็จในสายอาชีพเกษตรอย่างสูง เป็นเจ้าของสวนหลายสิบไร่ ผลิตพืชผลจำนวนมากเลี้ยงครอบครัวได้อย่างสบาย ที่ไม่น่าเชื่อคือเขาดูแลต้นไม้หลายสิบไร่ด้วยตัวคนเดียว
มีคนถามเขาว่า “คนเดียวเลี้ยงต้นไม้มากขนาดนี้ได้ยังไง?”
เขาตอบว่า “ง่ายมาก ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้พวกมันเลี้ยงตัวเอง”
“ไม่ต้องให้น้ำให้ปุ๋ยหรือ?”
“ไม่ต้องให้อะไรเลย”
“อ้าว! แล้วมันไม่ตายหรือ?”
“ตายก็ตาย รอดก็รอด”
เปล่า! ชาวสวนที่ประสบความสำเร็จผู้นี้ไม่ได้พูดเล่น หลักการเกษตรของเขาคือ ปล่อยให้ต้นไม้สู้ชีวิตเอง ถ้าต้นไหนอยากตาย ก็เชิญตายตามสบาย สายพันธุ์ไม่แข็งแรงจะหมดไปเอง แต่ต้นไหนที่ปรับตัวก็รอด เติบโตออกดอกออกผล
“ต้นไม้ในป่ามันรอให้คนไปรดน้ำใส่ปุ๋ยหรือ? มันโตของมันเองได้ ยิ่งประคบประหงมต้นไม้มากเกินไปยิ่งทำให้พวกมันอ่อนแอ ปล่อยให้มันสู้ชีวิตเอง ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน!”
เขาพบว่าต้นไม้ที่ขี้เกียจ รอฝนรออาหาร มักตายเร็ว
ชาวสวนผู้นี้รีไซเคิลทุกอย่างในสวนตามธรรมชาติ จนกลายเป็นวงจรที่ลงตัว เป็นระบบนิเวศสมบูรณ์ที่พืชพรรณ “ดูแลกันเอง” เจ้าของก็ไม่เหนื่อย เพราะไม่ต้องดูแลมันมาก เป็นซีอีโอดูลูกน้องทำงาน!
ปรัชญา ‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ ของเขาดูเผิน ๆ เหมือนการทำงานตามยถากรรมหรือเกียจคร้าน แต่ความจริงกว่าจะมาถึงข้อสรุปนี้ เขาต้องลองผิดลองถูก มันเป็นผลมาจากประสบการณ์ของการเฝ้าสังเกตนิสัยของต้นไม้มายาวนาน
เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มชาวไร่ชาวสวนที่ไม่ถอนวัชพืชออกจากสวน ปล่อยให้พวกมันอยู่กันเองตามธรรมชาติ หลักคิดคือสรรพสิ่งมีเหตุผลการดำรงอยู่ของมัน วัชพืชก็เหมือนเชื้อโรค ไม่อาจกำจัดให้หมดโลกได้ ธรรมชาติมีหนทางของมันเอง มันปรับตัวเองได้ การใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์หรือสารเคมี สารพิษฆ่าแมลงมากเกินไปอาจทำให้มันอ่อนแอลง ในที่สุดก็สูญพันธุ์
นี่สอดคล้องกับหลักวิวัฒนาการ หากต้นไม้สายพันธุ์หนึ่งอยู่รอดจากความลำบากได้ โอกาสที่สายพันธุ์นั้นจะอยู่รอดต่อไปก็สูงขึ้น เพราะความสามารถจะถูกฝังในระดับยีน
.......................
สมัยนี้เลี้ยงลูกคนเดียวยากเหลือประมาณ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน! ลูกบังเกิดเกล้าอยากได้อะไร ก็ถวายให้หมด เด็กเดี๋ยวนี้จำนวนมากอายุสิบขวบแล้วยังต้องป้อนอาหารให้ จะกินข้าวทีก็ต้องไล่ป้อนไปทั่วบ้านหรือหลอกล่อด้วยรางวัล
บางคนอายุสิบห้ายังผูกเชือกรองเท้าไม่เป็น เพราะมีคนใช้ทำให้ทุกวัน บวกกับสิ่งเร้าที่มากกว่าสมัยก่อน ทำให้ดูเหมือนว่ามีโอกาสที่จะเสียเด็กหรือ ‘สปอยล์’ มากขึ้น
บางทีอาจจะจริงตามหลักคิดของชาวสวนคนนั้น การเลี้ยงเด็กก็ไม่ต่างจากการเลี้ยงต้นไม้ในสวน ยิ่งประคบประหงมยิ่งทำให้อ่อนแอ พึ่งตัวเองไม่เป็น มองไปรอบตัว เราเห็นผลผลิตมากมายจากระบบ ‘ประคบประหงม’
เติบโตขึ้นเป็นพวกพึ่งตัวเองไม่เป็นและไม่คิดพึ่งตัวเอง คิดเป็นอย่างเดียวคือขอจากคนอื่น แก้ปัญหาด้วยการยืมเงิน ขอเงิน และขายของเก่ากิน นาน ๆ เข้าก็ฝังรากเป็นนิสัย วัฒนธรรม ‘แบมือขอ’ หยั่งรากไปทั่ว
มันเกิดขึ้นทุกที่ทุกระดับ ตั้งแต่ปัจเจก องค์กร ไล่ไปจนถึงระดับประเทศ มีตัวอย่างองค์กรมากมายที่บริหารขาดทุนทั้งปีทั้งชาติ แล้วขอให้รัฐช่วยค้ำจุน ด้วยเหตุผลคลาสสิกว่า “ถ้าไม่ช่วยเรา มันจะล้มไปทั้งระบบนะ” ถ้าเป็นระดับประเทศ ก็ว่า “ถ้าไม่ช่วยเรา ประเทศคุณก็อาจจะล้มไปด้วยนะ”
ปรัชญาการเลี้ยงลูกแบบ ‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ มิใช่การ ‘ตัดหางปล่อยวัด’ แต่คือการกำกับการแสดงอยู่ห่าง ๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อลูกขอในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ก็ต้องรักษาจุดยืนมั่นคง แม้ลูกจะร้องไห้โวยวาย
โบราณสอนว่าอย่าจับปลาให้ลูกหลานกิน แต่จงสอนวิธีจับปลาให้พวกเขา จะได้มีปลากินไปตลอดชีวิต สอนให้เด็กรู้จักความลำบากบ้าง จะได้เข้าใจว่าชีวิตไม่ได้มีแต่ด้านสวยงาม อาหารทุกมื้อรออยู่บนโต๊ะ เงินรออยู่ในตู้เอทีเอ็ม
เพราะชีวิตไม่เคยแน่นอน เพราะสมบัติพัสถานที่พ่อแม่มีอาจหายไปเมื่อไรก็ได้ แม้แต่ประเทศที่อยู่อาศัยก็ล้มละลายได้ ดังนั้นหากไม่รู้จักด้านขรุขระของชีวิต และการใช้ชีวิตในสถานการณ์ลำบาก จะมีชีวิตรอดต่อไปอย่างไร
‘ตายก็ตาย รอดก็รอด’ บังคับให้แต่ละคนต้องทำงาน ไม่พึ่งพาคนอื่น และเป็นอิสระ
วินทร์ เลียววาริณ
12-12-25บางท่อนจาก ยาเม็ดสีแดง
รวมบทความเสริมกำลังใจ
190 บาท 34 บทความ บทความละ 5.5 บาท
https://www.winbookclub.com/store/detail/116/ยาเม็ดสีแดงโปรโมชั่น
https://www.winbookclub.com/store/detail/217/S6%20ชุดกำลังใจครึ่งโหล0- แชร์
- 6
-
วินทร์ เลียววาริณ0 วันที่ผ่านมา
ใกล้จะขึ้นปีใหม่แล้ว วันนี้จะขอทำหน้าที่หมอดูการเมือง ทำนายดวงชะตาของผู้นำโลกหลายคน
เซเลนสกี : ปีใหม่นี้ท่านจะมีดวงเดินทาง ชีพจรลงเท้า ไปยุโรป สหรัฐฯ ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ อิสราเอล สหรัฐฯ ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ อิสราเอล ท่านจะประชุม ประชุม ประชุม เจรจา เจรจา เจรจา และประชุม ประชุม ประชุม เจรจา เจรจา เจรจา เพื่อหาอาวุธและพรรคพวกไปสู้กับปูติน จะเป็นปีที่ท่านเหนื่อย
มาครง / สตาร์เมอร์ / เมอร์ซ : ชีวิตของพวกท่านแฝดสามในปีใหม่ก็เหมือนปีเก่า เซมเซม วิ่งไปวิ่งมา บ้านของพวกท่านต้องการซ่อมแซม แต่ท่านใจดีไปช่วยซ่อมบ้านคนอื่น
ปูติน : ปีใหม่นี้ท่านจะไม่พูด ไม่เจรจา แต่ผู้นำแฝดสามก็ยังมาขอซื้อน้ำมันจากท่าน เคี้ยกเคี้ยก
ทรัมป์ : ปีใหม่นี้ท่านจะยังได้พูด พูด พูด พูด พูด พูด พูด พูด พูด พูด พูด พูด พูด ตลอดทั้งปี ท่านจะได้สั่งถล่มหลายประเทศแก้กลุ้ม ทำไงได้ มีอาวุธก็ต้องใช้ และท่านคือศูนย์กลางแห่งจักรวาลหมายเลข 2
เนทันยาฮู : ปีใหม่นี้ดวงของท่านยังคงแข็งแกร่งประหนึ่งเพชร ท่านจะรบสิบทิศ ถล่มชาวบ้านไปทั่ว เพราะท่านคือศูนย์กลางแห่งจักรวาลหมายเลข 1 อย่างแท้จริง สามารถสั่งหมายเลข 2 ได้ดั่งใจ ขอคารวะดวงของท่านสามจอก
สีจิ้นผิง : ปีใหม่นี้ท่านจะโดนด่าเหมือนปีก่อนๆ ท่านจะชินไปเอง แต่ปีใหม่นี้ท่านจะมีโอกาสตบหัวสั่งสอนเด็กสองสามคน จะตบหนักตบเบาไม่เป็นไร เพราะยังไงๆ ท่านก็โดนด่าอยู่แล้ว
ทากาอิชิ : ปีใหม่นี้ท่านจะพบแรงพลังฝ่ามือหมีแพนดาที่หนักหน่วงขึ้น เพราะท่านเผลอไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนแทนศูนย์กลางแห่งจักรวาลหมายเลข 2
ไหล ชิงเต๋อ : ท่านจะได้เพื่อนสนิทคนใหม่ คนที่โดนกดดันจากพลังฝ่ามือหมีแพนดาเช่นกัน ท่านจะไม่ถอย นี่คือจุดขายของท่าน ท่านจะท่องคำว่า 'ประชาธิปไตย' ต่อไปเรื่อยๆ เพราะนี่คือจุดขายของท่านเช่นกัน
มาดูโร : ปีใหม่นี้คราสและราหูจะทาบชีวิตท่าน ท่านอาจต้องพลัดพรากจากบ้าน หรือตำแหน่ง หรือทั้งสองอย่าง เพราะศัตรูของท่านต้องการน้ำมันของท่าน ทำไงได้ ท่านดันไปขวางทางศูนย์กลางแห่งจักรวาลหมายเลข 2 หมอดูขอแนะนำให้ท่านแก้เคราะห์โดยบูชาราหู สวมชุดดำ แว่นดำแบบนีโอ ก็นะ เวลคัม ทู เดอะ เรียล เวิร์ล!
อังเคิล : ปีใหม่นี้คราสและราหูกำลังกัดกินดวงท่าน ท่านจะหมดมุข หมดยุค โลกใบเก่าของท่านกำลังพังทลาย อย่างไรก็ตามท่านสามารถบรรเทากรรมเก่าโดยหลบในบังเกอร์ตลอดเวลา ท่านอาจบูชาราหูโดยกินไข่เยี่ยวม้าหรือเฉาก๊วยได้ แต่อย่าสวมชุดดำ แว่นดำแบบนีโอ เพราะดูไม่ดีจริงๆ เคี้ยกเคี้ยก
และนี่คือชะตาของโลกเราในปี 2026 พี่น้องโปรดทำใจ
วินทร์ เลียววาริณ
11-12-250- แชร์
- 11
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
หลายสิบปีก่อนมีคนตั้งข้อสังเกตกับผมว่า คนเราอาจปกปิดริ้วรอยบนใบหน้า ไม่ว่าโดยดึงหน้าหรือใช้โบท็อกซ์ แต่ไม่อาจปิดบังรอยย่นของมือได้ พูดง่ายๆ คือ มือจะฟ้องอายุของเรา
อยากรู้ว่าใครอายุจริงประมาณเท่าไร ให้ดูมือของเขาหรือเธอ
ผมลองสังเกตดู พบว่ามีส่วนจริงเหมือนกัน หลายคนหน้าตึง แต่มือเหี่ยวย่น ไม่เคยเจอคนแก่ที่หนังมือตึงเหมือนหนุ่มสาว
จำได้ว่ามีนิยายจีนกำลังภายในอยู่เรื่องหนึ่ง บรรยายว่าพระเอกมีอสวยปานหยก เป็นเรื่องเดียวจริงๆ ที่บรรยายตัวเอกว่ามือสวย นิยายร้อยละ 99 บรรยายความหล่อเหลาของพระเอก ประมาณในรอบร้อยปีมีคนเดียว
คนสูงวัยจำนวนมากไม่ยอมแก่ โดยเฉพาะนักแสดงฮอลลีวูด ยอมเจ็บตัวและเสียเงินดึงหน้า แต่ดูแปลกๆ
มีดาราอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ปฏิเสธการดึงหน้า ปล่อยให้มันเหี่ยวย่นไปตามวัย หนึ่งในนั้นคือ รอเบิร์ต เรดฟอร์ด
เพราะความหนุ่มสาวหรือความชราเป็นเพียงสภาวะธรรมชาติ ไม่มีอะไรดีกว่าอะไร มันเป็นเช่นนั้นเอง
ถ้ายอมรับสัจธรรมนี้ไม่ได้ ก็เป็นทุกข์
สมัยยังประกอบอาชีพเป็นนักโฆษณา เพื่อนร่วมงานบอกผมว่ามือสวย นึกขำในใจ มือเราทำงานเป็นกรรมกรมาตลอด ความจริงก็คือจะเอามือเราไปถ่ายรูปพรีเซนต์งาน มองซ้ายมองขวา เอามือคนนี้ก็แล้วกัน
อย่างไรก็ตาม ผมก็ใช้มือตัวเองในงานพิมพ์เสมอ รูปมือในหนังสือของผม ถ้าเป็นมือเดี่ยวๆ มักเป็นมือของตัวเอง เพื่อประหยัดค่าเช่ารูป
ไม่นานมานี้ผมลองดูมือตัวเอง พบว่ามันเหี่ยวย่นกว่าเดิมมาก เฮ้อ! ความชรามาถึงแล้วจริงๆ หรือนี่? เราก็อายุแค่ 40 ปีกับอีก 300 กว่าเดือนเท่านั้น
เอ๊ะ! หรือว่ามือเราเหี่ยวย่นเพราะซักผ้าด้วยมือบ่อยเกินไป คงต้องหาเงินมาซื้อเครื่องซักผ้าสักที
วินทร์ เลียววาริณ
11-12-251- แชร์
- 23
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
ปีนี้ผมเล่าถึงบทบาทขององค์การนาโต (NATO) อยู่บ่อยๆ
อะไรคือ NATO กันแน่?
NATO เป็นองค์การที่เกิดขึ้นมาเพื่อคานอำนาจกับโซเวียต ส่งทหารอเมริกันไปประจำการที่ยุโรปในยุคสงครามเย็น หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
นายพลไอเซนฮาวร์ (Eisenhower) ผู้นำทัพสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง และต่อมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ พูดตอนก่อตั้ง NATO ในปี 1949 ว่า NATO จะเป็นองค์กรชั่วคราวเท่านั้น แค่ให้ยุโรปฟื้นตัวจากสงคราม
ไอเซนฮาวร์เขียนในเดือนกุมภาพันธ์ 1951 ว่า "ถ้าภายในสิบปี ทหารอเมริกันที่ไปประจำการที่ยุโรปยังไม่กลับสหรัฐฯ ก็แสดงว่าโครงการนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง"
เมื่อโซเวียตล่มสลายในปี 1990 ตามตรรกะ NATO ก็ควรถูกยุบทิ้ง เพราะไม่มีโซเวียตให้ต้านอีกแล้ว แต่จนบัดนี้ ผ่านมา 80 ปี NATO ก็ยังอยู่ที่ยุโรป และคิดขยายตัวไปเบียดรัสเซีย ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือของจักรวรรดิโซเวียต
ในปี 1985 เมื่อกอร์บาชอฟขึ้นมาเป็นผู้นำ เขามองว่าโซเวียตไปไม่รอด เขาก็คิดยุติสงครามเย็น แปลว่ายอมให้โซเวียตแตกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย
โลกตะวันตกก็เอาใจช่วยกอร์บาชอฟเต็มที่ เพื่อให้โซเวียตรัสเซียสลายตัวโดยไม่เกิดเหตุรุนแรง
ประธานาธิบดีจอร์จ บุช คนพ่อ ให้สัญญากับกอร์บาชอฟว่าสหรัฐฯจะไม่ฉวยโอกาสทำลายผลประโยชน์ของโซเวียต ตามมาด้วย เจมส์ เบเกอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัญญากับกอร์บาชอฟอย่างหนักแน่นว่า “Not one inch eastward” เพราะกอร์บาชอฟกลัวว่า NATO คิดฉวยโอกาสขยายตัวไปทางตะวันออก
“Not one inch eastward” คือคำสัญญาว่าตะวันตกจะไม่ขยาย NATO ออกไปทางรัสเซียแม้แต่นิ้วเดียว
เดือนธันวาคม 1991 อาณาจักรโซเวียตก็ล้ม แตกแยกเป็นประเทศใหม่ หนึ่งในนั้นคือยูเครน ตกลงกันว่ายูเครนจะทำหน้าที่เป็นรัฐกันชน
แต่เมื่อรัสเซียเห็นสหรัฐฯก่อรัฐประหารเปลี่ยนผู้นำยูเครนที่โปรอเมริกัน รัสเซียก็บุกไครเมีย และเมื่อยูเครนส่่งสัญญาณจะเข้า NATO รัสเซียก็บุกยูเครน
ทำไมสหรัฐฯทำอย่างนี้?
ตรงนี้มีประวัติศาสตร์โบราณที่ใช้เป็นกรณีศึกษาได้
ในสมัยอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ พวกกรีกขอให้พวกโรมันช่วยไปปราบพวก Macedon ที่กำลังแผ่อำนาจ กรีกเชื่อว่าหากได้โรมันมาคุ้มครอง ก็จะปลอดภัย
โรมันก็ส่งกองทัพไปปราบพวก Macedonian หลายครั้ง จนราชอาณาจักร Macedon ย่อยยับ
แล้วโรมันทำอย่างไร? กลับบ้าน? หามิได้ ทำอย่างนั้นให้โง่ทำไมเล่า
โรมันบอกทุกฝ่ายว่า พวกเอ็งไม่ต้องทะเลาะกัน เพราะตอนนี้พวกเอ็งทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันแล้ว
ว่าแล้วก็ปกครองทั้งกรีกทั้ง Macedon ไปอีก 500 ปี
ตอนนี้ยุโรปกำลังทำตัวเป็นพวกกรีกในอดีต แลเห็นรัสเซียเป็น Macedon ส่วนสหรัฐฯก็คือพวกโรมัน
สหรัฐฯอาจคิดตอนแรกว่า NATO อยู่ไม่นาน แต่คิดไปคิดมา ทำไมเราไม่เอาอย่างโรมันล่ะ สถาปนาอเมริกาเป็นจักรวรรดิ ทำลาย Macedon รัสเซีย ให้ทวีปยุโรปกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ
แล้วอยู่ยาวอีก 500 ปี
วินทร์ เลียววาริณ
10-12-251- แชร์
- 32
-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
ในสมัยหนุ่ม ๆ เวลาเดินทางไปต่างจังหวัด ไม่ว่าทิศใด บางวูบก็เบื่อที่เห็นวิวคล้ายๆ กันแบบนี้ตลอดทาง คิดในใจว่าเมื่อไรจะถึงสักที
แต่เมื่อวัยสูงขึ้น กลับมองด้วยสายตาอีกคู่หนึ่ง
เป็นภาพเดิมๆ ก็จริง แต่ไม่เหมือนเดิม
เป็นภาพธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา
เพราะมองทะลุภาพเข้าไป ก็เห็นชีวิตต่างๆ ในแต่ละฉาก
ทำให้นึกถึงท่านสุนทรภู่ เดินทางผ่านที่ใด ก็มองลึกและกลั่นออกมาเป็นบทกวี
สมัยเป็นนักเรียนอ่านไม่ค่อยเข้าใจ แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ชัดเจนขึ้นมาก
การเดินทางในสมัยสุนทรภู่ไปช้ากว่าสมัยนี้หลายเท่า ดังนั้นจึงยิ่งมีเวลาพินิจพิจารณาแต่ละฉากอย่างละเอียด
ยกตัวอย่าง นิราศสุพรรณ
ล่วงย่านบ้านวัดร้าง เรือนโรง
ตกทุ่งถึงคลองโยง หย่อมไม้
วัดใหม่ธงทองโถง ที่ติด ตื้นแฮ
ควายลากฝากเชือกไขว้ เคลื่อนคล้อยลอยเลนฯคนขี่ตีต้อนเร่ง รันควาย
ถอนถีบกีบกอมตกาย โก่งโก้
เหนื่อยนักชักเชือกหงาย แหงนเบิ่ง เบือนแฮ
คนหวดปวดป่วนโอ้ สอึกเต้นเผ่นโผนฯเราเห็นชีวิตในฉากนั้น
นิราศภูเขาทอง ก็เป็นบันทึกการเดินทางที่บรรยายฉากชีวิตที่พบ แล้วโยงหาตัวชีวิตผู้เขียน
ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้อง
มามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน
เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืน
จึงต้องขืนในพรากมาจากเมืองถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอายฯลฯ
มองชีวิต มองการเดินทาง แล้วทำให้เข้าใจสุนทรภู่ดีขึ้น
เพราะการเดินทางคือชีวิต และชีวิตก็คือการเดินทาง
ทุกๆ วันเราก็เดินทางไปสู่วัยที่สูงขึ้น ถ้าเราสามารถทำให้แต่ละวันเป็นประสบการณ์ที่ดี มันก็เป็นการเดินทางที่ดี
The journey is more important than the destination.
วินทร์ เลียววาริณ
10-12-251- แชร์
- 27
