• วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    heist film หรือ caper film เป็นหนังตระกูลหนึ่ง แนวเรื่องคือการวางแผนปล้น ขโมย หรือก่อการอะไรบางอย่าง โดยคนกลุ่มหนึ่งรวมหัวกันทำ

    หนังตระกูลนี้ผู้ร้ายมักเป็นพระเอก และคนดูก็จะเอาใจช่วยผู้ร้าย ความสนุกอยู่ที่แผนการปล้นว่าซับซ้อน หักมุมแค่ไหน มันจึงเป็นหนัง plot-based

    ส่วนการปล้นชาติด้วยทุจริตเชิงนโยบายไม่จัดเป็น heist film แต่เป็นหนังโศกนาฏกรรม เศร้าเคล้าน้ำตา

    heist film เรื่องแรกๆ ที่ผมดูในชีวิตน่าจะเป็นเรื่อง Topkapi (1964) หลังจากนั้นก็สร้างมามากมายหลายร้อยเรื่อง เช่น The Italian Job (1969) และฉบับรีเมก Ocean's Eleven (2001) และภาคต่อมากมายจนจำเลขไม่ได้แล้ว Baby Driver (2017)

    แม้แต่หนังซอมบี้ก็เล่นกับเขาด้วย คือ Army of the Dead (2021)

    และอีกมากมายนับไม่ถ้วน

    heist film ทั่วไปเป็นหนังดูง่าย ย่อยง่าย แต่นานๆ ทีก็มีเรื่องที่ดูยากหน่อย เช่น Inception ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน เป็น heist film + scifi

    สิบกว่าปีก่อนมี heist film เรื่องหนึ่ง เป็นหนัง heist film + มายากล ชื่อ Now You See Me (2013) หนังสนุกดี และถือว่าใหม่ในตอนนั้น

    หนังทำเงินถล่มทลาย ทำให้ต้องสร้างภาค 2 Now You See Me 2

    และภาค 3 Now You See Me: Now You Don't ที่กำลังฉาย

    แล้วดีไหม?

    ก่อนจะไปถึงเรื่องคุณภาพหนัง ขอเล่าเรื่องการออกแบบสถาปัตยกรรมก่อน

    ...........................

    สมัยผมเป็นสถาปนิกที่สิงคโปร์ ผมเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ผมเรียนรู้หลายอย่างจากสถาปนิกอาวุโสชาวสิงคโปร์ซึ่งไม่มีสอนในโรงเรียน

    เรื่องหนึ่งที่เขาสอนคือ อาคารดีต้องออกแบบหัวดีท้ายดี ตรงกลางไม่ดีไม่เป็นไร

    เขายกตัวอย่างดนตรี ดนตรีที่ดีต้องเริ่มต้นดี จบดี ตรงกลางแผ่วๆ หรือน่าเบื่อบ้าง ก็ไม่เป็นไร

    เป็นข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจ

    เมื่อมาเขียนหนังสือ ผมก็พบว่าวิธีคิดแบบนี้ใช้ได้เหมือนกัน นั่นคือเรื่องที่เปิดเรื่องดีและจบดีมักรอดตัว ถ้าเป็นเรื่องยาว ก็ควรมีจุดดีเสียบอยู่เป็นระยะ ที่เหลืออ่อนบ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะโครงสร้างโดยรวมใช้ได้

    Now You See Me: Now You Don't ก็เข้าข่ายนี้ ซับพล็อตตอนเปิดเรื่องกับตอนจบดี คาดไม่ถึง ส่วนตรงกลางเละเอาการ เข้ารกเข้าพง ไม่มีอะไรใหม่ เซมเซมและไม่มีเหตุผล

    Now You See Me 3 ก็คือหนังรีไซเคิล ไม่มีอะไรใหม่ สิ่งดีที่สุดที่ผู้สร้างทำคือพยายามสร้างซับพล็อตที่ให้ความบันเทิง ซึ่งก็ทำได้ในระดับหนึ่ง

    หนังพยายามบอกว่ามันไม่ใช่ heist film ธรรมดา แต่ปล้นมาเพื่อช่วยสังคม แต่ก็เป็นแค่คำพูดสวยๆ เท่ๆ โดยพื้นฐาน มันก็คือหนังปล้นเอามัน

    หนังเรื่องนี้โดยรวมสนุกดี ให้ความบันเทิงในระดับหนึ่ง แต่คะแนนไปได้แค่นี้เอง ซอร์รี!

    5.5/10
    ฉายในโรงภาพยนตร์

    วินทร์ เลียววาริณ
    28-11-25

    วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)

    (มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)

    0
    • 0 แชร์
    • 13
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    จีนคิดจะครองโลกหรือไม่ ตอน 2 (จบ)

    หลายสิบปีก่อน มีขำขันการเมืองเรื่องหนึ่ง ท่านประธานเหมาเจ๋อตงขู่พวกอเมริกันว่า แค่คนจีนทั้งประเทศเยี่ยวใส่ พวกเอ็งก็จมเยี่ยวตายแล้ว

    แน่ละ ขำขันเว่อร์ไปบ้าง แต่สาระคือคนจีนมีเยอะ ฆ่าเท่าไรก็ไม่หมด

    นี่ทำให้ชาวโลกหลายประเทศงงและถามว่า เมืองจีนมีพลเมือง 1.4 พันล้านคน ทำไมยอมเชื่อฟังพรรคคอมมิวนิสต์จีนแค่หยิบมือเดียว หากต้องการเป็นประชาธิปไตย คนทั้งประเทศก็สามารถลุกฮือขึ้นมา สมมุติถูกฆ่าตายไปสักล้านคน ก็เป็นประชาธิปไตยได้แล้ว

    แน่นอนเทียนอานเหมินอาจเป็นคำอธิบาย แต่ในประวัติศาสตร์หลายพันปี จีนไม่ใช่พวกที่ยอมแพ้เพราะถูกปราบครั้งเดียว ทำไม?

    ในมุมมองของเติ้งเสี่ยวผิง หากประเทศที่มีพลเมือง 1.4 พันล้านคนใช้ระบอบประชาธิปไตย เสรีภาพท่วมท้นแบบตะวันตก มันจะเกิดความวุ่นวาย (chaos) ประเทศจะพังในเวลาอันสั้น จะกลายเป็น failed state

    เติ้งเสี่ยวผิงคิดผิดหรือไม่? ทำไมอินเดียที่มีพลเมืองมากเหมือนกัน จึง (ยัง) ไม่เป็น failed state? เรื่องนี้ถกกันได้ยาว แต่เติ้งเสี่ยวผิงผู้เคยเป็นคอมมิวนิสต์เข้าไส้ แต่กล้าปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นทุนนิยม เพื่อพัฒนาชาติ ก่อนเปลี่ยนจากแมวแดงเป็นแมวขาว-แมวดำ ก็ต้องแลเห็นจุดแข็งจุดอ่อนของทั้งสองระบบ และอาจมองภาพกว้าง เห็นว่าอะไรดีที่สุดสำหรับคนจีน

    เป็นไปได้ไหมว่าเติ้งเสี่ยวผิงคิดผิด หรือวิธีคิดแบบนี้ล้าสมัยไปแล้ว? ก็เป็นไปได้ แต่ก็เป็นได้เช่นกันว่าเขามองการณ์ไกลกว่าคนอื่นและชาติอื่น

    ตามหลักทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน อะไรที่ปรับตัวไม่ได้ ใช้การไม่ได้ จะถูกขจัดไปเองตามธรรมชาติ หากพรรคคอมมิวนิสต์ไม่มีผลงาน ไม่ทำให้ประชาชนดีขึ้น ช้าหรือเร็วประชาชนก็จะล้มระบอบคอมมิวนิสต์เอง ไม่ว่าจะเกิด ‘เทียนอานเหมิน’ อีกกี่รอบ

    คนจีนวันนี้มองชาวอเมริกัน แลเห็นคุณภาพชีวิตของชาวอเมริกันชั้นล่างก็ไม่ดีกว่าจีนแต่อย่างไร คนไร้บ้านมากมาย ช่องว่างคนรวยกับคนจนห่างกันมหาศาล แม้แต่โครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคของสหรัฐฯก็สู้จีนไม่ได้ จึงไม่ได้คิดว่าระบอบประชาธิปไตยดีกว่าสิ่งที่พวกเขามี มันไม่ได้อยู่ที่ยี่ห้อระบอบการปกครอง พวกเขาเห็นว่าระบอบการปกครองของพวกเขายังห่างไกลจากความสมบูรณ์ แต่ในการอยู่ด้วยกันกับคน 1.4 พันล้านคน ถือว่าเป็นราคาที่รับได้

    .....................................

    ชาวจีนคอมมิวนิสต์ตอนนี้แตกต่างจากอุดมคติที่เริ่มต้นที่โซเวียตมาก รัฐบาลจีนให้เสรีภาพประชาชนในระดับหนึ่ง ให้มีรายได้ดีกว่าคนรุ่นพ่อ คนจีนใช้มือถือ เที่ยวนอกประเทศ ซื้อสินค้าแบรนด์เนม ดังนั้นคำว่าคอมมิวนิสต์จึงเป็นคล้ายยี่ห้อ ‘เจ้าเก่า’ ที่ติดตัวมามากกว่าระบอบการปกครองจริงๆ

    แน่ละ คนจีนยังไม่มีเสรีภาพเต็มร้อยจริงๆ ชาวจีนสักคนคงยังไม่สามารถลุกขึ้นมาด่าผู้นำของตนเหมือนชาวอเมริกันที่ด่าประธานาธิบดีได้ นี่เป็นจุดที่โลกตะวันตกใช้โจมตีจีนเสมอมา ผิดไหม? ไม่ผิด ถูกไหม? ก็ไม่ถูกทั้งหมด เพราะการสร้างชาติที่มั่นคงมีราคาของมัน

    ไม่มีใครในโลกชอบคอมมิวนิสต์ โลกถูกปลูกฝังว่ามันน่ากลัว เป็นปิศาจร้าย ที่ รอนัลด์ เรแกน เรียก “evil empire”

    ความจริงโลกก็มีเหตุผลที่จะกลัวคอมมิวนิสต์ครองโลกแบบฮิตเลอร์  คอมมิวนิสต์ในยุคแรกต้องการครองโลกจริงๆ ผ่านองค์การโคมินเทิร์น (คอมมิวนิสต์สากล)

    ดังนั้นเมื่อจีนเดินหมากสร้างสายสัมพันธ์ไปทั่วโลก ใครๆ ก็ย่อมระแวงว่าจีนคิดการใหญ่ จะโทษญี่ปุ่นว่ากลัวเกินไป ก็ไม่ได้

    แม้แต่ลีกวนยูก็เคยคิดเช่นนั้น เขามองว่าถ้าชาติชาติหนึ่งใหญ่ขึ้นมา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะคิดครอบงำชาติอื่น

    ในช่วงที่คอมมิวนิสต์ผงาดไปทั่วเอเชียอาคเนย์ ลีกวนยูก็ระวังว่าจีนมีความฝันจะลงมาครอบครองแถบนี้ นี่ก็คือเหตุผลที่เขาสนับสนุนให้สหรัฐฯคงกองเรือรบที่ 7 ไว้ที่นี่

    ลีกวนยูแสดงจุดยืนชัดเจนเสมอว่า พวกเขาทำการค้าขายกับจีน พวกเขามีเชื้อสายจีน แต่ไม่เคยไว้ใจจีน

    แต่เราจะตอบคำถาม “จีนคิดจะครองโลกหรือไม่” ด้วยความกลัวไม่ได้ ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงด้วยเหตุผลว่าเป็นไปได้ไหม และจะทำไหม

    .....................................

    ในเมื่อการขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจหมายเลข 1 ของจีนเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นแน่ เราอาจมองความเป็นไปได้ของ scenario (ฉากทัศน์) ดังนี้

    scenario ที่ 1 โลกกลายเป็น multipolar (หลายขั้วอำนาจ) ต่างคนต่างอยู่

    scenario ที่ 2 จีนขึ้นมาแทนสหรัฐฯ ก่อสงครามไปทั่วเพื่อชิงทรัพยากรและสร้างความร่ำรวย

    scenario ที่ 3 จีนขึ้นมาแทนสหรัฐฯ ไม่ก่อสงคราม แต่ดำรงอิทธิพลอยู่อย่างเงียบๆ

    scenario ที่ 1 เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่

    แต่ไม่ว่าจะเป็น scenario ใด ไต้หวันก็จะรวมชาติกับจีน เหมือนเยอรมนีตะวันออก-ตะวันตก เวียดนามเหนือ-ใต้ (เกาหลีเหนือ-ใต้ยังไม่ได้รวม) ทั้งนี้เพราะการแยกชาติเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะการเมือง ไม่ได้แยกกันเพราะความแตกต่างทางเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม

    แต่การรวมชาติเป็นคนละประเด็นกับการครองโลก

    คำว่า 'ครองโลก' ในสมัยนี้ เราไม่ได้หมายถึงการครองโลกทางกายภาพเหมือนสมัยอเล็กซานเดอร์มหาราช เจ็งกิส ข่าน หรือฮิตเลอร์ แต่หมายถึงการแผ่อิทธิพลครอบงำโลกในระดับสามารถชี้นิ้วสั่งการเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าโดยการกดดันทางเศรษฐกิจหรือก่อสงคราม และไม่ว่าจะเป็นสงครามตรงหรือสงครามตัวแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯทำอยู่

    เอาละ สมมุติว่าจีนจะแทนที่สหรัฐฯในตำแหน่งเจ้าโลก ก็ต้องมีปัจจัยอย่างน้อยสองอย่าง

    1 จีนต้องพัฒนาเทคโนโลยีทางกองทัพเหนือกว่าสหรัฐฯและรัสเซีย ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น

    2 จีนต้องมีผู้นำบ้าแบบฮิตเลอร์หรือสตาลิน ซึ่งยังไม่เห็น (หรือยังไม่แสดงตัว)

    ลีกวนยูเคยพบผู้นำระดับสูงของจีนแทบครบคน ตั้งแต่เหมาเจ๋อตง เติ้งเสี่ยวผิง ไปจนถึงสีจิ้นผิง ลีกวนยูบอกว่าผู้ปกครองประเทศของจีนปัจจุบันไม่ใช่คอมมิวนิสต์ตามคำจำกัดความเดิม ๆ ของตะวันตก แต่เป็นนักปฏิบัติแบบเติ้งเสี่ยวผิง

    ลีกวนยูไม่ได้มองว่าผู้นำจีนรุ่นที่ 5 สีจิ้นผิง เป็นคนบ้าที่ชอบก่อสงคราม ตรงกันข้าม ลีกวนยูจัดสีจิ้นผิงในก๊วนเดียวกับ เนลสัน แมนเดลา เรื่องนี้บันทึกไว้ในหนังสือที่เขาเขียน

    แต่นั่นคือมุมมองของเขาก่อนตายในปี 2015  หลังจากลีกวนยูตายไปแปดปี สีจิ้นผิงได้ต่อเทอม 3 ขยายเวลาการครองอำนาจออกไปอีก ทำให้เราไม่รู้ว่าลีกวนยูจะเปลี่ยนความเห็นของเขาหรือไม่

    สีจิ้นผิงเป็นผู้นำพูดน้อยเหมือนมังกรด้นเมฆ คนแบบนี้ประเมินยาก จับทิศทางยาก อ่านใจยาก อ่านได้จากการกระทำเท่านั้น แต่สิ่งที่เขาปราบคอร์รัปชั่นอย่างรุนแรงก็ดูเหมือนว่าเขาต้องการจัดระเบียบระบบการปกครองไปพร้อมกับการรับมือพวกตะวันตก เพื่อให้จีนอยู่รอด ยังมองไม่เห็นว่าเขาจะนำจีนไปครองโลก

    แต่สมมุติว่าในอนาคต จีนมีผู้นำบ้าจริง การครองโลกทำได้ไหม?

    ลีกวนยูบอกว่า จีนต้องมีสำนึกเรื่องความจริง จีนต้องแยกแยะออกว่าอะไรเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไม่ได้ เขาบอกว่า “จีนต้องรู้ว่า การครอบครองเอเชียอาคเนย์เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” อย่าว่าแต่ครองโลกเลย

    อีกนั่นแหละ นี่เป็นความเห็นของลีกวนยูในยุคก่อนที่จะโดนสหรัฐฯไล่บี้อย่างหนัก จนต้องปรับทิศทางการพัฒนาชาติ จนโตเร็วขึ้นกว่าที่ตะวันตกคาด

    จีนผ่านประวัติศาสตร์หลายพันปี มากกว่าชาติอื่นๆ ในโลก แลเห็นการขึ้นและลงของราชวงศ์ต่างๆ มานับไม่ถ้วน ย่อมรู้ว่าไม่มีอาณาจักรใดไม่ว่าใหญ่แค่ไหนอยู่ค้ำฟ้า การครองโลกเป็นงานเหนื่อย ไม่ยั่งยืน ไม่คุ้มทำ มีแต่คนบ้าเบาปัญญาอีโก้สูงเท่าฟ้าเท่านั้นที่คิดจะทำ ใช้ความโลภนำทาง เพื่อให้ชาติของตนใหญ่แต่เพียงชาติเดียวในปฐพี

    จีนย่อมรู้ว่า หากจักรวรรดิอเมริกาเสื่อมลงได้ ทำไมจักรวรรดิจีนจะเสื่อมลงไม่ได้

    มหาตมะ คานธี กล่าวว่า โลกมีพอสำหรับความจำเป็นของทุกคน แต่ไม่พอสำหรับความโลภของทุกคน (The world has enough for everyone's need, but not enough for everyone's greed.)

    แต่คนบ้าก็เกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นโลกคอมมิวนิสต์หรือโลกเสรีนิยม อย่าลืมว่าฮิตเลอร์ก็มาจากการเลือกตั้ง!

    วินทร์ เลียววาริณ
    28-11-25

    1
    • 0 แชร์
    • 22
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    เพราะว่าชีวิตไม่ถาวร มันจึงน่าสนใจ

    เพราะว่าชีวิตไม่ยั่งยืน มันจึงมีค่า

    เพราะว่าดอกไม้บานไม่นาน เราจึงชมดูมันจริงๆ

    เพราะว่าชีวิตชั่วคราว เราจึงไม่ยึดมั่นถือมั่น

    เพราะว่าเราเกิดมาแล้ว เราจึงใช้ชีวิต

    เพราะว่าเวลามีจำกัด เราจึงเห็นค่าของทุกนาที

    เพราะว่าความรู้มีมาก เราจึงไม่เสียเวลาไปกับเรื่องไม่มีประโยชน์

    เพราะว่าวันนี้มาเพียงครั้งเดียว เราจึงใช้มันจริงๆ

    เพราะว่ารักแท้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เราจึงรักษามันไว้ให้ดี

    เพราะว่าเรามีค่า เราจึงไม่ใส่ขยะเข้าไปในหัวเรา

    เพราะว่าโลกต้องเปลี่ยนแปลง เราจึงไม่กลัวความชรา

    เพราะว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง เราจึงเลือกหัวเราะ

    วินทร์ เลียววาริณ
    28-11-25

    1
    • 0 แชร์
    • 16
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    สหรัฐฯก่อสงครามในหลายประเทศ และฮอลลีวูดก็ตามสร้างหนังเกี่ยวกับสงครามเหล่านั้น ส่วนมากเล่าในมุมมองของทหารอเมริกัน หลายเรื่องทำได้ดี สะท้อนปัญหาสังคม การเมือง ฯลฯ เช่น The Hurt Locker, Black Hawk Down, Lone Survivor ฯลฯ

    หลายปีก่อนมีหนังเรื่องหนึ่งสะท้อนความรุนแรงของสงครามในอิรัก คือเรื่อง Mosul หนังใช้ฉากเรื่องปี 2014 กลุ่ม ISIS เข้ายึดเมืองสำคัญหลายเมืองในอิรัก รวมทั้งเมือง Mosul หนังเล่าปฏิบัติการตามล่าของทีมล่าสังหาร ดูแล้วหดหู่ แต่เป็นหนังดี มันเป็นหนังที่ต่อต้านสงคราม และสะท้อน cause-effect เมื่อทัพสหรัฐฯเข้าไปในประเทศอื่น

    ปีนี้ก็มีอีกเรื่องหนึ่งชื่อ Warfare ให้อารมณ์คล้าย Mosul เขียนบทและกำกับโดย Ray Mendoza & Alex Garland นามแรกเป็นมือใหม่ นามหลังเราคงคุ้นเคยฝีมือแล้ว

    หนังสร้างจากเหตุการณ์จริงในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2006 เล่าเรื่องการสู้กันระหว่างกองทหารอเมริกันกับศัตรู

    ที่แตกต่างจากหนังสงครามอื่นๆ คือ เรื่องนี้ใช้ฉากเหตุการณ์เดียว ทหารอเมริกันกลุ่มหนึ่งติดอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่มีกองกำลังศัตรูล้อมฆ่า พวกเขาจะออกจากบ้านหลังนั้นได้อย่างไร

    ผู้กำกับหนังเป็นทหารคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ หนังจึงมีความสมจริงอย่างยิ่ง

    หนังเรื่องนี้แทบจัดว่าเป็นสารคดี เพราะไม่มีการปูพื้นฐานตัวละคร ไม่เล่าเบื้องหลังของตัวละคร ไม่มีปฏิบัติการพิเศษ ไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น เหมือนจับเราคนดูไปร่วมอยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้น หนังเพียงแสดงให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีบทเรียนจะสอน ที่เหลือเราต้องคิดต่อเอาเอง

    และก็แปลก หลังจากออกจากโรง เราจะพบว่ามีความคิดและคำถามมากมายที่เกิดขึ้น เช่น เราทำสงครามไปทำไม ทำไมมนุษย์ต้องฆ่ากัน ทำไมเราจึงให้คนบริสุทธิ์จ่ายราคาสงคราม ผู้ก่อสงครามที่นั่งในห้องแอร์รู้หรือเปล่าว่าการฆ่ากันในสงครามเป็นอย่างไร ฯลฯ

    หนังดิบ ห่าม เหมือนนั่งโรลเลอร์โคสเตอร์ในสวนสนุก ไม่มีเนื้อเรื่อง มีแต่ประสบการณ์

    นี่ไม่ใช่หนังสงคราม นี่คือสงคราม

    แต่ทั้งที่ไม่มีเนื้อเรื่องมาก คนสร้างก็ทำได้ดี สร้างอารมณ์ตึงเครียดได้ดี และจับคนดูอยู่กับที่

    นี่ไม่ใช่หนังบันเทิง เพราะเมื่อเห็นตราค่าย A24 ตอนเริ่มฉาย ก็รู้แล้วคงไม่บันเทิง

    ป.ล. สองวันก่อนเห็นข่าวผู้นำเยอรมนี Friedrich Merz บอกผู้นำยูเครนเซเลนสกีว่า คุณต้องห้ามคนหนุ่มอายุ 18-22 ในยูเครนออกนอกประเทศ "พวกเขามีหน้าที่ที่จะต้องทำที่นั่น"

    แม้ว่าเหตุผลหลักของผู้นำเยอรมนีอาจเป็นว่าไม่ต้องรับผู้ลี้ภัยชาวยูเครนเพิ่มอีกแล้ว รวมกับข่าวคนหนุ่มชาวยูเครนมากมายที่หนีทหาร ไม่อยากรบในสงครามที่ไม่ควรจะเกิด ก็ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า สงครามเกิดจากผู้นำไม่กี่คนก่อขึ้นมา หากคนก่อสงครามพวกนี้อยู่ในบ้านหลังที่ถูกศัตรูล้อม และระดมยิง อาจมีความเห็นใจต่อเพื่อนร่วมโลกมากขึ้น

    8/10
    ฉายในโรงภาพยนตร์

    วินทร์ เลียววาริณ
    27-11-25

    วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)

    (มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)

    1
    • 0 แชร์
    • 27
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    หมายเหตุ สืบเนื่องจากบทความวันก่อน ผมตั้งคำถามว่า ญี่ปุ่นประเมินสถานการณ์ถูกต้องหรือไม่ว่า จีนคิดจะครองโลกจริงๆ และเผลอสัญญาว่าจะเขียนบทความ ยุ่งๆ มาหลายวันเรื่องน้ำท่วม วันนี้ขอส่งการบ้านบทความ 'จีนคิดจะครองโลกหรือไม่' แต่บทความยาวมาก ไม่สามารถลงจบทีเดียว พรุ่งนี้ค่อยลงตอนจบ

    ....................................

    เติ้งเสี่ยวผิงเป็นแมวเก้าชีวิต เคยเป็นดาวรุ่งพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ก็ตกต่ำสุดขีด ถูกขับออกจากพรรค ถูกลงโทษไปเป็นแรงงาน แต่เขาก็กลับคืนสู่ในอำนาจใหม่ และพบว่าเมืองจีนอยู่ในสภาพเลวร้ายมาก มันคือรัฐล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

    ในปี 1978 เติ้งเสี่ยวผิงวัย 74 ไปเยือนสิงคโปร์ แลเห็นสิ่งที่ลีกวนยูทำไว้ในเวลาแค่สิบกว่าปี ก็รู้สึกทึ่ง

    ลีกวนยูนั้นเป็นนักปกครองที่ไม่สังกัดค่ายเพลง เขาบอกว่าเขาเป็น pragmatist (นักปฏิบัตินิยม) คือไร้กติกาตายตัว พลิกแพลง อะไรก็ได้ ถ้าดีก็ทำ ไม่ดีก็เลิก จะเรียกวิธีปกครองของเขาว่าประชาธิปไตย เผด็จการ สังคมนิยม สังคังนิยม มาร์กซิสต์ มาร์กซัคเกอร์เบิร์ก มาร์กวอห์ลเบิร์ก อะไรก็ตามใจ เพราะยี่ห้อค่ายเพลงไม่สำคัญ เขามีเป้าหมายเดียวคือสร้างชาติ

    ลีกวนยูเชื่อว่าคุณค่าของระบอบอะไรก็ตาม ต้องพิสูจน์ด้วยผลงานเท่านั้น ไม่ใช่หลักการสวยหรู

    เติ้งเสี่ยวผิงก็เป็น pragmatist เช่นกัน เขาเคยเป็นคอมมิวนิสต์สุดโต่ง แต่เมื่อเห็นว่าระบอบคอมมิวนิสต์ไม่เวิร์ก ทำให้คนยากจนทั้งประเทศ เขาก็เลิก เติ้งเสี่ยวผิงนำสิงคโปร์ โมเดล ไปปรับใช้ในจีน เป็นที่มาของประโยคอมตะ “แมวดำแมวขาวไม่สำคัญ จับหนูได้ก็เป็นแมวดี”

    เติ้งพาเมืองจีนเข้าไปในกระแสทุนนิยม แต่เป็นทุนนิยมแบบผสมผสาน ค่อยเป็นค่อยไป ที่เรียกว่า ‘หนึ่งประเทศสองระบบ’

    ในเวลาสี่สิบปี ‘แมวดำแมวขาวไม่สำคัญ’ ดึงคนจีนหลายร้อยล้านคนพ้นจากความยากจน

    สี่สิบปีนั้นเป็นช่วงที่ชาติชาติหนึ่งเจริญรุ่งเรืองรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของมนุษยชาติ

    พ่อผมเป็นหนึ่งในคนจีนหลายล้านคนที่อพยพจากจีนไปทำงานที่ต่างแดน เพราะที่เมืองจีนไม่มีอะไรกินจริงๆ ดังนั้นการดึงคนหลายร้อยล้านคนพ้นจากการอดตายจึงถือว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง

    โลกตะวันตกเฝ้ามองสิ่งที่เติ้งเสี่ยวผิงทำเงียบๆ ไม่เห็นว่าจีนมีพิษมีภัย ก็ไม่ว่าอะไร

    จนกระทั่งจีนเข้าองค์การการค้าโลก (WTO) ในเดือนสุดท้ายของปี 2001 หลังจากนั้นจีนก็โตเอาๆ เศรษฐกิจพุ่งพรวดๆ ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 รองจากสหรัฐฯ และในอนาคตจะเป็นเบอร์ 1 แน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ สหรัฐฯก็เริ่มคิดใหม่ ถามว่า “นี่กูทำอะไรลงไป ไม่น่าให้มันเข้า WTO เลย”

    สหรัฐฯเห็นว่าสถานะหมายเลขหนึ่งของตนกำลังถูกท้าทาย จึงมองจีนเป็นศัตรู

    อเมริกันอาจจะยังติดอยู่ในกรอบคิดเก่าๆ ถามตัวเองว่า ถ้าเราเป็นจีน เราจะยึดประเทศไหน จะทำลายใคร จะไปตั้งฐานทัพที่ไหน ฯลฯ เป็นที่มาของนโยบาย ‘สกัดดาวรุ่ง มุ่งขัดขา’ (containment policy)

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯล้อมกรอบจีน สหรัฐฯเคยทำมาก่อนครั้งที่ลัทธิคอมมิวนิสต์เริ่มเบ่งบานไปหลายประเทศ แต่ในสมัยนิกสันเปลี่ยนเป็นผูกมิตรกับจีนเพื่อสกัดโซเวียต ตามมาด้วยการค้าขาย

    นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ใช้ไต้หวันเป็นหมากสกัดจีน

    ....................................

    เมื่อสิบปีก่อน (2015) มีบทความเขียนโดยชาวอเมริกัน Ashley J. Tellis และ Robert D. Blackwill ชื่อ Revising U.S. Grand Strategy Toward China (รื้อวิธีจัดการจีน)

    แบล็ควิลล์เคยเป็นทูตที่อินเดีย อธิบายว่าสหรัฐฯติดนิสัยครอบครองมาแต่ไหนแต่ไร เริ่มต้นที่ครองอเมริกาเหนือ ตามมาด้วยซีกโลกตะวันตก เป้าหมายสุดท้ายคือครอบครองโลก และก็ทำสำเร็จ ครองโลกมานานปีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังโซเวียตล่ม สหรัฐฯกลายเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดอลลาร์เป็นศูนย์กลางของระบบเศรษฐกิจโลก

    บทความนี้เสนอว่าเมื่อจีนพัฒนาจนหายใจรดต้นคอ วอชิงตันควรคิดใหม่ ไม่ใช่ทำลายคู่แข่ง แต่รักษาสมดุล เพราะยิ่งพยายามขัดขา ยิ่งทำให้จีนโตเร็วขึ้น

    ในมุมของเศรษฐศาสตร์ การแข่งขันเป็นสิ่งดี เวลาวิ่งแข่งกัน ถ้าเบอร์ 2 กำลังไล่ตามมาติดๆ เบอร์ 1 ต้องปรับปรุงตัวเองให้วิ่งเร็วขึ้น ไม่ใช่ไปชัดขาเบอร์ 2

    บทความนี้เขียนเมื่อสิบปีก่อน

    ย้อนกลับไป 249 ปี อดัม สมิธ ชาวอังกฤษ เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Wealth of Nations ตีพิมพ์ในปีที่สหรัฐฯประกาศอิสรภาพ แม้จะเก่าแล้ว แต่มันเป็นหนังสือสำคัญ ทำนายหลายเรื่องได้แม่นยำ และยังใช้ได้ในบริบทสหรัฐฯกับจีนในปัจจุบัน

    อดัม สมิธ เขียนเตือนอังกฤษว่า อย่าไปปราบสหรัฐฯเลย ปล่อยมันเป็นเอกราชของมัน แทนที่จะรบกับมัน ก็ค้าขายกับมัน ช่วยเหลือกันและกัน แล้วต่างคนต่างได้ประโยชน์ แต่อังกฤษไม่ฟัง

    สงครามระหว่างอังกฤษกับสหรัฐฯกินเวลานาน จนฝรั่งเศสที่เป็นศัตรูอังกฤษเข้าไปร่วมวงช่วยสหรัฐฯจนชนะ

    ฝรั่งเศสทุ่มสุดตัวช่วยงานนั้นเพราะคิดว่า สงครามกับสหรัฐฯจะทำให้อังกฤษอ่อนแอลง แต่ผลที่ตามมาคือฝรั่งเศสต่างหากที่อ่อนแอลง และต่อมาก็เกิดปฏิวัตินองเลือด

    ผ่านไป 249 ปี สหรัฐฯกำลังทำอย่างเดียวกับที่อังกฤษทำกับตน คือพยายามปราบจีน และกดดันชาติอื่นให้ทำตามด้วย

    และมันก็ส่งผลย้อนกลับ มาตรการกดดันทางการค้า ภาษี  การจำกัดการไหลของเทคโนโลยีไปจีน ทำให้จีนไม่มีทางเลือก ต้องพึ่งตนเอง พัฒนาทุกอย่างเอง รู้ซึ้งว่ายืมจมูกคนอื่นหายใจไม่ได้

    จีนพัฒนาเทคโนโลยีเองแทบทุกอย่าง รวมถึงการขึ้นสู่อวกาศ ระบบยิงดาวเทียม ระบบสกัดขีปนาวุธของตัวเอง สร้างระบบ GPS เอง เมื่อตะวันตกกีดกันจีนไม่ให้ร่วมสถานีอวกาศนานาชาติ จีนก็ดิ้นรนสร้างเองจนสำเร็จ

    หลังจากโดนสหรัฐฯสั่งห้ามส่งชิปให้ จีนก็ทุ่มวิศวกรสร้างขึ้นมาใหม่ อาจจะยังตามไม่ทัน แต่วันหนึ่งทันแน่

    โลกตะวันตกรุมสกรัมจีนรอบนี้ ไม่ง่ายเหมือนหนึ่งศตวรรษแห่งความอัปยศ

    ในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา จีนกร่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่ยอมให้ใครมารุม ใครชกมาหนึ่งหมัด ก็ชกคืนทันที ที่เรียกว่าการทูตแบบ Wolf Warrior (นักรบหมาป่า)

    วลีนี้มาจากชื่อหนัง Wolf Warrior ที่กำลังพิเศษของจีนสู้กับต่างชาติ

    หลังจากจีนถูกกระทำในหนึ่งศตวรรษแห่งความอัปยศ จีนขอเรียกศักดิ์ศรีตนคืนมา

    ลีกวนยูบอกว่า “เมืองจีนต้องการเป็นเมืองจีน และได้รับการยอมรับอย่างนั้น ไม่ได้ต้องการเป็นสมาชิกที่ทรงเกียรติของตะวันตก”

    มันคือเกมหมากรุกการเมืองโลกกระดานใหม่ของสองขั้ว ความแตกต่างของการเดินหมากคือ สหรัฐฯใช้ทรัพยากรคนไปก่อสงคราม จีนกลับใช้การรุกทางเศรษฐกิจและสังคม แผ่อิทธิพลไปแอฟริกา สร้างระบบต่างๆ ให้

    นี่ทำให้หลายชาติในโลก รวมทั้งญี่ปุ่น ระแวงว่าจีนกำลังจะทำอย่างที่สหรัฐฯเคยทำคือครองโลก

    (อ่านตอนจบพรุ่งนี้)

    วินทร์ เลียววาริณ
    27-11-25

    1
    • 0 แชร์
    • 34