-
วินทร์ เลียววาริณ0 วันที่ผ่านมา
สัปดาห์ก่อนคุยเรื่องเพลงประกอบหนัง Schindler's List ก็ขอเล่าต่อสักหน่อยเรื่องของชินด์เลอร์ บางคนอาจไม่รู้
Schindler's List เป็นหนังเกี่ยวกับพฤติกรรมของชาวเยอรมันนาม ออสการ์ ชินด์เลอร์ (Oskar Schindler) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ออสการ์ ชินด์เลอร์ ตัวจริงใช้ชีวิตโลดโผน ผิดขนบ ผิดจารีตมาตั้งแต่เล็กจนโต เขาชอบการผจญภัย ชอบแข่งมอเตอร์ไซค์ ใช้ชีวิตแบบสุรุ่ยสุร่าย ชอบชีวิตหรูหรา ดื่มหนัก มักเป็นหนี้สิน เป็นนักฉวยโอกาส และนอกใจภรรยาบ่อยๆ
เขาเป็นคนกะล่อนตั้งแต่เด็ก ตอนอายุสิบหกเขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนเทคนิค เนื่องจากปลอมสมุดพก
อย่างไรก็ตาม เขาก็เรียนจบการศึกษาชั้นมัธยมจนได้ แต่ไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย เขาทำงานกับพ่อนานสามปี ในธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์และเครื่องมือทำฟาร์ม
เมื่ออายุยี่สิบ เขาแต่งงานกับ อีมิเลีย เพลเซิล อายุมากกว่าเขาหนึ่งปี อีมิเลียเป็นลูกสาวของชาวนาผู้มีฐานะดี ทั้งสองอาศัยอยู่กับพ่อของออสการ์นานเจ็ดปี
หลังแต่งงาน เขาเลิกทำงานกับพ่อ หันไปทำงานของตนเองด้านอิเล็กทรอนิกส์ โรงเรียนสอนขับรถ นอกจากนี้ยังเป็นเซลส์แมนขายอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล
เขาเป็นทหารช่วงหนึ่ง ติดยศสิบตรี หลังจากใช้ชีวิตในกองทัพไม่นาน ก็กลับไปทำงานธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ต่อ แต่ล้มละลาย เขาไปทำงานธนาคารอยู่หลายปี
เมื่ออายุยี่สิบแปด เขาได้รับการชักชวนให้เป็นสายลับให้อับแวร์ หน่วยสืบราชการลับของนาซี งานของเขาสำหรับหน่วยอับแวร์คือรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับด้านการทหาร การเคลื่อนกำลังพล ทางรถไฟ และสร้างสายลับใหม่ ๆ ในเชโกสโลวาเกีย เพื่อเป็นข้อมูลก่อนที่นาซีจะบุกยึดครอง เขาเคยบอกคนใกล้ตัวว่าเขาทำเพื่อเงิน
ในเดือนกรกฎาคม 1938 ชินด์เลอร์ถูกทางการเชโกสโลวาเกียจับข้อหาเป็นสายลับ ถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ชะตายังไม่ถึงฆาต สองเดือนต่อมาฮิตเลอร์กดดันให้หลายประเทศในยุโรปยอมลงนามในข้อตกลงมิวนิก (Munich Agreement) ส่งผลให้ชินด์เลอร์ได้รับการปล่อยตัว
สงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้นในวันที่ 1 กันยายน 1939 เกือกบูตของกองทัพนาซีที่ย่ำไปทั่วโปแลนด์ ชินด์เลอร์ฉวยโอกาสนี้ไปหาเงิน เขาเดินทางไปที่เมืองกรากุฟ ทำธุรกิจในตลาดมืด ด้วยเส้นสายนาซีและสินบน เขาซื้อโรงงานเครื่องเคลือบดินเผาแห่งหนึ่งที่กำลังล้มละลาย ยัดเงินเจ้าหน้าที่เพื่อให้ได้รับการว่าจ้างผลิตเครื่องครัวสำหรับกองทัพ
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1939 เพื่อนคนหนึ่งในหน่วยราชการลับแนะนำเขาให้รู้จักนักบัญชีชาวยิวโปแลนด์ชื่อ อิตซัก สเติร์น สเติร์นให้คำแนะนำทางธุรกิจ
เขาซื้อโรงงาน มีคนงานยิวเจ็ดคน ชาวโปแลนด์ 250 คน
ในช่วงแรกชินด์เลอร์ใช้พวกยิวทำงานเพราะค่าแรงถูกกว่า แต่ต่อมาธุรกิจกลายเป็นมนุษยธรรม
กลางปี 1940 นาซีออกคำสั่งให้พวกยิวในเมืองกรากุฟออกจากเมืองภายในสองอาทิตย์ ยกเว้นพวกยิวที่ทำงานให้กองทัพเยอรมัน
ยิวราวหนึ่งหมื่นห้าพันคนได้อยู่ต่อ แต่ถูกบังคับให้ย้ายไปอยู่ในย่านเสื่อมโทรม ทุกวันคนงานยิวของชินด์เลอร์ (เรียกว่า Schindlerjuden) เดินเท้าจากย่านเสื่อมโทรมไปทำงานที่โรงงาน
บางครั้งพวกเกสตาโปมาจับคนงานยิวซึ่งไม่มีเอกสารถูกต้อง แต่ก็ถูกชินด์เลอร์กล่อมด้วยเหล้าและข้าวของหายากจากตลาดมืด
เมื่อคนงานยิวของเขาถูกทางการขับออกนอกประเทศ เขาก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่พร้อม ‘ของฝาก’ บอกว่าลูกเมียของคนงานเหล่านี้ช่วยผลิตสินค้า
ปี 1941 ชินด์เลอร์ถูกจับด้วยข้อหาเกี่ยวกับตลาดมืด แต่ด้วยเส้นสายนาซีของเขา ก็หลุดออกมา
ปีถัดมาเขาก็ถูกจับอีก เพราะไปจูบเด็กสาวชาวยิวคนหนึ่งในงานฉลองวันเกิดของเขาที่โรงงาน คราวนี้อยู่ในห้องขังถึงห้าวัน แต่ด้วยเส้นสาย เขาก็หลุดออกมาอีก
ครั้นถึงปลายปี 1941 พวกนาซีเริ่มฆ่าชาวยิวอย่างเป็นระบบ ชินด์เลอร์เห็นทหารนาซีต้อนชาวยิวขึ้นรถไฟ อัดแน่นเต็มตู้ เขารู้ว่าชาวยิวเหล่านี้ถูกส่งไปฆ่า
เขาตื่นขึ้นในนาทีนั้น เขาสัญญากับตัวเองว่า ภาพแบบนี้ต้องไม่เกิดขึ้นอีก
เขาตัดสินใจช่วยชีวิตพวกยิวให้มากที่สุด
ในเดือนมีนาคม 1943 นาซีสร้างค่ายกักกันใหม่ชื่อ กรากุฟ-ปวาชุฟ ทางตอนใต้ของเมืองกรากุฟ โปแลนด์ อยู่ห่างจากโรงงานของชินด์เลอร์เพียงสองกิโลเมตรครึ่ง ผู้บัญชาการค่ายนี้ชื่อ อามอน เกิร์ธ เป็นนายทหารเอสเอส เชื้อสายออสเตรีย ชอบทรมานและฆ่านักโทษ ยิงทิ้งเล่นตามใจชอบ
ชินด์เลอร์ ‘โน้มน้าวใจ’ เจ้าหน้าที่ชั้นสูงยอมให้โรงงานของเขาเป็นค่ายกักกันย่อยแห่งหนึ่ง เพื่อช่วยชีวิตคนงานที่จะถูกส่งไปฆ่า เขาขอเพิ่มคนงานอีก 450 คน จากเดิมมีอยู่หนึ่งพันคน พวกนี้มาจากโรงงานในละแวกใกล้เคียง ถ้าไม่ช่วยคนเหล่านี้จะถูกฆ่า
แน่ละ เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเยอรมันก็พอรู้ว่าชินด์เลอร์ช่วยเหลือพวกยิว แต่ก็ไม่สามารถแตะเขาได้ เพราะเส้นสายของเขาใหญ่กว่า
ระหว่างการทำลายล้างถิ่นที่อยู่ของพวกยิวในเดือนมีนาคม ปี 1943 ชินด์เลอร์อนุญาตให้พวกยิวอาศัยในโรงงาน
ในเดือนตุลาคม 1944 ชินด์เลอร์ถูกจับอีกครั้ง ข้อหาพัวพันตลาดมืดและติดสินบนเกิร์ธกับทหารคนอื่น ๆ เพื่อช่วยพวกคนงานยิว หลังถูกขังหนึ่งอาทิตย์ ก็ออกมาได้
ข่าว ‘นาซีผู้ช่วยยิว’ เดินทางไปถึงหูพวกยิวในอเมริกาและกลุ่มอื่น ๆ วันหนึ่งในปี 1943 พวกยิวกลุ่มต่อต้านนาซีในกรุงบูดาเปสต์ก็ติดต่อชินด์เลอร์ และให้เงินเขาเพื่อช่วยยิว
ชินด์เลอร์ติดสินบนและใช้เส้นสายทุกวิถีทางเพื่อให้โรงงานของเขาไม่ต้องย้าย ในช่วงปี 1944 ชินด์เลอร์มีคนงานถึงราว 1,750 คน กว่าหนึ่งพันคนเป็นยิว
สงครามฝั่งยุโรปเริ่มเห็นพวกนาซีพ่ายแพ้ กองทัพแดงของโซเวียตรุกคืบเข้ามา ทหารนาซีเริ่มปิดค่ายกักกันฝั่งตะวันออกทีละแห่งสองแห่ง แล้วย้ายนักโทษไปที่ค่ายกักกันเอาส์ชวิทซ์และโกรส-โรเซน ทั้งสองค่ายตั้งอยู่ที่โปแลนด์
พวกนาซีต้องการปิดโรงงานทั้งหมดที่ไม่เกี่ยวกับการสงคราม รวมทั้งโรงงานผลิตเครื่องครัวของชินด์เลอร์
การย้ายคนงานชาวยิวไปที่ค่ายแปลว่าพวกนี้จะถูกฆ่าทิ้ง
เลขานุการของเกิร์ธบอกชินด์เลอร์ว่า “ถ้าคุณไม่ต้องการให้โรงงานถูกปิด ก็ต้องเปลี่ยนการผลิตสินค้า เปลี่ยนจากการผลิตเครื่องครัวเป็นผลิตลูกกระสุนและระเบิดมือต่อสู้รถถังแทน”
เพื่อรักษาชีวิตชาวยิว ชินด์เลอร์ใช้เส้นสายและเงินสินบนจำนวนมากโน้มน้าวใจเจ้าหน้าที่ชั้นสูงในเบอร์ลินอนุญาตให้เขาตั้งโรงงานทำอาวุธที่หมู่บ้านเบร็นเยเนทซ์ในโมราเวีย โดยให้ถือโรงงานนี้เป็นค่ายกักกันย่อยอีกแห่งหนึ่งของโกรส-โรเซน
ด้วยวิธีนี้ เขาก็สามารถเพิ่มจำนวนคนงานยิวอีกแปดร้อยคน
ที่โรงงานใหม่ ชินด์เลอร์สร้างอาวุธ แต่เจตนาถ่วงเวลาการสร้างอาวุธ อีกทั้งคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน เมื่อเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบอาวุธที่ผลิตและตั้งคำถามว่าเหตุใดการผลิตจึงเชื่องช้ามาก ชินด์เลอร์ก็แก้ปัญหาโดยซื้ออาวุธจากตลาดมืดมาให้แทน
ในเดือนตุลาคม ปี 1944 ชินด์เลอร์ร่วมกับพวกทำรายชื่อยิวราว 1,200 คน เพื่อขอเป็นคนงาน รายชื่อนี้ต่อมาเรียกว่า Schindler’s List
ยิวเจ็ดร้อยคนในรายชื่อเกือบไม่ได้ไปถึงจุดหมาย เพราะรถไฟพาพวกเขาไปที่ค่ายกักกันโกรส-โรเซน หวุดหวิดถูกฆ่าหมู่ แต่ในที่สุดด้วยการวิ่งเต้นของชินด์เลอร์ พวกนี้ก็ถูกส่งไปที่โรงงาน
นอกจากนี้คนงานหญิงชาวยิวสามพันคนก็ถูกส่งไปที่ค่ายเอาส์ชวิทซ์เตรียมถูกส่งเข้าห้องรมแก๊ส ชินด์เลอร์พยายามหาทางช่วยคนเหล่านี้อย่างยากเย็น ในที่สุดด้วยเงินสินบน ข้าวของในตลาดมืด อาหาร รวมทั้งเพชร เขาก็ช่วยสามพันคนนี้ออกมาจากความตายได้สำเร็จ
เขาจัดการใช้เส้นสายส่งคนงานยิวสตรีสามพันคนนี้ไปที่โรงงานสิ่งทอหลายแห่งในซูเดเทนลันท์
ภารกิจช่วยชีวิตชาวยิวในสเกลขนาดนี้หมายถึงเงินจำนวนมหาศาล เขาใช้เงินราวสี่ล้านมาร์กเยอรมัน จ่ายเงินสินบนให้เจ้าหน้าที่ จัดซื้อข้าวของจากตลาดมืดให้คนงานจนเงินหมด
เขาไม่รู้ว่าจะมีกำลังกายและกำลังเงินช่วยพวกยิวอีกนานเท่าไร
แล้วสงครามฝั่งยุโรปก็จบลง เยอรมนียอมแพ้ ถึงเวลาคิดบัญชีพวกนาซี!
เขารู้ว่าถึงคราวต้องหนีแล้ว เขารู้ว่าถ้าถูกโซเวียตจับ อาจถูกฆ่า เพราะเขาเป็นสมาชิกพรรคนาซีและทำงานสายลับให้หน่วยอับแวร์
พวกยิวหลายคนจึงทำเอกสารยืนยันว่า ชินด์เลอร์ช่วยชีวิตชาวยิวไว้อย่างไร เพื่อเป็นหลักฐานที่ทำให้เขาและภรรยารอดตาย
คนงานยิวทำแหวนทองวงหนึ่งให้เขา โดยใช้ทองจากฟันของยิว สลักบนแหวนว่า “ผู้ใดก็ตามช่วยชีวิตคนหนึ่งคน ช่วยโลกทั้งโลก”
วันที่ 9 พฤษภาคม ชินด์เลอร์กับภรรยาขับรถหนีพวกโซเวียตไปทางทิศตะวันตก หนีต่อไปทางรถไฟ และเดินเท้าต่อไปจนถึงเขตสหรัฐอเมริกาหลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปที่เมืองพัสเซา ในเขตบาวาเรีย เยอรมนี ที่นั่นพวกยิวอเมริกันเตรียมทางหนีให้ชินด์เลอร์แล้ว
ทั้งสองโดยสารรถไฟไปสวิตเซอร์แลนด์ จนปลายปี 1945 จึงย้ายกลับไปที่เยอรมนี
ชินด์เลอร์พยายามทำธุรกิจอีก แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดก็ต้องพึ่งเงินจากกลุ่มยิวผู้ที่เขาช่วยชีวิตในช่วงสงคราม
เขาต้องการอพยพไปที่สหรัฐอเมริกา แต่คำขอถูกปฏิเสธ เนื่องจากเขาเป็นสมาชิกพรรคนาซี
สี่ปีหลังสงครามเลิก ชินด์เลอร์ย้ายไปอยู่ที่อาร์เจนตินา ทำฟาร์มไก่และนากเพื่อตัดขน ในปี 1958 เขาก็สิ้นเนื้อประดาตัว เขาทิ้งภรรยา หวนกลับไปเยอรมนี ทำธุรกิจอีกหลายอย่าง แต่ก็ล้มเหลวหมด
ในปี 1963 อายุห้าสิบห้า ธุรกิจของเขาก็ถึงจุดล้มละลาย เขาอยู่ได้ด้วยความช่วยเหลือของพวกยิวจากทั่วโลกที่ส่งเงินให้เขา ตอบแทนบุญคุณที่เขาช่วยชีวิต
ออสการ์ ชินด์เลอร์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1974 อายุหกสิบหก ศพของเขาถูกฝังบนเนินเขาไซออนที่กรุงเยรูซาเลม เป็นสมาชิกนาซีคนเดียวที่ได้รับการยกย่องจากยิวในระดับสูงเช่นนี้
เขาบอกว่า เขาช่วยยิว “เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่น”
แต่ความจริงคือเขามีทางเลือก เขาสามารถอยู่เฉย ๆ ได้
ชินด์เลอร์เคยบอกว่า “ถ้าคุณเห็นหมากำลังจะถูกรถชน คุณจะไม่ช่วยหรือ?”
ในเวลาปกติ ออสการ์ ชินด์เลอร์ มิใช่คนดีตามมาตรฐานสังคมทั่วไป ไม่ใช่คนมีศีลธรรมสูงส่ง หรือใช้ชีวิตอย่างมีจรรยาบรรณ เข้าข่ายกะล่อนด้วยซ้ำ
แต่ในห้วงเวลาแห่งวิกฤติและเภทภัย สถานการณ์ก็เผยให้เห็นธาตุแท้ของเขาว่า เขายังมีวิญญาณความเป็นมนุษย์อยู่ครบถ้วน
เขาใช้หลักอธรรมทุกอย่างเพื่อทำงานธรรม! ตั้งแต่การโกหก ติดสินบน ใช้ลูกเล่น เส้นสาย
มันเป็นการกระทำที่เสี่ยงอันตรายและต้องใช้ความกล้าหาญอย่างสูง
และนี่ทำให้โลกยังมีแสงสว่างของความหวัง
วินทร์ เลียววาริณ
10-11-25.................
อ่านฉบับเต็มได้จากหนังสือสารคดี วีรบุรุษที่เราลืม
แจกฟรีเมื่อซื้อชุดสารคดี ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม 1-5 (5 เล่ม)
เหมาะสำหรับเก็บประจำบ้าน ให้ลูกหลานประกอบการเรียน
1,000 บาท จากราคาปก 1,605.-
แต่ละเล่มหนา 256 หน้า (รวม 1,536 หน้า)
รวม 6 เล่ม 118 เรื่อง = เรื่องละ 8.4 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
ทุกเล่มมีลายเซ็นนักเขียน เหมาะเป็นของขวัญ
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วสั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
1- แชร์
- 7
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
โครงการ ‘คนละครึ่ง’ ในทางเศรษฐกิจดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ แต่โครงการ ‘คนละครึ่ง’ ในการใช้ชีวิตอาจสำคัญกว่า เพราะชีวิตที่ดีคือการรักษาสมดุลทั้งทางกาย ใจ ปัญญา และการครองชีวิต
หลักการโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ในการใช้ชีวิตมีดังต่อไปนี้
1 อ่านครึ่งหนึ่ง วิเคราะห์ครึ่งหนึ่ง
2 ความรู้ครึ่งหนึ่ง ความขยันครึ่งหนึ่ง
3 ปัญญาครึ่งหนึ่ง เมตตาครึ่งหนึ่ง
4 ความฉลาดครึ่งหนึ่ง ความเฉลียวครึ่งหนึ่ง
5 มองไปข้างหน้าครึ่งหนึ่ง มองไปข้างหลังครึ่งหนึ่ง
6 ใช้เงินครึ่งหนึ่ง เก็บออมครึ่งหนึ่ง
7 พระเดชครึ่งหนึ่ง พระคุณครึ่งหนึ่ง
8 พูดครึ่งหนึ่ง เงียบครึ่งหนึ่ง
9 ใช้รถครึ่งหนึ่ง เดินครึ่งหนึ่ง
10 บอกรักแม่ครึ่งหนึ่ง ไปเยี่ยมแม่ครึ่งหนึ่ง
11 รักลูกครึ่งหนึ่ง อบรมลูกครึ่งหนึ่ง
12 เรียนในโรงเรียนครึ่งหนึ่ง เรียนด้วยตัวเองครึ่งหนึ่ง
13 สะสมครึ่งหนึ่ง เจือจานครึ่งหนึ่ง
14 โกรธครึ่งหนึ่ง ให้อภัยครึ่งหนึ่ง
15 ติครึ่งหนึ่ง ชมครึ่งหนึ่ง
วันนี้เป็นวันจันทร์ ทำงานให้เต็มที่ อย่าทำงานครึ่งหนึ่ง ง่วงครึ่งหนึ่งล่ะ เดี๋ยวโดนไล่ออกไม่รู้นะ
Have a good day and a good week.
วินทร์ เลียววาริณ 9-11-25
1- แชร์
- 22
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
หลายปีนี้ เวลาเห็นชื่อ Tilda Swinton ในรายชื่อนักแสดง ก็ถือเป็นดัชนีบอกแนวและคุณภาพหนังได้ในระดับหนึ่ง เช่น Burn After Reading (2008), Snowpiercer (2014), The Grand Budapest Hotel (2014), Okja (2017), The Killer (2023) ฯลฯ
หลังจากกวาดรางวัลออสการ์ BAFTA, Volpi Cup และเข้าชิง Screen Actors Guild Award และ Golden Globe Award หลายรอบ Tilda Swinton ก็มักเป็นแขกรับเชิญในหนังที่เข้าข่าย 'แปลก'
ดังนั้นเมื่อเห็นหน้า Tilda Swinton ในเรื่อง Ballad of a Small Player ก็พอมองออกว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังดูเอาเพลินแน่
Ballad of a Small Player เป็นผลงานล่าสุดของ Edward Berger คนทำ All Quiet on the Western Front (2022) และ Conclave (2024) ทั้งสองเรื่องกวาดรางวัลและคำชมล้นหลาม เป็นผู้กำกับฝีมือดีคนหนึ่งในวงการ
Ballad of a Small Player เป็นหนังแนวไหน? คำตอบขึ้นอยู่กับโหมดการรับชม มันอาจจัดเป็นหนังทริลเลอร์ หนังจิตวิทยา หนังแฟนตาซี หรือหนังผีก็ได้ แต่ไม่ว่าจะดูด้วยโหมดหนังแนวไหน มันก็ตีความไปได้คนละแบบ
นี่ทำให้มันเป็นหนังแปลก
ตัวละครหลักในเรื่องเป็นนักพนันชาวอังกฤษที่ใช้ชื่อว่า ลอร์ด ดอยล์ (Colin Farrell) เขาเล่นพนันตามบ่อนต่างๆ ในมาเก๊า พักในโรงแรมหรู ใช้ชีวิตเหมือนไม่มีวันพรุ่งนี้ เขาเสพติดการพนันขั้นรุนแรง
หนังเปิดฉากที่ลอร์ด ดอยล์ เล่นพนันจนเป็นหนี้สินล้นตัว ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร จะฆ่าตัวตายหรือจะกู้เงินมาเล่น หรืออย่างไร?
มันเป็นช่วงเวลาของเทศกาลปล่อยผี หรือฉิกเหว่ยปั่ว คนจีนเชื่อว่าผีถูกปล่อยออกมาจากนรกในเดือนเจ็ด เป็นเวลาที่นรกเปิดประตูเชื่อมกับโลกมนุษย์ ผีและวิญญาณทั้งหลายได้รับอนุญาตให้ออกมาจากภูมินรก กลับไปเยี่ยมบ้านได้ วิญญาณผีเปรตทั้งหลายจึงมารับส่วนบุญจากมนุษย์ เป็นที่มาของเทศกาลเทกระจาดในวันสารทจีน แจกข้าวของให้คนยากจน
แต่ผีในเทศกาลฉิกเหว่ยปั่วเป็นผีที่หิวโหยตลอดเวลา กินไม่หยุด ปากใหญ่ ลำคอเล็ก กินเท่าไรก็ไม่พอ
ถึงตรงนี้พล็อตเรื่องก็โยงให้การเล่นพนันของ ลอร์ด ดอยล์ เกี่ยวข้องสิ่งเหนือธรรมชาติแห่งเทศกาลฉิกเหว่ยปั่ว ที่ดูเหมือนกำหนดชะตาการเล่นพนันของเขา
(ต่อไปนี้จะมีสปอยเลอร์อย่างแรง หากใครสนใจแนวที่เล่ามานี้ ก็ควรหยุดอ่าน ไปดูหนังก่อน แล้วค่อยมาอ่านต่อ เตือนแล้วนะ)
......................................
เรื่องเผยต่อมาว่า ลอร์ด ดอยล์ เป็นคนฉ้อฉล โกงเงินคนที่อังกฤษ แล้วหนีมาหมกตัวที่มาเก๊า ใช้เงินที่โกงมาเล่นพนัน
ลอร์ด ดอยล์ พบหญิงสาวชาวจีนคนหนึ่งที่มีเบื้องหลังคล้ายกับเขา ผู้หญิงบอกเขาว่า เขายังมีทางเลือกที่จะแก้ไขตัวเอง แต่เขาไม่เชื่อว่าตนเองยังมีทางเยียวยา
ในท้ายเรื่อง ลอร์ด ดอยล์ ก็ค้นพบทางเยียวยาและไถ่บาป (redemption) เรื่องดูเหมือนว่าจบแบบ happy ending
นี่คือการดูหนังเรื่องแล้วตีความตามภาพที่เห็น
แต่หนังสร้างหลายองค์ประกอบที่ทำให้เราสามารถตีความไปอีกมุมหนึ่ง และทำให้มันกลายเป็นหนังคนละม้วน
นั่นคือ 1 redemption ของเขาเป็นเพียงภาพหลอน (hallucination) เขาคิดไปเอง
และ 2 กว่าค่อนเรื่อง ลอร์ด ดอยล์ อยู่ในโลกหลังความตาย (purgatory) เขาเป็นผีที่ออกมาโลดแล่นในเทศกาลฉิกเหว่ยปั่ว มันไม่มีการไถ่บาป มันมีแต่มายาของการไถ่บาป ตัวละครหลักแตกสลายเกินเยียวยา และโลกไม่มี happy ending
หากดูหนังในมุมของผี จะพบว่าพล็อตเรื่องนี้คล้ายเรื่องสั้นผีเรื่องหนึ่งของผม คือเรื่อง นักพนันเดือนเจ็ด (ในชุด ประเทศผีสิง ตีพิมพ์ปี 2557) ใช้ฉากบ่อนและเทศกาลปล่อยผีเหมือนกัน เรื่องเล่าถึงนักพนันที่จู่ๆ เล่นชนะตลอด เพราะเขาตายไปแล้วกลับมาเล่นพนันในเทศกาลปล่อยผี (โชคดีที่เรื่องนี้ผมเขียนก่อนมาสิบปีแล้ว ไม่งั้นคงโดนข้อหาลอก)
หนังถ่ายรูปสวย แสงนีออน สายน้ำ มีมุมแปลกใหม่ที่เราอาจไม่เคยเห็นมาก่อนของเมืองการพนันตะวันออก
เกาะลัมมาหรือเกาะหนานยา (Lamma Island / 南丫島) ในเรื่องนี้ ก็คือบ้านเกิดของนักแสดงโจวเหวินฟะ
ภาพถ่ายและอารมณ์ของหนังเรื่องนี้ทำให้อดเปรียบกับอีกเรื่องไม่ได้ คือ Only God Forgives (2013) ของ Nicolas Winding Refn (คนทำ Drive) ซึ่งถ่ายมุมแปลกแต่สวยของกรุงเทพฯ
ไม่ว่าจะดูหนังในมุมไหน มันก็ชวนให้ขบคิดต่อว่า บางทีมนุษย์ไม่มีทางหนีพ้นสิ่งเสพติด ไม่ว่าอยู่ในรูปการพนันหรืออำนาจ เพราะมนุษย์ก็คือผีที่หิวโหยตลอดเวลา
ป.ล. ควรดูให้จบ หลังเครดิตขึ้น มีฉากเต้นรำ
9/10
Netflixวินทร์ เลียววาริณ
9-11-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
(มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)
1- แชร์
- 24
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
ผู้อ่านคงเคยได้ยินชื่อ เว่ยหล่าง จากหนังสือเซนของท่านพุทธทาสภิกขุ เว่ยหล่างมีอีกชื่อว่าฮุ่ยเหนิง
ฮุ่ยเหนิงเป็นลูกศิษย์ของหงเหริ่น พระสังฆปริณายกรุ่นที่ 5
มาเล่าเรื่องของหงเหริ่นก่อน
หงเหริ่นเกิดมาไม่มีพ่อ ไม่มีใครทราบว่าแม่ของเขาตั้งครรภ์กับผู้ใด พ่อของนางขับไล่นางออกจากบ้าน เมื่อคลอดลูกแล้ว ทั้งแม่และลูกก็ขอทานเลี้ยงชีพ ชาวบ้านเรียกเขาว่า 'เด็กชายนิรนาม' เพราะเขาไม่มีบิดา
เด็กชายนิรนามอายุเจ็ดขวบเมื่อมีโอกาสพบกับอาจารย์เต้าซิ่นที่ตำบลหวางเหมย (แปลว่า เหมยสีเหลือง) สถานที่เกิดของเด็กชาย กิริยาท่าทางของเด็กชายผู้นี้ดูมีราศีผิดเด็กทั่วไปจนอาจารย์เต้าซิ่นสะดุดตา
พระสังฆปริณายกองค์ที่สี่ถามเด็กชายว่า "เจ้าแซ่อะไร?"
"ข้าพเจ้ามีแซ่ แต่มันมิใช่แซ่อันสามัญ"
"แล้วแซ่นั้นคืออันใดเล่า?"
เด็กชายตอบว่า "ธรรมชาติแห่งพุทธะ"
คำว่า แซ่ ในภาษาจีน ออกเสียงว่า ซิ่ง ตรงกับเสียงของคำว่า'ธรรมชาติ' เช่นกัน
อาจารย์เต้าซิ่นยิ้ม สัพยอกด้วยคำถามว่า "เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มี 'แซ่'?"
ความหมายซ่อนของคำถามนี้คือ "เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีธรรมชาติ?"
เด็กชายตอบเรียบ ๆ ว่า "หามีไม่"
"ไยจึงไม่มี?"
"เนื่องเพราะ 'ธรรมชาติ' ก็คือความว่างเปล่า"
อาจารย์เต้าซิ่นยิ้มน้อย ๆ รู้ว่าตนได้พบกับคนที่ไม่ธรรมดา กล่าวกับเด็กชายว่า "เพชรเช่นเจ้าไม่สมควรจมอยู่ในตมตลอดไป"
"ข้าพเจ้าสมควรอยู่ในสถานที่ใด?"
"เจ้าก็รู้"
"ข้าพเจ้ายังมีภาระต้องเลี้ยงครอบครัว"
ดังนั้นพระสังฆปริณายกองค์ที่สี่จึงขออนุญาตแม่ของเด็กชายให้เขาได้บวช แม่ของเขาอนุญาต เด็กชายก็ติดตามอาจารย์เต้าซิ่นสู่โลกธรรม และนี่คือที่มาของพระสังฆปริณายกองค์ถัดมา - หงเหริ่น
หงเหริ่นอยู่กับเต้าซิ่นจนอาจารย์สิ้นไปในปี ค.ศ. 651 หลังจากอาจารย์มรณภาพ หงเหริ่นย้ายวัดไปที่ตังซาน (ภูเขาบูรพา) ซึ่งเป็นเขาอีกลูกของซวงเฟิง ดังนั้นคำสอนของเต้าซิ่นกับหงเหริ่นจึงมักเรียกว่า คำสอนแห่งภูเขาบูรพา
ตำนานเล่าว่ามังกรเซนหงเหริ่นเป็นคนเงียบ ๆ และเก็บตัว นั่งสมาธิทั้งคืน ไม่เคยอ่านคัมภีร์ แนวทางของหงเหริ่นเน้นการทำสมาธิ เพราะเห็นว่าจิตบริสุทธิ์ไม่เกิดขึ้นด้วยการคิดผิดหรือหลง จิตบริสุทธิ์เกิดมาจากการกำจัดความคิดปรุงแต่งทั้งหลายออกไป และนี่คือการมีสติรู้ตัวเพื่อการบรรลุธรรม
ท่านยังสอนให้ศิษย์ตามติดจิตให้ทัน มองดูมันเคลื่อนไปเช่นเดียวกับสายน้ำที่ไหลเอื่อยเรื่อยไป และเมื่อการไหลไปของจิตนั้นหยุด มายาจากสิ่งปรุงแต่งก็มลาย
หงเหริ่นเป็นเจ้าอาวาสที่เฉลียวฉลาด สติปัญญาลึกซึ้ง สั่งสอนลูกศิษย์นับพัน แนวทางของท่านมีอิทธิพลต่อคำสอนของเซนในยุคแรก ได้รับการยกย่องอย่างสูง เซนกลายเป็นคำสอนที่เข้าถึงเมืองและเจ้าแผ่นดิน
และหงเหริ่นผู้นี้นี่เองที่ค้นพบเพชรเม็ดงามที่สุดเม็ดหนึ่งในตม ในประวัติศาสตร์ของเซน คือฮุ่ยเหนิง
วินทร์ เลียววาริณ
9-11-25.............................
จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
มังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=6Mini Zen Shopee https://shopee.co.th/วินทร์-เลียววาริณ-ชุด-Mini-Zen-และ-Mini-Tao-ราคาปก-430.-พิเศษ-350.-พร้อมลายเซ็นนักเขียน-
1- แชร์
- 23
-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
(หมายเหตุ ผมรอหนังเรื่องนี้เข้าโรงมานาน ไม่มาสักที จนเมื่อคืนนี้เห็นมันปรากฏใน Netflix จึงตัดสินใจดูจากจอเล็ก เพราะเชื่อว่าคงไม่เข้าโรงหนังในเมืองไทย และนี่คือความเห็นหลังจากดู)
ในที่สุดเราก็ได้ Frankenstein ฉบับที่ดีที่สุดฉบับหนึ่ง เวอร์ชั่นนี้สร้างโดย Guillermo del Toro หนึ่งในสามเสือนักสร้างหนังชาวเม็กซิโก The Three Amigos of Mexican Cinema (อีกสองคนคือ Alfonso Cuarón และ Alejandro G. Iñárritu)
Guillermo del Toro ทำหนังดีอยู่หลายเรื่อง เรื่องหนึ่งที่ผมให้คะแนน 10/10 คือ The Shape of Water (2017) กวาดออสการ์หลายตัว รวมทั้งหนังยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม
แน่นอน del Toro ไม่ใช่มือธรรมดา แต่เขาจะทำ Frankenstein ออกมาอย่างไร ในเมื่อนวนิยายเรื่องนี้สร้างเป็นหนังมานับครั้งไม่ถ้วน ยังมีมุมมองใดประเด็นไหนเล่นได้อีก?
แฟรงเกนสไตน์ หรือชื่อเต็มฉบับนวนิยายคือ Frankenstein; or, The Modern Prometheus เป็นนิยายจากปลายปากกาของ แมรี เชลลี (1797-1851) ไอเดียเรื่องมนุษย์ประหลาดนี้เกิดขึ้นตอนที่แมรีไปเที่ยวทะเลสาบเจนีวากับสามีในปี 1816 ตอนนั้นผู้ร่วมเดินทางมีลอร์ดไบรอนและ จอห์น โพลิดารี ลอร์ดไบรอนท้าคนในวงสนทนาให้เขียนเรื่องผี และแมรีก็แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา
ตอนนั้นแมรีอายุเพียงสิบเก้า เธอกลับไปเขียนเรื่อง แฟรงเกนสไตน์ จนจบและตีพิมพ์ในปี 1818 หนังสือประสบความสำเร็จมหาศาล
คนส่วนมากคงรู้พล็อตเรื่องนี้ดีแล้ว เพราะเรื่องนี้สร้างเป็นหนังมาหลายต่อหลายครั้ง เฉพาะหนังโรงก็ร่วมหนึ่งร้อยเรื่อง แฟรงเกนสไตน์ เป็นเรื่องการสร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่ของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ชื่อ วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ โดยเอาชิ้นส่วนจากร่างกายคนต่าง ๆ มาประกอบรวมกันเป็นคนใหม่ และชุบชีวิตด้วยกระแสไฟฟ้า
บางคนอาจคุ้นกับชื่อ Prometheus จากหนังเรื่อง Oppenheimer ของโนแลน ในตำนานกรีก โพรมีเธียสเป็นเทพแห่งไฟ โพรมีเธียสขโมยไฟจากเหล่าเทพไปให้มนุษย์ ไฟก็คือความรู้ เทคโนโลยี อารยธรรม
ในเรื่อง Oppenheimer ความรู้นั้นคือศาสตร์การสร้างระเบิดปรมาณู แต่ในเรื่อง แฟรงเกนสไตน์ ไฟคือศาสตร์การสร้างมนุษย์และความเป็นอมตะ
ในยุคแรกๆ ฮอลลีวูดทำให้แฟรงเกนสไตน์เป็นอสูรร้ายที่น่ากลัว ต้องกำจัดทิ้ง มีเพียงแฟรงเกนสไตน์บางเวอร์ชั่นเท่านั้นที่เป็น 'คน' ที่มีชีวิตจิตใจมากขึ้น เช่น ฉบับปี 1931 แสดงโดย คาร์ลอฟฟ์ หรือฉบับใหม่ของ เคนเนธ บรานากห์ แสดงโดย รอเบิร์ต เดอ นิโร ซึ่งจำลองแฟรงเกนสไตน์ที่มีจิตใจเช่นคน มีความรู้สึกเศร้าใจที่ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครกล้าคบหา เพราะมนุษย์ตัดสินคุณค่าของคนและคบกันที่หน้าตาภายนอก
ในนวนิยายต้นฉบับของ แมรี เชลลี มนุษย์ประหลาดมีความเป็นคนมากกว่าในเวอร์ชั่นหนังส่วนใหญ่ ที่พยายามลดความเป็นคนของเขาลง เพิ่มความรุนแรงก้าวร้าว และฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น
สำหรับฉบับของ Guillermo del Toro เคารพต้นฉบับมากทีเดียว และนี่น่าจะเป็นเรื่องแรกที่แฟรงเกนสไตน์อ่านหนังสือได้ และฉลาดพอรู้ว่าตนมาจากไหน เวอร์ชั่นนี้เน้นอารมณ์จิตใจมากกว่าความเป็นหนังสยองขวัญ โดยเฉพาะท่อนที่เล่าในมุมมองของสัตว์ประหลาด เป็นท่อนที่แตะใจเรา และเชื่อมใจเรา
จะว่าไปแล้วมันไม่ใช่หนังสยองขวัญ แต่เป็นหนังที่เล่นกับจิตใจ โยงกับประเด็นปรัชญาความเป็นมนุษย์ ผู้สร้าง พระเจ้า คำถามว่าคนเราเกิดมาทำไม และอย่างไร ประเด็นเรื่องความตาย ทำให้เรื่องนี้ลึกกว่าเวอร์ชั่นอื่นๆ มันสัมผัสใจมากกว่า และเราจะแยกแยะไม่ออกความแตกต่างระหว่างสัตว์ประเสริฐกับอสุรกาย ดีกับชั่ว เปลือกนอกกับหัวใจ
บางทีมนุษย์ไม่มีความสามารถที่จะแยกกันออกระหว่างเปลือกนอกกับหัวใจ เพราะนี่เป็นโลกสีเทาของคนสีเทา
ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราอาจเลือกการใช้ชีวิตได้ ด้วยความเข้าใจ และด้วยหัวใจ
บางทีความงามของชีวิตอยู่ที่มุมมองว่าชีวิตก็คือการใช้ชีวิต ขณะที่ยังมีชีวิต ก็หายใจต่อไป ไม่ว่าเราจะเกิดมาในสภาพใด ข้อแม้ใด และไม่ว่าโลกภายนอกจะเลวร้ายเพียงไร
มันเป็นเช่นนั้นเอง
(ป.ล. ออสการ์ปีหน้า Jacob Elordi คนเล่นเป็นมนุษย์ประหลาดอาจได้แจ้งเกิด)
9.5/10
Netflixวินทร์ เลียววาริณ
8-11-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
(มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)
1- แชร์
- 36
