• วินทร์ เลียววาริณ
    0 วันที่ผ่านมา

    ในหลายประเทศในโลก ผู้ชายทุกคนต้องเป็นทหารประจำภาคบังคับ เช่น สิงคโปร์ (สองปี) เกาหลีใต้ (ร่วมสองปี) อิสราเอล ฟินแลนด์ นอรเวย์ รัสเซีย ฯลฯ

    เกาหลีเหนือโหดที่สุด ทั้งชายและหญิงต้องเป็นทหาร ชายเป็นนานถึง 10 ปี หญิง 7 ปี

    เมืองไทยต่างออกไปบ้าง คือมีการจับใบดำใบแดง และหากเป็นนักศึกษา สามารถเลือกเรียนทหาร (ร.ด. - รักษาดินแดน) สามปี พร้อมกับเรียนหนังสือไปด้วย ข้อดีคือไม่ขาดตอนการเรียนหนังสือ

    สมัยผมเป็นเด็ก เคยได้ยินคนไม่ต้องการเป็นทหาร ตั้งใจทำให้นิ้วมือหรือนิ้วเท้าพิการ เพื่อที่จะหลุดทหาร

    ถ้าจริง ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น

    เมื่อห้าสิบปีก่อน ผมก็เหมือนเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ คือสมัครเรียน ร.ด. ปีละ 20 คาบ คาบละ 4 ชั่วโมง

    ถ้าเรียนห้าปี ก็ติดยศว่าที่ร้อยตรี

    ผมมีเพื่อนที่เรียน 5 ปี มีเพื่อนที่ไม่เรียน ร.ด. ไปตายดาบหน้า จับใบดำใบแดง มีเพื่อนที่สมัครเป็นทหาร และก็มีเพื่อนที่สมัครเป็นทหารอากาศ

    หลังจากเรียน ร.ด. ครบ 3 ปี นักศึกษาวิชาทหารทุกคนต้องไปสอบใหญ่ที่เขาชนไก่ กาญจนบุรี นานหนึ่งสัปดาห์ ในเดือนที่อากาศร้อนที่สุด

    ผมเป็นสัตว์โลกสายพันธุ์ที่ไม่เล่นกีฬา ไม่ชอบชีวิตกลางแจ้ง ตัวผอมกะหร่อง ก็เรียน ร.ด. สามปีด้วยความทรมานพอสมควร

    ตอนที่ไปฝึกที่เขาชนไก่ มีการยิงปืนจริง ผมยิงอะไรไม่ถูกสักนัด ปลอกกระสุนกระเด็นหายไปหมด จนโดนครูฝึกด่า คงเบื่อหน้าเด็กคนนี้มาก ที่ไม่เอาไหนเลยในภาคสนาม

    ครั้นให้ไต่เชือกข้ามแม่น้ำ ก็ร่วงตกน้ำ ดื่มน้ำไปหลายอึก เกือบจมน้ำตาย

    ครูฝึกก็ชอบสนุก จะเฝ้ารอดูก่อนว่าเจ้านี่ว่ายน้ำเป็นไหม ถ้าเห็นว่าไม่เป็นแน่ๆ ค่อยช่วยมันขึ้นมา

    จัดเป็นนักศึกษาวิชาทหารเกรดต่ำสุด

    ถ้าไปรบจริง ก็คงโดนยิงตายในวันแรกนั่นแหละ

    โชคดีสอบผ่านมาได้ ไม่ต้องซ้ำชั้น

    นี่คือประสบการณ์ท่อนหนึ่งของการรับใช้ชาติ

    อีกประสบการณ์หนึ่งค่อนข้างแปลก นั่นคือประสบการณ์ของคนสองสัญชาติ

    ลูกชายผมเป็นคนสองสัญชาติ เขาเกิดที่สิงคโปร์ แต่พ่อเป็นคนไทย ดังนั้นตามกฎหมายก็ต้องเป็นทหารทั้งสองประเทศ ประเทศละสองปี ไม่มีทางเลี่ยง

    ต่อให้จะไม่เอาสัญชาติสิงคโปร์ ก็ต้องเป็นทหารก่อนไป!

    มันก็แปลกๆ เหมือนกันที่คนคนหนึ่งต้องรับใช้ทหารทั้งสองประเทศ นึกเล่นๆ ว่าถ้าสองประเทศนี้รบกัน จะทำยังไง

    แต่กฎหมายก็คือกฎหมาย

    อย่างไรก็ตาม ในวันคัดเลือกทหาร ลูกชายผมไม่ต้องจับใบดำใบแดง เพราะเข้าข่ายคนสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ เนื่องจากเป็นโรคเท้าปุก (clubfoot) ตั้งแต่เกิด เท้าสองข้างไม่เท่ากัน ข้างหนึ่งบิดเบี้ยว ต้องผ่านการผ่าตัดถึงสองครั้ง

    แต่ในสิงคโปร์ เท้าจะผิดรูปอย่างไร ก็ต้องเข้าค่ายทหารสองปี

    ก็เป็นอีกประสบการณ์ของการรับใช้ชาติ

    ตราบใดที่โลกยังมีสงคราม มีความขัดแย้ง ก็ยังต้องมีกองทัพ และตราบใดที่ยังต้องมีกองทัพ สำหรับประเทศเล็ก ก็ยังต้องมีทหารเกณฑ์ ไม่มีประโยชน์ที่จะสร้างวาทกรรมว่าทหารมีไว้ทำไม

    มันเป็นเช่นนี้เอง

    วินทร์ เลียววาริณ
    21-12-25

    0
    • 0 แชร์
    • 3
  • วินทร์ เลียววาริณ
    0 วันที่ผ่านมา

    ลงเรื่องเซนมานาน มาถึงบทนี้ หลายคนก็คงยังไม่รู้ว่าเซนคืออะไร

    บางคนมีความเห็นว่าพุทธดีกว่า

    ความจริงเซนก็แตกแขนงมาจากพุทธ

    เซน / Zen / 禪 (ฉาน) ถือกำเนิดที่เมืองจีน แต่สืบรากเหง้ามาจากพุทธศาสนา บุคคลแรกที่เป็นผู้สร้างสะพานเชื่อมพุทธศาสนากับเซนก็คือพระโพธิธรรม ผู้เดินทางจากอินเดียไปเมืองจีนในราว ค.ศ. 520

    ชื่อจีนของพระโพธิธรรมก็คือ ตั๊กม้อ เจ้าสำนักวัดเส้าหลินอันเลื่องลือ หลายร้อยปีต่อมา ลัทธิฉานก็เข้าสู่ญี่ปุ่น ออกเสียงตามสำเนียงญี่ปุ่นว่า เซน แตกออกเป็นสาขาย่อย เช่น รินไซ เซน (Rinzai Zen) โซโต เซน (Soto Zen) เป็นต้น

    แต่ไม่ว่าเป็นสายใด หัวใจของมันก็ไม่ได้ต่างกัน เน้นการใช้สมาธิและเข้าถึงธรรมด้วยปัญญา

    ท่านพุทธทาสภิกขุบอกว่า เราต้องเข้าใจก่อนว่า เซนไม่มีรูปธรรม เช่น คำว่าพระโพธิสัตว์ไม่ได้หมายถึงคน แต่หมายถึงคุณธรรมอย่างหนึ่ง เช่น พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหมายถึงความเมตตากรุณา พระโพธิสัตว์มัญชุศรีหมายถึงกฎแห่งเหตุผลที่ว่าสัตว์เป็นพุทธะอยู่แล้ว เป็นต้น

    ถ้าไม่ใช่ทั้งเถรวาทและมหายาน ควรเรียกเซนว่าอะไร พุทธทาสภิกขุบอกว่า "ไม่ควรจะเรียกว่าอะไรนอกจาก 'เซน' ตามสำเนียงญี่ปุ่น หรือ 'ฌาน' ตามสำเนียงจีน หรือ 'ธยาน' ตามสำเนียงสันสกฤต เป็นต้น หรือถ้าจะถือตามหลักของอาจารย์ฮวงโปแล้ว ก็ควรจะถือว่า 'มันว่างเสียจนไม่มีชื่อที่จะเรียกว่าอะไรเสียมากกว่า' มันคือ'ว่างจากความว่าง' อีกต่อหนึ่ง"

    แม้เซนจะเป็นเรื่องของความว่าง แต่ ดี. ที. ซูซุกิ เขียนว่า เซนกลับไม่ใช่สุญนิยม (Nihilism) ซึ่งเป็นความเชื่อว่าตัวตนไม่มีความหมายหรือจุดประสงค์ที่แน่นอน

    ทว่าเพื่อประโยชน์ของการศึกษาเรื่องเซน เราอาจกล่าวได้ว่า เซนก็คือวิวิฒนาการสายหนึ่งของศาสนา เพราะศาสนานั้นเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการได้ ผ่านกาลเวลา ภูมิศาสตร์ และวัฒนธรรม และในกรณีนี้หากไม่มีพุทธศาสนาและลัทธิเต๋า โลกก็ไม่มีเซนแน่นอน และในมุมแคบลง หากโลกนี้ไม่มีเซน ก็คงไม่มีญี่ปุ่นเช่นที่เป็นอยู่ในวันนี้


    นักปรัชญาอังกฤษ อลัน วัตต์ส เขียนว่า การเข้าใจเซนต้องมองออกจากวิธีคิดตรรกะแบบเดิม ความรู้แบบตะวันตกนั้นได้มาจากการคิดแบบตรรกะ เหตุผล การสอนเป็นระบบ การชำแหละทุกอย่างออกมาเป็นระบบ เป็นความรู้แบบมาตรฐานดั้งเดิม (conventional knowledge)

    ยกตัวอย่างเช่น เราใช้ตัวโน้ตดนตรีแทนค่าเสียง ใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์แทนค่าคณิตศาสตร์บางโมเดล ทุกอย่างเป็นภาษาเป็นระบบไปหมด ระบบการศึกษาจึงสอนให้เด็กคิดตามกรอบที่ถูกสร้างไปโดยปริยาย เพื่อให้อยู่รอดในระบบที่เราสร้างขึ้นมาใช้นี้ได้

    ระบบภาษาจะบอกว่า เมื่อใช้คำว่า ต้นไม้ มันหมายถึงสิ่งมีชีวิตแบบนี้ เมื่อใช้คำว่า ปลาช่อน มันคือสัตว์แบบนั้น ระบบยังเป็นตัวกำหนดว่าปลาไหลจัดเป็นปลาหรือสัตว์เลื้อยคลาน ทุกเรื่องมีกฎเกณฑ์กติกาของมันมากมายไปหมด

    นอกจากระบบภาษาแล้ว ยังมีระบบอื่น ๆ ที่เราสร้างขึ้นมา เรามีกฎเกณฑ์กติกา จารีต ประเพณี มารยาท กฎหมาย ไปจนถึงบทบาทของมนุษย์แต่ละคน เราแบ่งแยกอย่างชัดเจนว่า เราเป็นพ่อหรือแม่หรือลูก หรือช่างประปา หรือนักธุรกิจ เมื่อแบ่งแยกแล้ว เราก็รับเอากฎเกณฑ์ค่านิยมเกี่ยวกับบทบาทหรือสถานะนั้น ๆ มาปะไว้บนหน้าผากของเรา

    ทว่าเซนไม่มีกติกาใด ๆ มาเป็นกรอบ ตรงกันข้าม มันก้าวไปกว่ากรอบทางศาสนาและความเชื่อใด ๆ ที่มนุษยชาติเคยรู้จัก

    การจะเข้าใจเซนต้องหลุดออกไปจากกรอบความคิดทวินิยมก่อน อาจต้องเปลี่ยนมุมมอง ไม่เช่นนั้นก็เช่นการสื่อสารกันคนละคลื่นความถี่

    ยกตัวอย่างเช่น โลกตะวันตกมองว่าต้นไม้ประกอบด้วยราก ลำต้น กิ่ง ใบ ดอก ผล ส่วนเซนมองว่า ไม่มีต้นไม้ ต้นไม้เป็นเพียงมายาของความคิด! พูดอีกอย่างก็คือ โลกตะวันตกมักมองทุกอย่างเป็นขาวกับดำ มองว่าสิ่งนี้เป็นความจริง สิ่งนั้นเป็นความเท็จ ทว่าในมุมมองของเซน ความจริง (truth) อาจไม่มีตัวตนดำรงอยู่ ความจริงเป็นเพียงความสัมพัทธ์ของมุมมองเท่านั้น!

    อีกตัวอย่างหนึ่งคือความจริงที่ว่าไฟคือความร้อน นี่เป็น 'ความจริง' ในมุมมองของคนทั่วไป แต่ 'ความร้อน' นี้เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์ 'รับรู้' ผ่านประสาทสัมผัสของเราที่เชื่อมกับสมอง

    ในมุมมองของแมงเม่า มันก็อาจมองต่างจากเรา เช่นกันขณะที่เราเห็นดอกไม้เป็นสีแดง ผึ้งกลับมองเห็นเป็นสีดำ! ฉะนั้น 'ความจริง' ว่าดอกไม้มีสีแดงจึงเป็นเพียงมายาของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนเท่านั้น

    ............................

    วินทร์ เลียววาริณ
    21-12-25

    จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
    มังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=6 

    สั่งจากเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/213/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%202%20%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1%202 

    Mini Zen Shopee https://shopee.co.th/วินทร์-เลียววาริณ-ชุด-Mini-Zen-และ-Mini-Tao-ราคาปก-430.-พิเศษ-350.-พร้อมลายเซ็นนักเขียน- 

    0
    • 0 แชร์
    • 5
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    ช่วงนี้ - หลังยุบสภา ข้าพเจ้าได้ยินคำพูดของอดีต ส.ส. บางประโยคบ่อยๆ

    "ผมถูกกลั่นแกล้ง"

    "มีคนใส่ร้ายว่าผมใช้เอกสารปลอม"

    "มันไม่ยุติธรรม"

    "มีคนเล่นงานผม"

    "นี่กะจะให้ผมตายไปเลย"

    ฯลฯ

    แปลกนะ ข้าพเจ้ารู้สึกเข้าใจหัวอกของคนพูด มันเป็นความรู้สึกเดียวกับส่วนลึกในใจข้าพเจ้า

    ตอนเย็นข้าพเจ้ากลับถึงบ้าน ได้ยินเสียงภรรยาถาม น้ำเสียงไม่นุ่มนวลเหมือนวันเงินเดือนออก "ไปไหนมา?"

    "ไปกินเบียร์นิดหน่อย"

    "ยังไม่ได้ซักผ้าแล้วไปกินเบียร์หรือ?"

    ข้าพเจ้าเอ่ยคำพูดของอดีต ส.ส. คนนั้น "ผมถูกกลั่นแกล้ง"

    ภรรยาร้องว่า "อะไรนะ?"

    "มันไม่ยุติธรรม"

    "พูดใหม่ซิ"

    "มีคนเล่นงานผม นี่กะจะให้ผมตายไปเลย

    คราวนี้ภรรยาเดินมาหาข้าพเจ้า "คุณว่าอะไร?"

    "มีคนใส่ร้ายว่าผมใช้เอกสารปลอม"

    "คุณจะถูกกลั่นแกล้งว่าใช้เอกสารปลอมได้ยังไง ใบทะเบียนสมรสเป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอม ฉันก็ให้คุณพักระหว่างการซักเสมอ ไม่ได้ใช้งานจนตาย แล้วคุณจะบอกว่าไม่ยุติธรรมได้ยังไง ฉันให้เงินคุณ 50 บาทหลังซักผ้าทุกครั้ง"

    "จริงจ้ะ ผงซักฟอกอยู่ที่ไหนจ๊ะ?"

    วินทร์ เลียววาริณ
    20-12-25

    1
    • 0 แชร์
    • 22
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    เคยได้ยินประโยคนี้ไหมครับ? "ที่บ้านให้อภัยหมดแล้ว"

    สมัยผมเป็นเด็ก ประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์ที่เห็นบ่อยคือประโยค “ที่บ้านให้อภัยหมดแล้ว”

    เช่น นางสาวกบ กลับบ้านเถอะ ที่บ้านให้อภัยหมดแล้ว

    ประโยคนี้ประโยคเดียวบอกเล่าเรื่องราวหลายอย่าง

    มันเล่าว่ามีการทะเลาะกันในครอบครัว ลงท้ายด้วยการให้อภัย การยอมกัน การง้อทางหน้าหนังสือพิมพ์

    “ที่บ้านให้อภัยหมดแล้ว” มีความหมายว่ายังมีความรัก ความผูกพันระหว่างคน ระหว่างสมาชิกในครอบครัว

    อ่านบทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์ https://www.blockdit.com/posts/692d655d8535799bb4b2358a 

    1
    • 0 แชร์
    • 24
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    ช่วงหลังนี้ข่าวความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เริ่มมีสื่อตะวันตกพูดถึงศูนย์สแกมเมอร์ในเขมรโดยไม่อ้อมแอ้ม

    หลายคนเรียกมันว่า Scambodia

    BBC (ที่ปกติไม่ค่อยเขียนอะไรดีๆ เกี่ยวกับไทย) วันนี้ลงบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อความท่อนหนึ่งว่า

    "The association of the Cambodian leadership with the scam industry is a weak point in the country's battle for international sympathy."

    (ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำเขมรกับขบวนการต้มตุ๋นเป็นจุดอ่อนของประเทศกัมพูชาที่จะเรียกความสงสารจากนานาชาติ)

    "The Cambodian government says it is now taking action against scam centres, but their proliferation in the country in recent years, and their link to a number of very powerful, politically-connected Cambodian figures, raises doubts about how sincere that action is."

    แปลคร่าวๆ ว่า รัฐบาลกัมพูชาบอกว่ากำลังปราบพวกศูนย์สแกม แต่การเพิ่มจำนวนของมันในเขมรในหลายปีนี้ และการที่ศูนย์สแกมเชื่อมกับอำนาจทางการเมืองกัมพูชา ทำให้คนสงสัยความจริงใจในการปราบ

    เท่ากับยอมรับว่า ผู้มีอำนาจในกัมพูชาเกี่ยวข้องกับขบวนการต้มตุ๋นที่โกงเงินคนข้ามชาติ

    เสียงต่อต้านว่าไทยทำเกินกว่าเหตุเริ่มแผ่วลง

    ล่าสุดจีนส่งจอมยุทธ์ หลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน มาเยือนไทย พร้อมคณะผู้แทนจากกรมสอบสวนคดีอาญา กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กองสอบสวนอาชญากรรมโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ต กระทรวงความมั่นคงสาธารณรัฐประชาชนจีน

    นี่แปลได้อย่างเดียวว่าจีนก็ยอมรับว่า ผู้มีอำนาจในกัมพูชามีส่วนร่วมกับขบวนการสแกมเมอร์

    ดังนั้นการที่กองทัพไทยถล่มรังสแกมเมอร์ นานาชาติจึงไม่ได้ออกตัวมาด่าไทยตามธรรมเนียมปฏิบัติ

    หากไทยถล่มแก๊งต้มตุ๋นได้อย่างเป็นรูปธรรมจริง น่าจะได้คะแนนบวกจากชาวโลก

    นาทีนี้อังเคิลน่าจะปวดหัว คงกำลังคิดว่า "This gu do what down go."

    ก็บอกแล้วว่า You know Thailand little go.

    วินทร์ เลียววาริณ
    19-12-25

    1
    • 0 แชร์
    • 30