-
วินทร์ เลียววาริณ0 วันที่ผ่านมา
ก่อนไปคุยเรื่องจีนจะครองโลกหรือไม่ ขอเสริมเรื่องนานกิงก่อน จะได้ต่อเนื่องกัน
สิ่งเลวร้ายที่ทหารญี่ปุ่นกระทำที่นานกิง ไม่ใช่มีแต่คนจีนที่รับไม่ได้ ทหารญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งก็รับไม่ได้
ทหารหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ฮิโรชิ ยามะซากิ เป็นหนึ่งในทหารญี่ปุ่นหนึ่งหมื่นห้าพันคนที่ข้ามทะเลมายึดเมืองจีน
เขาเป็นสัตวแพทย์ ทำงานในหน่วยเสนารักษ์ กองพลที่ 10 ดูแลสัตว์สงคราม
เวลานั้นกองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์ชายฉกรรจ์จากทุกบ้าน บ้านละคน ฮิโรชิเป็นลูกชายคนเล็ก ยังเป็นโสด จึงเข้าร่วมกองทัพเพื่อให้พี่ชายที่มีครอบครัวไม่ต้องไปรบ
กองทัพญี่ปุ่นเข้าล้อมกรุงปักกิ่งและเทียนจิน ที่ปักกิ่ง ฮิโรชิอยู่ในเหตุการณ์ที่หลูโกวเฉียวหรือสะพานมาร์โค โปโล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามจีน-ญีปุ่นที่กินเวลาแปดปี
ฮิโรชิถูกส่งไปประจำการที่เทียนจิน ตลอดหกเดือนนั้นเขาพบความโหดเหี้ยมของทหารฝ่ายตน เขาเริ่มคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ที่นั่น
ปลายปีนั้นกองพลที่ 10 เคลื่อนกำลังไปที่เมืองนานกิง นายทหารชั้นสูงอนุญาตให้เหล่าทหารฆ่า ปล้น และข่มขืนผู้หญิงจีนได้ตามใจชอบ พลเรือนชาวจีนที่นานกิงจำนวนสามแสนคนถูกฆ่าหมู่ ปล้นสะดม และถูกข่มขืน ฮิโรชิไม่เคยคาดคิดว่ามโนธรรมของทหารแต่ละคนจะขาดวิ่นได้ถึงเพียงนี้
เขาเรียนรู้ว่าสงครามเป็นเรื่องไร้สาระ สงครามไม่เคยมีเกียรติและศักดิ์ศรี เพราะเกียรติยศและชาตินิยมจะมีค่าอะไรหากต้องพรากชีวิตผู้อื่น และทำให้คนอื่นบ้านแตกสาแหรกขาด
ฮิโรชิรู้แล้วว่าเขาเกลียดสงคราม และทนไม่ได้ที่เพื่อนทหารทำต่อคนจีนอย่างไร้มนุษยธรรม
วันหนึ่งเขาเห็นเพื่อนทหารในหน่วยบีบคอเด็กทารกคนหนึ่ง เขาพยายามช่วยชีวิตเหยื่อ แต่ไม่สำเร็จ ทารกคนนั้นเสียชีวิต
คืนนั้นฮิโรชิก็หนีออกจากค่ายทหาร ก้าวข้ามเส้นพรมแดนแห่งความรู้ผิดชอบชั่วดี หนีจากอสูรร้ายคืนสู่ความเป็นมนุษย์เขามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก สู่คาบสมุทรซานตงซึ่งใกล้ญี่ปุ่นที่สุด ตั้งใจจะหาทางข้ามทะเลกลับบ้าน
เขาเดินทางหลายวัน จนในที่สุดก็หมดแรงล้มลง หากไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ เขาจะตายเพราะขาดอาหาร
ชาวบ้านชาวจีนสูงอายุครอบครัวหนึ่งช่วยชีวิตเขา ให้อาหารเขากิน มอบเสื้อผ้าเก่า ๆ และเสบียงพอประทังชีวิตระหว่างเดินทางต่อ
เขารู้สึกแปลกใจที่ชาวจีนช่วยเหลือเขาทั้งที่รู้ว่าเขาเป็นทหารญี่ปุ่นที่ทำร้ายชาวจีนอย่างแสนสาหัส เขาไม่อยากเชื่อว่าโลกยังมีคนที่ตอบแทนศัตรูด้วยความดี เขาโค้งคำนับชาวบ้านผู้อารี แล้วจากไปทั้งน้ำตา
ภาพทหารญี่ปุ่นทำเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ ในเมืองจีน และภาพคนจีนใจอารีช่วยชีวิตเขา ขัดแย้งกันอยู่ภายในใจเขาตลอดชีวิต
ด้วยความช่วยเหลือของชาวบ้านตลอดทาง เขาเดินทางไปถึงจีหนาน เมืองหลวงของซานตง
ความช่วยเหลือของศัตรูทำให้เขาลังเลที่จะกลับบ้านเกิด เขาใช้ชื่อปลอมและหางานทำ ได้งานเป็นคนเฝ้าโกดังก่อสร้างทางรถไฟของญี่ปุ่น ผู้จัดการโครงการเป็นคนญี่ปุ่น
ด้วยมโนธรรม เขาช่วยคนงานชาวจีนที่อดอยากขโมยของในคลัง ในที่สุดก็ถูกจับได้ เขาถูกทุบตีอย่างหนัก แต่ก็ไม่ยอมเผยชื่อของคนงานเหล่านั้น การกระทำของเขาทำให้คนจีนรู้สึกว่าชายญี่ปุ่นผู้นี้ต่างจากคนญี่ปุ่นอื่น ๆ
ฮิโรชิผ่านชีวิตหลายปีต่อมาบนแผ่นดินศัตรูจนสงครามสิ้นสุด เขามีโอกาสกลับบ้าน แต่เขาเลือกไม่หวนกลับไป เขาเลือกที่จะไม่ถือสัญชาติญี่ปุ่นอีก
ความรักชาติพาเขามาถึงประเทศนี้ ความรักชาติอีกเช่นกันทำให้เขาอยู่ต่อ
เขาจะอยู่ต่อเพื่อลบล้างบาปของชนชาติเขา
เขาใช้ชื่อหมอซาน แล้วเริ่มรักษาคนป่วย นี่คือหนทางล้างบาปของเขา
เขาอาศัยอยู่ที่จีหนานนานต่อมาอีกเจ็ดสิบปี ใช้ชีวิตที่เหลือช่วยเหลือชาวจีน ทำงานในศูนย์แพทย์จีหนานและโรงพยาบาลชุมชน เขาเปิดคลินิกรักษาคนป่วย ส่วนมากไม่คิดค่ารักษา
เขาผ่านช่วงเวลาความผันผวนทางการเมืองในจีน การรบกันระหว่างฝ่ายก๊กมินตั๋งกับคอมมิวนิสต์ จนเมื่อเหมาเจ๋อตงยึดเมืองจีนสำเร็จ เปลี่ยนประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ เขาก็ยังอยู่ต่อไป เพราะไม่ว่าใครชนะ ชาวบ้านก็เดือดร้อนเหมือนกัน สงครามไม่ว่าจะก่อกับชาติศัตรูหรือชาติเดียวกัน สร้างผลลัพธ์เดียวกัน
เขาแต่งงานกับหญิงสาวชาวจีน และมีครอบครัว เขาไม่เคยเล่าอดีตของเขาให้ลูกฟัง จนนานปีหลังจากนั้น ลูกพบความจริงโดยบังเอิญ
หลังจากประเทศจีนกับญี่ปุ่นปรับความสัมพันธ์ทางการทูตใหม่ในช่วงทศวรรษ 70 เขาเดินทางกลับญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสี่สิบปี แต่เขาก็ไม่ปักหลักที่บ้านเกิด เขาหวนกลับเมืองจีนเพื่อทำงานของเขาต่อไป
การล้างบาปยังไม่จบ
คลินิกเล็ก ๆ ของเขามีคนไข้วันละ 20-30 คน สังขารที่ร่วงโรยทำให้งานตรวจคนไข้ลดลงเหลือวันละสามชั่วโมง สัปดาห์ละหกวัน เขาตรวจอาการคนไข้ทีละคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส คนไข้หลายคนเป็นเด็ก หมอซานก็สั่งให้เด็กอ้าปาก ดูคอ สั่งจ่ายยา เหมือนคุณทวดใจดี
เขาเป็นทหารที่เรียนรู้ว่าคุณค่าของการเป็นทหารมิได้อยู่ที่การใช้อาวุธพรากชีวิต แต่อยู่ที่รู้จักวางอาวุธเพื่อรักษาชีวิต
และเขาก็เรียนรู้ว่าเครื่องมือรักษาสันติภาพของโลกมิใช่สงคราม แต่คือสันติภาพ
ความเมตตาไม่มีเส้นสมมุติ หัวใจมนุษย์ไม่มีเส้นพรมแดน
หมอซานทำงานจนวาระสุดท้ายของชีวิต เขาตายอย่างสงบในเมืองจีนเมื่อปี 2010 อายุ 103 ปี
เพราะโลกนี้ยังมีคนที่รู้จักแยกผิดแยกถูก ท้องฟ้าจึงยังไม่หมองหม่นเกินไปนัก
และเพราะโลกนี้ยังมีคนที่กล้าสลัดชาตินิยมที่เกาะกินวิญญาณ แล้วกระทำสิ่งดี ๆ เพื่อเพื่อนมนุษย์ เราจึงยังพอเห็นแสงดาวชำแรกฟ้ายามมืดมิด
.....................
หมายเหตุ เรื่องของ ฮิโรชิ ยามะซากิ (山崎宏) เผยแพร่ในวงแคบมาก ทำให้ยากจะตรวจสอบว่าส่วนใดเป็นเรื่องจริง ส่วนใดเป็นตำนานเสริมแต่ง บทความนี้เขียนอิงข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ China Daily July 7, 2009 และหนังสือ Japanese War Orphans in Manchuria: Forgotten Victims of World War II โดย Mayumi Itohวินทร์ เลียววาริณ
24-11-25อ่านฉบับเต็มได้จากหนังสือ วีรบุรุษที่เราลืม เล่มนี้รวมเรื่องราวชีวิตของคนดีหลายคนที่ช่วยโลก เช่น นิโคลาส วินตัน, ออสการ์ ชินด์เลอร์ ฯลฯ
เล่มนี้แจกฟรีเมื่อซื้อชุดสารคดี ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม 1-5 (5 เล่ม)
เหมาะสำหรับเก็บประจำบ้าน ให้ลูกหลานประกอบการเรียน
1,000 บาท จากราคาปก 1,605.-
แต่ละเล่มหนา 256 หน้า (รวม 1,536 หน้า)
รวม 6 เล่ม 118 เรื่อง = เรื่องละ 8.4 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
ทุกเล่มมีลายเซ็นนักเขียน เหมาะเป็นของขวัญ
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วสั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
0- แชร์
- 11
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
หากเปรียบชีวิตในแต่ละวันเป็นลูกเต๋า หมายเลข 1 คือ สุขระดับต่ำสุด หมายเลข 6 คือความสุขระดับสูงสุด
โอกาสที่จะทอดให้ได้ 'สุขสูงสุด' ในหนึ่งวันมีเพียงหนึ่งในหก
โอกาสที่จะทอดได้หมายเลข 6 ทุกวันเป็นเวลาเต็มหนึ่งปีต่ำกว่านั้นมาก และต่ำลงไปอีกหากคาดหวังว่าจะสุขทุกวันที่เหลือในชีวิต
'วันดี' ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน
อย่าว่าแต่ระดับ 'วันดี' ของแต่ละคนไม่เท่ากัน
'วันไม่ดี' ของแต่ละคนไม่เท่ากัน
'วันไม่ดี' ของบางคนเกิดขึ้นนาน ๆ ครั้ง ของบางคนเกิดขึ้นแทบทุกวัน แล้วพาลระบายความอึดอัดออกไปให้ผู้อื่น พลอยทำให้วันดีของคนอื่นกลายเป็น 'วันไม่ดี' ไปด้วย
ชีวิตในแต่ละวันไม่เหมือนกัน และนี่คือเสน่ห์ของการใช้ชีวิต คือสุขปนทุกข์
ปราชญ์กรีก โซเครติส เคยกล่าวไว้ (ซึ่งตรงกับหลักของพุทธ) ว่า "จำไว้เถิดว่าเรื่องของมนุษย์นั้นไม่มีอะไรที่แน่นอน ดังนั้นเลี่ยงความสุขอันไม่จำเป็นเมื่อรุ่งเรือง หรือความหดหู่หม่นหมองโดยไม่จำเป็นในห้วงยามของความยากลำบาก"
เวลาสุขอย่าลืมทุกข์ เวลาทุกข์อย่าลืมสุข
ใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ วันนั้นก็จัดว่าเป็นวันที่ดี
สวัสดีวันจันทร์ มันเดย์ รักษาความสุขไว้ครับ แต่ถ้าทุกข์ ก็ปล่อยวาง
วินทร์ เลียววาริณ
24-11-25
ท่อนหนึ่งจาก เบื้องบนยังมีแสงดาว
หนังสือเสริมกำลังใจ 165 บาท 44 บทความ เรื่องละ 3.75 บาท
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/84/เบื้องบนยังมีแสงดาว
1- แชร์
- 16
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ไม่น่าจะคุยเรื่องเครียดๆ แต่อ่านความเห็นของผู้คนจำนวนมากเหตุการณ์ความร้าวฉานจีน-ญี่ปุ่น ส่วนมากวนอยู่ในประเด็นนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป บ้างว่าดี จะได้ไปเที่ยว บ้างว่าไม่ดี เหล่านี้เป็นแค่ปลายเหตุ (effect) เป็นรายละเอียดปลีกย่อย
จะเข้าใจเรื่องนี้จริงๆ ต้องดูที่โครงสร้างหลักของปัญหา (cause) แต่จะทำอย่างนั้นได้ ต้องเข้าสู่พื้นที่ประวัติศาสตร์
เมื่อวานซืน ครม. ญี่ปุ่นอนุมัติแผนกระตุ้นเศรษฐกิจและการทหารเป็นเงิน 135 พันล้านดอลลาร์ เฉพาะงบป้องกันประเทศก็เท่ากับ 2% ของ GDP (เทียบกับสหรัฐฯ ใช้งบทหาร 3.4% ของ GDP จีนใช้ประมาณ 1.5%)
แสดงว่านายกฯญี่ปุ่นยืนยันตามที่พูด ไม่ถอยเรื่องการทหารแน่ และชาวญี่ปุ่นก็สนับสนุน
คำถามเราควรตั้งคือ "ทำไม"
การลดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้าญี่ปุ่นเป็นแค่ออร์เดิร์ฟ การจัดหนักจะตามมา เพราะจีนจะใช้โอกาสนี้ส่งสัญญาณไปทั่วโลกว่า อย่าล้ำเส้นเรื่องไต้หวัน
จะให้คนอื่นเชื่อ ก็ต้องจัดหนัก
หลายคนอาจบอกว่า มนุษย์ทุกคนย่อมมีสิทธิเลือกระบอบการปกครองได้ ชาวไต้หวันก็ควรมีสิทธิเช่นกัน นี่ขึ้นกับมุมมองซึ่งผูกกับประวัติศาสตร์
ในมุมมองของจีน ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนยิ่งเสียกว่ารัฐฮาวาย เท็กซัส แคลิฟอร์เนีย นิว เม็กซิโก เป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ยังไม่ต้องย้อนไปถึงยุคอินเดียนแดงว่าอเมริกันยึดครองทั้งแผ่นดินมาอย่างไร
สมมุติว่าบ่ายวันนี้รัฐฮาวายขอประกาศอิสรภาพ เพราะถือว่ามีสิทธิ์ (และจริงๆ ก็มีสิทธิ์ เพราะสหรัฐฯได้ฮาวายมาจากการก่อรัฐประหารยึดอำนาจด้วยกำลังทหาร แล้วผนวกเป็นรัฐที่ 50) วอชิงตันคงส่งกำลังทหารไปปราบไม่เกินพระอาทิตย์ตกดิน
จีนเป็นชาติที่ไม่ลืมประวัติศาสตร์ คนจีนอาจยอมชาติอื่นๆ ในหลายเรื่อง แต่ไม่มีวันลืมว่าพวกตะวันตกกระทำชำเราประเทศตนอย่างไรในช่วงปี 1839-1949 จีนเรียกหนึ่งร้อยปีที่จีนถูกกระทำชำเราว่า หนึ่งศตวรรษแห่งความอัปยศ (The Century of Humiliation)
จีนถูกอังกฤษยึดเมืองต่างๆ รวมทั้งฮ่องกง และต่อมาเมื่อเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างเจียงไคเช็กกับเหมาเจ๋อตง หรือระหว่างก๊กมินตั๋งกับคอมมิวนิสต์ เจียงไคเช็กแพ้ ถอยไปตั้งปราการสุดท้ายที่ไต้หวัน จีนคอมมิวนิสต์ตัดสินไม่ตามไปเผด็จศึกให้จบ ทำให้เป็นปัญหาคาราคาซังจนถึงวันนี้ สำหรับจีน สงครามกลางเมืองยังไม่จบ
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา จีนยังปล่อยไต้หวันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อรักษา status quo (สภาวะเดิม) ไว้ ตราบที่ไต้หวันอยู่เฉยๆ ไม่เต้นไปตามแรงเชียร์ของฝ่ายตะวันตก เพราะจีนต้องการยึดไต้หวันแบบสันติ ไม่ต้องการฆ่าจีนด้วยกัน
แต่วันใดที่ไต้หวันประกาศอิสรภาพ วันนั้นจะเกิดสงครามแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ต่อให้รู้ว่าจะเกิดสงครามโลก ก็จะทำ เพราะจีนไม่มีทางยอมรับความอัปยศอีกรอบ
ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง
ความเห็นของอดีตผู้นำสิงคโปร์ ลีกวนยูในเรื่องนี้คือ ผู้นำจีนคนใดทำให้ไต้หวันหลุด จะหลุดจากตำแหน่งไปด้วย ดังนั้นจีนจะไม่มีวันยอมเรื่องนี้ จะรบกี่รอบก็รบ
ชาติใดไม่เข้าใจเรื่องนี้ แสดงว่าไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์จีนเลย
ล่าสุดก็คือญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเองก็เคยถูกชาติตะวันตกบีบเหมือนกัน แต่รอดจากลัทธิล่าอาณานิคม ญี่ปุ่นพัฒนาประเทศทันท่วงที เป็นประเทศแรกในเอเชียที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมสำเร็จ กลายเป็นประเทศพัฒนา และใช้ลัทธิทหารนำ
แต่ขณะที่จีนถูกชาติตะวันตกกินโต๊ะในหนึ่งศตวรรษแห่งความอัปยศ ในปี 1894 ญี่ปุ่นก็ผสมโรงบุกจีนบ้าง ทูตจีนถามทูตญี่ปุ่นว่า "พวกคุณบุกเราทำไม? เราเป็นเอเชียเหมือนกัน" ทูตญี่ปุ่นตอบว่า "อ๋อ! ตอนนี้เราเข้าเป็นสมาชิกคลับชาติตะวันตกแล้วละ" แล้วก็ยึดครองไต้หวันในปี 1895 ตามมาด้วยที่อื่นๆ
ในสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นฆ่าคนจีนไปราว 10 ล้านคน เฉพาะที่นานกิง ทหารญี่ปุ่นฆ่าคนจีนไปสามแสนคน ข่มขืนผู้หญิงจำนวนมหาศาล มีการแข่งขันกันว่าใครฆ่าคนจีนได้มากกว่า บางวันทหารญี่ปุ่นข่มขืนเด็กนักเรียนหญิงในโรงเรียนมิชชันนารีแห่งหนึ่งรวดเดียวพันกว่าคน มีการประเมินว่าทหารญี่ปุ่นน่าจะข่มขืนผู้หญิงจีนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน
ไม่มีทางที่จีนจะลืมเรื่องนี้
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นเสนอจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามและค่าความเสียหายต่างๆ ที่กระทำต่อจีน แต่ผู้นำจีนโจวเอินไหลปฏิเสธ ให้เหตุผลว่า ทั้งคนจีนและคนญี่ปุ่นต่างก็บาดเจ็บเพราะลัทธิทหารของญี่ปุ่น (Japanese Militarism 日本軍国主義) เหมือนกัน
นี่ทำให้ความสัมพันธ์ของสองชาติค่อยดีขึ้น พออยู่กันได้
แต่เมื่อนายกฯสายเหยี่ยวคนใหม่ของญี่ปุ่น พูดเรื่องรื้อฟื้นสิ่งที่ดูเหมือนลัทธิทหารขึ้นมาใหม่ เพื่อเตรียมรับเหตุจีนบุกไต้หวัน ก็เท่ากับจุดประกายให้คนจีนนึกถึงปิศาจแห่งสงครามที่เคยทำร้ายจีนอย่างแสนสาหัสมาก่อน ในมุมมองของคนจีนที่ผ่านประวัติศาสตร์เลวร้ายและถูกกระทำมากว่าร้อยปี มันล้ำเส้นเกินรับได้
ลีกวนยูเคยเขียนว่า การรวมชาติของจีนกับไต้หวันจะเกิดขึ้นแน่ แค่รอเวลาเท่านั้น ไม่มีประเทศไหนสามารถหยุดมันได้
เขาบอกว่าสหรัฐฯจะไม่ทำสงครามกับจีนเรื่องไต้หวัน เพราะมันไม่คุ้ม อเมริกาอาจรบชนะในรอบแรก แต่จะรบไปอีกสักกี่รอบ? เพราะจีนยอมเทหมดหน้าตัก แต่สหรัฐฯจะไม่ยอมแน่
เพราะสหรัฐฯไม่ได้แคร์อะแดมน์กับประชาธิปไตยของไต้หวันหรอก ไม่เช่นนั้นนิกสันจะไม่มีทางเซ็นสัญญา 'จีนเดียว' กับเหมาเจ๋อตง แต่ในรอบสิบกว่าปีนี้ สหรัฐฯต้องการใช้ไต้หวันเป็นหมากล้อมจีนต่างหาก เพราะจีนโตเร็วเกินไป
สหรัฐฯไม่ต้องการโลก multipolar สหรัฐฯต้องการเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว
สหรัฐฯสร้างภาพว่าคอมมิวนิสต์คือปิศาจมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ได้ยินคำนี้ก็ผวา ดังนั้นเวลามีข่าวคอมมิวนิสต์ประหารชีวิตคน จะร้ายแรงกว่าฝ่ายประชาธิปไตยประหารชีวิตคน
แต่เรื่องคอมมิวนิสต์ช่วยคนจีนหลายร้อยล้านคนข้ามพ้นความยากจน กลับไม่เป็นข่าว
อย่างไรก็ตามสหรัฐฯก็ยังระวัง แค่ยุไต้หวันให้ต้านจีน ยังไม่ถึงขั้นไปตั้งฐานทัพที่ไต้หวัน เพราะถ้าวันนั้นมาถึง จีนก็อาจขอไปตั้งฐานทัพที่คิวบาบ้าง และสงครามโลกครั้งที่สามก็คงเลี่ยงไม่พ้น
นี่ก็คือสิ่งที่ทุกชาติกระทำ เมื่อถูกข้ามเส้นมากเกินไป
ตัวอย่างที่ใกล้ที่สุดคือสงครามยูเครน เมื่อ NATO ชวนยูเครนเข้าร่วม เพื่อขยายอำนาจไปประชิดชายแดนรัสเซีย รัสเซียก็ไม่รีรอบุกยูเครนทันที
นี่ก็เป็นเหตุผลเดียวกับกรณีพิพาทเรื่องหมู่เกาะคูริลระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นซึ่งกินเวลานานหลายสิบปียังไม่สรุป รัสเซียไม่ยอมคืนเกาะให้ญี่ปุ่น เพราะกลัวว่าวันหนึ่งญี่ปุ่นบ้าจี้ ให้อเมริกาไปสร้างฐานทัพที่นั่น จ่อคอหอยรัสเซีย
ทุกเรื่องมีเส้นที่ล้ำไม่ได้ขวางอยู่
ดังนั้นชาติไหนที่บ้าจี้ตามก้นสหรัฐฯต้อยๆ ในนโยบายไต้หวัน ก็ควรคิดให้รอบคอบ เพราะจีนมีพลังทางเศรษฐกิจมากพอส่งผลกระทบทุกชาติในโลก ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
และสมมุติว่าเกิดเรื่องลงไม้ลงมือกัน อย่าคาดหวังว่าสหรัฐฯจะช่วย ถึงเวลานั้นก็ตัวใครตัวมัน ตัวอย่างที่เห็นๆ ก็คือสงครามเวียดนาม อัฟกานิสถาน
ดังนั้นใครที่ออกตัวแรงเอาใจลูกพี่ ก็พึงระวัง เพราะวันหนึ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นมา พบว่าตนเองรบอยู่คนเดียวบนแผ่นดินที่แตกสลาย ไม่เชื่อถามเซเลนสกีดูว่าดื่มน้ำใบบัวบกวันละกี่แก้ว
อ่าน geopolitics ในภาพรวม ก็จะเห็นว่า ยูเครนเป็นหมากของตะวันตกที่ใช้เล่นงานรัสเซีย ไต้หวันก็เป็นหมากที่ใช้เล่นงานจีน ญี่ปุ่นต้องระวังไม่ให้ตัวเองกลายเป็นหมากอีกตัวหนึ่ง
การเมืองโลกต้องเดินหมากด้วยความระวัง ผู้นำต้องรู้จักศิลปะการเดินหมาก อย่าคิดดังเกินไป ไม่งั้นคนเดือดร้อนก็คือประชาชน
ก็มาถึง why
ทำไมญี่ปุ่นจะรื้อฟื้นพลังทางทหาร? นายกฯญี่ปุ่นคิดไม่เป็นหรือ? คำตอบคือไม่ใช่ ญี่ปุ่นก็อ่านหมากเป็น เชื่อว่าคงพิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็นต้องขยายกองทัพเตรียมพร้อม กรณีที่ต้องต้านจีน
ญี่ปุ่นไม่อยากเป็นศัตรูกับจีน แต่อาจประเมินแล้วว่าเมื่อจีนใหญ่ขึ้นๆ จนถึงจุดหนึ่ง ใครจะรู้ว่าจีนจะไม่ยึดครองญี่ปุ่น ก็มีเหตุผลให้ระแวงระวัง เพราะสิบกว่าปีนี้ ขณะที่สหรัฐฯก่อสงครามไปทั่วโลก จีนกลับส่งเม็ดเงินไปสร้างสาธารณูปโภคในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา จนแต่ละชาติเป็นหนี้จีนมหาศาล และตกอยู่ใต้อิทธิพลจีนโดยปริยาย นอกจากนี้ก็ยังริเริ่ม The Belt and Road Initiative หรือ The New Silk Road กับ BRICS ต้านฝ่ายตะวันตก นี่เป็นยุทธศาสตร์สามก๊กชัดๆ !
นี่อาจทำให้ญี่ปุ่นต้องระแวงว่า จีนกำลังเดินหมากเพื่อคิดการใหญ่ และญี่ปุ่นอาจโดนไปด้วย มันเป็น the sum of all fears ตามชื่อนิยายของ ทอม แคลนซี เป็นความกลัวที่เข้าใจกันได้
แต่การจัดการกับความกลัวต้องระวังอย่างสูง ไม่ใช่คิดดังขนาดนั้น และส่งผลระหว่างประเทศดังที่เห็น และผลที่กำลังจะตามมา แม้ว่านายกฯญี่ปุ่นจะยังคงได้รับเสียงสนับสนุนภายในประเทศ แต่โดนไปนานๆ คะแนนนิยมก็อาจร่วง ไม่เชื่อถามเซเลนสกีดู
คำถามที่สำคัญที่สุดที่ญี่ปุ่นต้องถามตัวเองคือ ตนประเมินสถานการณ์ถูกต้องหรือไม่ จีนคิดจะครองโลกจริงๆ หรือไม่
เรื่องนี้ยาว ต้องว่ากันอีก 1-2 บทความ
วินทร์ เลียววาริณ
23-11-251- แชร์
- 48
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
(เล่าเรื่องท่านฮุ่ยเหนิงต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
หลังจากข้ามฟากไปแล้ว ฮุ่ยเหนิงลี้ภัยไปยังแผ่นดินทางใต้หนีการตามล่าของเหล่าศิษย์ที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของอาจารย์หงเหริ่น หมายแย่งชิงบาตร จีวร สังฆาฏิที่สืบทอดมาหลายรุ่นกลับไป
ฮุ่ยเหนิงยังเป็นเพียงมนุษย์ที่ถ่อมตนและเปี่ยมเมตตา มิได้ไยดีกับตำแหน่งพระสังฆปริยณายกแต่อย่างไร
ฮุ่ยเหนิงอาศัยอยู่กับชาวบ้านป่านาน 15-16 ปี ยังชีพด้วยอาหารเจ ด้วยจิตเมตตา มักจะปล่อยสัตว์ที่พรานดักจับได้เป็นอิสระ
ฮุ่ยเหนิงดำริกับตัวเองว่า เราจะหนีเช่นนี้ตลอดชาติมิได้ จึงตัดสินใจกลับสู่โลกภายนอกเพื่อเผยแผ่ธรรม
วันหนึ่งฮุ่ยเหนิงเดินทางถึงวัดแห่งหนึ่ง เจ้าอาวาสนามว่า หยินสง มีศิษย์หลายคน
ยามนั้นธงที่ลานวัดกำลังสะบัดด้วยต้องแรงลม ฮุ่ยเหนิงได้ยินพระสองรูปถกเถียงกัน รูปหนึ่งกล่าวว่า "ลมกำลังไหว"
อีกรูปหนึ่งกล่าวว่า "หามิได้ ธงกำลังไหวต่างหาก"
ฮุ่ยเหนิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรกว่า "ลมไม่ได้ไหว ธงก็มิได้ไหว ใจต่างหากที่ไหว"
เจ้าอาวาสได้ยินคำนั้น ก็นึกทึ่ง รู้ทันทีว่าพบผู้รู้ทางธรรมที่แท้แล้ว หลังจากสนทนากันไม่นานก็พบว่า ฮุ่ยเหนิงก็คือพระสังฆปริณายกองค์ที่หกที่ไม่มีผู้ใดพบตัวมาหลายปี แต่เนื่องจากฮุ่ยเหนิงยังอยู่ในสถานะฆราวาส จึงจัดการบรรพชาฮุ่ยเหนิงที่วัดนั้น
ฮุ่ยเหนิงตั้งหลักแหล่งที่วัดหนานฮวา (แปลว่า ดอกไม้ทางใต้) เป็นวัดเก่าริมแม่น้ำเฉาซี ห่างราวยี่สิบกิโลเมตรจากเมืองเส้าโจว (ปัจจุบันคือเส้ากวน) กวางตุ้ง วัดนี้พระอินเดียรูปหนึ่งก่อตั้งในปี ค.ศ. 502 รายล้อมด้วยต้นไม้นานาพรรณ เป็นที่อยู่ของฮุ่ยเหนิงนานปี ด้วยเหตุนี้ คำว่า เฉาซี จึงกลายเป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งของอาจารย์ฮุ่ยเหนิง เพราะการใช้ชื่อสถานที่จำวัดเป็นชื่อของ อาจารย์เซนเป็นเรื่องปกติ ชื่อต้นของอาจารย์เซนชาวจีนส่วนใหญ่มักเป็นชื่อสถานที่ที่อาจารย์ผู้นั้นจำวัด
ฮุ่ยเหนิงเป็นปรมาจารย์เซนที่ต่างจากอาจารย์เซนท่านอื่น ๆ ในหลายทาง การที่ท่านไม่ได้เรียนหนังสือทำให้ท่านสื่อสารแบบง่าย ๆ โดยไร้ข้อจำกัดของตัวหนังสือ ใช้ภาษาง่าย ๆ ไม่ใช้ศัพท์แสงยาก ๆ ท่านไม่สนใจเรื่องการสืบสายเซนในทางดิ่ง แต่พยายามถ่ายทอดเซนออกไปในทางกว้าง
แนวคิดของฮุ่ยเหนิงล้มล้างความคิดแบบทวิลักษณ์ แบบแผนเดิม ปลดปล่อยทุกอย่างเป็นอิสระ มองทุกอย่างเป็นความว่างเปล่า (สุญตา) เผยให้เห็นความจริงแท้ ดังนี้ฮุ่ยเหนิงจึงได้รับฉายา ต้าเจี้ยน (大鑒) หน้าชื่อของท่าน แปลว่า กระจกเงายิ่งใหญ่
พระสูตรของฮุ่ยเหนิงบอกว่า ธรรมก็คือธรรม ไม่มีเร็วหรือช้า การบรรลุธรรมเร็วหรือช้าอยู่ที่การมองเท่านั้น เพียงแต่ว่าคนบางคนอาจฉลาดล้ำ บางคนอาจช้ากว่า ก็เท่านั้น
ฮุ่ยเหนิงเพียงแต่เตือนให้ระวังการนั่งสมาธิแบบผิด ๆ ประเภทนั่งจนแน่นิ่งไป นั่งจนเห็นสวรรค์เห็นเทวดา การฝึกแบบนี้จะขัดขวางการเดินทางสายที่สุด (เต๋า) ฮุ่ยเหนิงมองเห็นว่าการฝึกที่ภายในสำคัญกว่าภายนอก
มังกรเซนฮุ่ยเหนิงมิได้แต่งตั้งผู้สืบทอดต่อจากตน ท่านเพียงมอบบาตร จีวร สังฆาฏิที่สืบสายมายาวนานให้ศิษย์ชื่อ ชิงเหยียนสิงซือ เก็บไว้ที่วัด ดังนั้นตำแหน่งพระสังฆปริณายกแห่งจีนก็ถือว่าสิ้นสุดในยุคของท่าน ถือว่าอาจารย์ฮุ่ยเหนิงเป็นพระสังฆปริณายกองค์สุดท้ายของจีน
ศิษย์ของท่านฮุ่ยเหนิงได้แตกสายธารเซนออกไปอีกห้าทางในช่วงรอยต่อระหว่างราชวงศ์ถังกับซ่ง (ศตวรรษที่ 8-13) ผลงานชิ้นสำคัญของท่านคือ พระสูตรของฮุ่ยเหนิง ทั้งห้าสายมีหลักการเดียวกันคือมุ่งการรู้แจ้ง แต่มีวิธีการสอนที่ต่างกันออกไป ส่วนแนวทางของสำนักฝ่ายเหนือนั้นก็ค่อย ๆ กลืนหายไปกับกาลเวลา
ก่อนสิ้นศตวรรษที่สิบ ธงทั้งห้าแห่งเซนที่สืบรากกลับไปยังท่านฮุ่ยเหนิงก็ลงหลักปักฐานในเมืองจีนอย่างหนักแน่น ภายในศตวรรษที่สิบสอง สายลมแห่งเซนก็พัดไปถึงญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม ธงแห่งธรรมสะบัดไหว
ทว่าลมไม่ได้ไหว ธงก็มิได้ไหว ใจมนุษย์ต่างหากที่ไหว
............................
วินทร์ เลียววาริณ
23-11-25จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
มังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=6Mini Zen Shopee https://shopee.co.th/วินทร์-เลียววาริณ-ชุด-Mini-Zen-และ-Mini-Tao-ราคาปก-430.-พิเศษ-350.-พร้อมลายเซ็นนักเขียน-
1- แชร์
- 19
-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
หาดใหญ่ใต้บาดาล
ผ่านไปหกสิบปี น้ำก็ยังท่วมหาดใหญ่
หาดใหญ่เป็นเมืองสายฝน
อย่างน้อยในช่วงวัยเด็กของผม มันยังเป็นเมืองสายฝน
หาดใหญ่ พ.ศ. นั้นท้องฟ้าสะอาด ไร้มลพิษ รถยนต์มีนับคันได้ มอเตอร์ไซค์ก็ยังมีน้อย พาหนะส่วนใหญ่ของชาวเมืองคือจักรยาน แม้แต่รถรับจ้างก็เป็นสามล้อถีบ
หลายเช้าเราตื่นขึ้นมาในสภาวะฟ้ารั่ว น้ำเทลงมาจากฟ้าอย่างหนัก จนแม่ต้องเรียกรถสามล้อถีบพาเด็กหลายคนไปส่งโรงเรียน คลุมตัวเด็กด้วยร่มกระดาษ
สมัยนั้นยังไม่มีร่มผ้า ร่มทุกชนิดเป็นร่มกระดาษหนาเตอะเทอะทะ
ต่อมาก็มีเสื้อกันฝนพลาสติกจำหน่าย แต่มันห่างไกลจากเสื้อกันฝนบาง ๆ ในสมัยนี้ประมาณห้าร้อยปีแสง เสื้อกันฝนสมัยนั้นทำด้วยพลาสติกหนาเตอะ หนักอึ้งเหมือนเสื้อเกราะ ไม่มีใครอยากสวมใส่
อย่างไรก็ตาม ในสภาพฝนเทหนักอย่างนั้น ร่มหรือเสื้อกันฝนอะไรก็ช่วยไม่ค่อยได้ ไปถึงโรงเรียนในสภาพมะล่อกมะแล่กเหมือนลูกหมาตกน้ำ
ก็ปล่อยให้แห้งไปเอง ไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนหรอก
ตอนกลับบ้านถ้าเจอฝนหนักอีกรอบ ก็เปียกอีกรอบ ก็โตมาอย่างนี้แหละ
และผมก็น้ำมูกไหลทั้งปีอย่างนี้แหละ
ทุกครั้งที่ฝนเทหนัก กิจกรรมหนึ่งที่เราต้องทำคือนำกระป๋องโลหะไปรองน้ำฝนที่รั่วลงมาจากหลังคาสังกะสี (สมัยนั้นบ้านที่ปูหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผาถือว่ามีฐานะ)
บ่อยครั้งฝนตกข้ามวันข้ามคืน ไม่ยอมหยุดเลย วันใดที่ฝนหล่นตอนท้องฟ้าเป็นสีขาวหม่น รู้เลยว่าเป็นฝนมาราธอน
ฝนตกชุกมาก ตกได้ข้ามวันข้ามคืน ผลที่ตามมาคือน้ำท่วมบ่อยมาก
น้ำท่วมส่วนใหญ่จะเป็นแบบมาเร็วไปเร็ว ท่วมสูงราวตาตุ่ม หลังจากนั้นราว 1-2 ชั่วโมง น้ำก็ลด ถือเป็นการล้างบ้านภาคบังคับก็แล้วกัน
แต่นาน ๆ ครั้ง ก็มีแบบ ‘จัดใหญ่’
กลางดึกคืนหนึ่งผมถูกปลุกตื่นด้วยเสียงคนตะโกนกันโหวกเหวก ลงไปชั้นล่างก็พบว่าน้ำกำลังท่วมบ้านสูงถึงเอวคน แลเห็นพ่อกับแม่ และคนงานกำลังช่วยขนข้าวของรองเท้าที่จมน้ำขึ้นที่สูงอย่างแข่งกับเวลา สินค้าหลายส่วนเสียหาย
หาดใหญ่ถูกกองทัพน้ำจู่โจมกลางดึกสงัด
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็พบภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต นั่นคือทั้งเมืองจมใต้น้ำ หาดใหญ่กลายเป็นอัมพาต ทุกกิจการยุติ
ชาวเมืองทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้น้ำลดลงเอง
กินเวลาราว 3-4 วันกว่าน้ำจะลง และราวหนึ่งสัปดาห์ที่ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ
ช่วงที่น้ำท่วม แม่ขนเตาอั้งโล่ขึ้นไปที่ชั้นสอง และทำอาหารตามมีตามเกิด
ในวิกฤตก็มีโอกาส เราเห็นเรือพายหลายลำมาขายของถึงบ้าน เช่น ผัก ผลไม้ เวลาซื้อก็ต้องหย่อนตะกร้าผูกเชือกจากชั้นบนลงไป
นี่เป็นน้ำท่วมใหญ่ครั้งแรกที่ผมจำได้
ตามมาด้วยครั้งที่สอง
มีอยู่ปีหนึ่งฝนตกพรำหลายวันต่อเนื่องกัน ได้ยินคนพูดว่าน้ำอาจจะท่วม ผมขี่จักรยานไปที่คลองอู่ตะเภา เห็นน้ำเอ่อสูงจนเริ่มท่วมตลิ่ง
ผมดูน้ำในบ่อบาดาลที่บ้าน เป็นภาพแปลกตา เพราะระดับน้ำใต้ดินขึ้นสูงจนแทบจ้วงตักน้ำเอาได้
วันหนึ่งผมไปเรียนหนังสือตามปกติ เมื่อไปถึงโรงเรียนพบว่าน้ำเริ่มท่วมระดับตาตุ่ม ครูใหญ่สั่งปิดโรงเรียน ผมก็เดินกลับบ้าน ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา หาดใหญ่ก็ถูกมวลน้ำโจมตีอีกครั้ง คราวนี้น้ำป่าบุกเมืองตอนกลางวันแสก ๆ
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นน้ำท่วมเมืองอย่างรวดเร็ว ได้ยินว่าเป็นน้ำป่า ผมไม่เคยเห็นความเร็วและความแรงของน้ำระดับนี้มาก่อน น้ำไต่ระดับจากตาตุ่มถึงเอวคนทั่วทั้งเมืองในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง
เที่ยวนี้เกิดขึ้นตอนกลางวันแสก ๆ จึงขนข้าวของขึ้นชั้นบนทัน อีกครั้งทุกกิจกรรมในเมืองแน่นิ่ง ธุรกิจการค้าหยุดหมด
น้ำท่วมในสายตาผู้ใหญ่คือหายนะ ไม่มีรายได้ แต่สำหรับเด็ก มันคือความสนุก เป็นสีสันของชีวิตเด็กที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวง
เด็กแทบทุกบ้านเล่นน้ำกัน บางคนใช้ยางในล้อรถยนต์เป่าลม กลายเป็นเรือยาง พายไปทั่ว
ผมถือโอกาสนี้หัดว่ายน้ำ แต่ไม่สำเร็จ เผลอกลืนน้ำไปอึกหนึ่ง แต่ไม่เป็นไรเลย น้ำสะอาดกว่าที่คิด
.......................
น้ำท่วมใหญ่สองครั้งนี้สร้างความเสียหายมาก แต่ยังไม่หนักหนาเท่าน้ำท่วมใหญ่หลายสิบปีต่อมา คือ พ.ศ. 2543
เวลานั้นผมอยู่ที่กรุงเทพฯ ติดตามข่าวน้ำท่วมอย่างใกล้ชิด
น้ำท่วมคราวนี้หนักหนาสาหัสมาก ท่วมสูงกว่าเอวคนมาก น้องชายผมเล่าว่า เช้านั้นเขาบินจากภูเก็ตไปหาดใหญ่ เมื่อเครื่องบินลงจอด ก็พบว่าเมืองหาดใหญ่เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองหาดบาดาลเรียบร้อยแล้ว ต้องนั่งรถ GMC ของทหารเข้าเมือง รอบตัวเป็นน้ำสีเหลืองข้นคลั่ก ไหลเชี่ยวน่ากลัว ฟ้ามืดครึ้ม ฝนตกตลอดทั้งวันข้ามไปถึงกลางคืน
หาดใหญ่กลายเป็นเมืองมืดสนิท ไม่มีไฟฟ้าใช้ สถานีวิทยุปิดหมด โชคดีที่ยังเหลือสถานีวิทยุ ม.อ. (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) คลื่น 88 เป็นตัวกลางประสานขอความช่วยเหลือ
ราวตีสอง เขาติดเรือท้องแบนของทหารกลับบ้าน ระหว่างทางรอบตัวมืดสนิท อาคารบ้านเรือนชั้นเดียวจมน้ำหมด ฝนยังโปรยปราย หาดใหญ่ทั้งเมืองเงียบกริบจนน่ากลัว
เมื่อกลับถึงบ้านก็พบว่าบ้านผมที่หาดใหญ่น้ำท่วมสูงถึงชั้น 2 สามารถพายเรือไปเทียบชั้นบนได้เลย
ทหารถามเขาว่า จะเข้าบ้านไหม เขาลังเลแล้วบอกว่า ขอกลับไปที่สะพานลอยดีกว่า
เขากับคนจำนวนหนึ่งค้างคืนบนสะพานลอยข้ามทางรถไฟ โดยหลบฝนอยู่ในท้ายรถกระบะของคนแปลกหน้า ผ่านราตรีฝนปรอยที่ไม่ลืม
เมื่อผมกลับไปเยือนหาดใหญ่อีกครั้ง ยังเห็นรอยน้ำสูงกว่าศีรษะคน
อดีตที่เล่ามานี้ผ่านไปแล้ว แต่มองภาพปัจจุบัน น้ำท่วมดูจะหนักหนาขึ้นเรื่อย ๆ และไม่จบสิ้น
เป็นเพราะธรรมชาติ? หรือเป็นเพราะมนุษย์?
วินทร์ เลียววาริณ
22-11-25(ท่อนหนึ่งจากหนังสือ ชีวิตที่ดี)
1- แชร์
- 30
