-
วินทร์ เลียววาริณ0 วันที่ผ่านมา
ผมเขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์หลายเรื่อง เริ่มที่ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน
คอมเมนต์หนึ่งที่ได้ยินบ่อยคือ "ทำไมไม่มีบทรักเลย"
เหตุผลเพราะนี่เป็นงานเล่าเหตุการณ์การเมือง อีกทั้งเขียนเรื่องนี้แบบ minimalism เป็นเรื่องสั้นจบในตัวหลายเรื่องมาร้อยต่อกันเป็นนวนิยาย เรื่องรักไม่ใช่จุดสำคัญ
เรื่องต่อมาคือ ปีกแดง เป็นนวนิยายการเมือง ยาวมาก เพราะอิงประวัติศาสตร์คอมมิวนิสต์ตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องนี้มีเรื่องรัก
ต่อมาเขียนภาคต่อของ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน สองเรื่องคือ 16 องศาเหนือ และ 17 องศาเหนือ สองเรื่องนี้ก็มีเรื่องรัก
พอเขียน บุหงาปารี/บุหงาตานี น้ำเงินแท้ ก็มีเรื่องรัก
สรุปคือพอจะเขียนเรื่องรักได้ แม้จะห้วน
สำหรับ 17 องศาเหนือ ไม่เน้นเรื่องรัก แต่เน้นเรื่องเซ็กซ์
ไม่เชื่อใช่มั้ย? เอ้า! ยกมาให้อ่านก็ได้
........................
เจ้าของห้องเอื้อมมือจับลูกบิดประตู แขนของหล่อนแตะแขนของเขาโดยบังเอิญ อบอุ่น อ่อนนิ่ม กลิ่นหอมที่คุ้นจมูกสัมผัสประสาทของเขาอีกครั้ง เขาไม่เคยใกล้ชิดหญิงใดในระยะเท่านี้มานานแล้ว เขาสัมผัสไฟอุ่นซึ่งมีอำนาจดึงดูดอย่างประหลาด
ดวงตาสองคู่ประสานกัน อาจเป็นแสงไฟจากโคมคู่ในห้องทำให้ดูเหมือนผิวหน้าหล่อนระเรื่อขึ้น หรืออาจไม่ใช่
อาจด้วยสัญชาตญาณหรืออารมณ์ชั่ววูบ เขาไม่รู้ โลกภายในของเขาพลันละลาย เขารั้งร่างหล่อนแผ่วเบา เพียงพริบตาเดียว ร่างของหล่อนก็จมในแผ่นอกกว้างใหญ่ของเขา
ริมฝีปากของทั้งสองเคลื่อนเข้าหากัน ทีแรกด้วยความลังเลไม่แน่ใจ แต่ความลังเลก็ละลายไปเมื่อสองแขนของหล่อนโอบรัดเขา
หล่อนมิได้ปฏิเสธ เขาก็ไม่ได้ห้ามตนเอง
ชั่วครู่ใหญ่ผ่านไป เขาถอนริมฝีปาก พึมพำ “ผมขอโทษ ผมไม่ควร... คุณยังเด็กเกินไป”
“ฉันอายุน้อย แต่ฉันไม่ใช่เด็ก ฉันเป็นผู้ใหญ่มาตั้งแต่เกิดแล้ว”
“แต่ผมไม่ควร...”
“คนเรามักเสียใจเมื่อทำเรื่องผิด แต่คุณไม่ได้ทำเรื่องผิด คุณแค่ชอบขังตัวเองกับอดีตเท่านั้น”
เขางันไป หล่อนพูดถูก เขาไม่มีเรื่องต้องเสียใจ เขาไม่เคยกระทำเรื่องใดผิดทำนองคลองธรรม คงจริงที่เขาเลือกกักขังตัวเองกับอดีต
บางทีชีวิตของเขาอยู่ในพันธนาการมาตลอด
หล่อนสบตาเขา “ฉันรักคุณค่ะ ปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระเถอะค่ะ”
แววตาหล่อนแสดงว่ามีสติสัมปชัญญะเต็มที่
ในวินาทีหนึ่ง เขาหยุด กระซิบถามหล่อน “แน่ใจหรือ?”
หล่อนตอบเขาด้วยภาษากาย
เขาสบตาคู่นั้น แววตาหล่อนเป็นประกายวามวาวเหมือนดวงดาวแห่งรัตติกาล เขาเคยเห็นนัยน์ตาแบบนี้มาหลายคนแล้ว หล่อนไม่ใช่คนไร้เดียงสา หล่อนรู้ว่าหล่อนต้องการอะไร
กายแนบกาย ใจแนบใจ กลิ่นหอมอบอวลทุกห้องหัวใจของเขา
หัวใจของเขาหลอมละลาย บางทีเขาอ่อนแอเกินไป
แล้วในคืนสุดท้ายของปี 2522 สองวิญญาณร่อนเร่ก็รวมเป็นหนึ่งเดียว
ทั้งสองซบหน้าหากัน จูบต่อเนื่องยาวนาน เขากอดจูบหล่อนไม่หยุด เริงใจเริงกาย ริมฝีปากของหล่อนอบอุ่นชุ่มชื้นและเชิญชวน เขาจูบหล่อนราวกับคนเดินทางกลางทะเลทรายผู้ไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวัน ใจของเขากระเจิดกระเจิง
พัสตราภรณ์ชิ้นสุดท้ายลอยร่อนแตะพื้นไม้กระด้าง สีดำเหมือนนิลเนื้อดี ตัดกับสีขาวโพลนราวงาช้างของเรือนกายทุกตารางนิ้ว ผิวของหล่อนลื่นราวผ้าแพรเนื้อดี หล่อนจมร่างใต้แสงไฟสลัว ราวกับรูปปั้นเทพธิดาวีนัสที่หายใจได้
เรือนกายหล่อนสมส่วนของหญิงสาวที่แข็งแรงสมบูรณ์เต็มที่ เป็นดอกไม้พันธุ์ที่สวยเรียบ แต่ไม่เปราะบาง ทรวงอกได้รูปงาม เอวคอดกิ่ว ตะโพกผายงามหนั่นแน่น ทั้งหมดซ่อนตาเขามานาน อาจเพราะเขาไม่เคยคิดเรื่องชู้สาวกับผู้หญิงคนใดมาก่อน แม้นานหลังจากที่ศรีลัดดาจากไป
เขารู้สึกเช่นวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างชั่ววูบ นี่เป็นความฝันหรือความจริง?
เขารู้สึกว่าไฟในตัวซึ่งเขาเชื่อว่าใกล้มอดดับเต็มทีลุกโชนขึ้นอีกครั้ง เหมือนถูกสาดด้วยน้ำมัน
หล่อนคือน้ำมันหรือไฟ?
แล้วใจของเขาก็หลุดกระเจิงไปราวกับม้าป่าซึ่งถูกพันธนาการมานาน เชือกขาดหลุด มันเป็นอิสระ ควบทะยานไปเหมือนม้าป่าโลดแล่นไปในท้องทุ่งเขียวขจี
........................
เฮ้อ! นี่น่าจะเป็นเรื่องที่โป๊ที่สุดของผมแล้ว เวรกรรม ได้แค่นี้เอง!
วินทร์ เลียววาริณ
28-12-25ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน https://www.winbookclub.com/store/detail/145/ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน%20%28ปกอ่อน%20ปรับปรุง%29
16 องศาเหนือ https://www.winbookclub.com/store/detail/148/16%20องศาเหนือ
17 องศาเหนือ https://www.winbookclub.com/store/detail/140/17%20องศาเหนือ
ปีกแดง https://www.winbookclub.com/store/detail/114/ปีกแดง%20ฉบับปรับปรุง
น้ำเงินแท้ https://www.winbookclub.com/store/detail/118/น้ำเงินแท้
0- แชร์
- 9
-
วินทร์ เลียววาริณ0 วันที่ผ่านมา
ผมติดนิสัยเขียนเรื่องสั้นและนวนิยายแบบไร้ไขมัน (lean) คือไม่มีส่วนเกิน ประหยัดถ้อยประหยัดคำ จนบางคนว่าห้วนไป นักเขียนคนอื่นสามารถร่ายเนื้อความเดียวกันได้เป็นหน้าๆ ผมใช้แค่สองสามบรรทัด
วันก่อนมาดูนวนิยาย ปีกแดง ก็พบว่าจริง! เราห้วนมาตั้งแต่ปีแรกๆ แล้ว
ฉากต่อไปนี้เขียนมา 25 ปีแล้ว ห้วน กระชับ ถ้าให้เขียนใหม่ตอนนี้ คงใส่ผงชูรสมากกว่านี้อีกหน่อย
ผู้อ่านชอบแบบก๋วยเตี๋ยวน้ำเยอะๆ หรือแบบแห้ง?
...................
ชายหลายคนกำลังพูดถึงเขาอยู่ ทั้งหมดดูรูปถ่ายสองสามรูปบนโต๊ะ สีหน้าเคร่งเครียด
หลวงชาญไชยนิวัติกล่าวว่า “รูปนี้คนของผมถ่ายได้”
หลวงรณยุทธสงครามขมวดคิ้วว่า “คุณให้คนเฝ้าเขา?”
ผู้ถูกถามยิ้มกระด้าง “ผมได้รับข่าวเมื่อวันก่อนว่า พวกแต้มแดงกำลังมีความเคลื่อนไหว จริงตามข่าวนั้น คุณรุจน์ที่คุณรับรองว่ารักชาติหนักหนา ติดต่อกับพวกคอมมิวนิสต์จีนสยาม จำชายคนนี้ได้ใช่ไหม ตันเต็กเส็ง หัวหน้าพวกแต้มแดง”
“บังเอิญ...”
“เป็นไปไม่ได้ อยู่ดี ๆ ทำไมก่อนออกเดินทาง เขาถึงไปหาพวกนั้นที่ย่านคนจีน ร้านเอี๊ยะแซเป็นหน้าฉากของพวกแต้มแดง พวกคอมมิวนิสต์จีน เขารู้ เขาเป็นสายของคอมมิวนิสต์อย่างแน่นอนที่สุด”
“คุณหลวงได้ข่าวจากไหน?”
“ไม่สำคัญว่าจากไหน สำคัญว่าจริงก็แล้วกัน ผมบอกแล้วว่า ทุกอย่างเกี่ยวกับชายคนนี้เกี่ยวข้องกับพวกคอมมิวนิสต์ทั้งหมด ญาติสนิทเป็นคอมมิวนิสต์ ทำไมถึงต้องติดคุกโซเวียต ทำไมถูกปล่อยออกมา ทำไมเดินทางไปหาหลวงพิจิตรฯทำไมไปหาพวกแต้มแดงที่ราชวงศ์ มีใครตอบผมได้ไหมว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญ”
“แต่พวกแต้มแดงไม่มีตัวตนอีกแล้ว”
“ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีบทบาท ผมเชื่อว่าป่านนี้พวกแต้มแดงคงรู้แล้วว่าพวกเราเป็นใครกันบ้าง พวกนั้นคงอยากฆ่าเราเต็มที”
พระโกศลวีรยุทธจำนนต่อหลักฐาน เอ่ยเบา ๆ “ตามรุจน์กลับมา”
“ช้าไปแล้ว เขาออกเดินทางไปแล้ว”
“เราปล่อยเสือเข้าป่า...”
“การที่รุจน์ติดต่อกับพวกแต้มแดง ทำให้ผมคิดว่าพวกนั้นน่าจะรู้แล้วว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้มาโดยตลอด”
“คุณคิดว่าพวกเขาจะกล้ามาล้างแค้นหน่วยแม่บ้าน?”
“ไม่มีอะไรที่พวกแต้มแดงไม่กล้าทำ พวกนั้นไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว”
“เราอาจจัดการพวกมันได้ก่อน”
ทันใดประตูห้องประชุมถูกผลักออกเบา ๆ ทั้งหมดหันไปดู เป็นหญิงรับใช้ถือถาดกาแฟ พระพิจารณ์บริบาลหน้าบึ้งเอ่ยเสียงแข็ง “ใครบอกให้เสิร์ฟกาแฟ?”
“อิฉันไม่...”
หญิงรับใช้พูดได้แค่นั้นก็ตาเหลือก พลันร่างของหล่อนก็ล้มลง เลือดไหลออกมาจากหน้าอก ถาดกาแฟกระทบพื้นดังกังวาน เผยให้เห็นด้านหลังเป็นชายคนหนึ่งสวมผ้าคลุมหน้า ใช้หล่อนเป็นที่กำบัง ปืนพกสีดำในมือ
พระโกศลวีรยุทธกับพระพิจารณ์บริบาลลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีที่รู้สึกผิดสังเกต ในเสี้ยววินาทีนั้น นิ้วมือภายใต้ถุงมือรัดกุมก็กระดิกยิงอย่างประณีต เสียงของมันแผ่วเบาเพราะติดเครื่องเก็บเสียง
ร่างพระพิจารณ์บริบาลกระเด็นหงายออกไปก่อน เลือดซึมไหลออกจากหน้าผาก ล้มโดยไม่ร้องสักคำ นายทหารร่างใหญ่สิ้นใจก่อนที่ร่างจะตกถึงพื้น พระโกศลวีรยุทธถลันร่างขึ้น แต่ก็สะดุ้งเฮือกเมื่อมือปืนลั่นไกอย่างเยือกเย็น กระสุนทะลวงแสกหน้าใส่ร่างท่านเพียงนัดเดียว ร่างของพระโกศลวีรยุทธผงะโอนเอน ในที่สุดก็หน้าคว่ำคาโต๊ะประชุม หลวงชาญไชยนิวัติชักปืนที่เอวออกมา แต่ไม่ทันพ้นซอง ร่างของเขาก็ผงะหงายไปจมเบาะเก้าอี้ยาว
หลวงรณยุทธสงครามยิงปืนออกไปได้นัดเดียวก็ถูกยิงล้มลง ปืนหลุดกระเด็นจากมือ เขาคลานไปยังจุดที่ปืนตกอยู่ มือสังหารเล็งปืนที่ร่างเขา แต่ถูกหลวงอิสรายุทธยิงสวน ชายมือปืนอุทานเป็นภาษาจีนคำหนึ่งและวิ่งหนีไป
หลวงรณยุทธสงครามร้องบอกหลวงอิสรายุทธซึ่งเป็นผู้เดียวที่ไม่ถูกยิงว่า “ไปดูหลวงชาญฯก่อน”
หลวงชาญไชยนิวัติฝืนยิ้มขณะที่เลือดไหลออกจากปาก กล่าวเสียงกระท่อนกระแท่นว่า “เห็นมั้ย... คุณรุจน์ของคุณให้แผนที่บ้านนี้กับ... พวก... แต้มแดง...” แล้วสิ้นใจ
หลวงรณยุทธสงครามเลือดขึ้นหน้า “ผมจะตามล่ามันเอง”
หลวงอิสรายุทธกล่าว “ได้เวลาเรียก 'แม่บ้าน' แล้ว”
วินทร์ เลียววาริณ
28-12-25จาก ปีกแดง
รางวัลนวนิยายดีเด่นคณะกรรมการหนังสือแห่งชาติ ปี 2546
https://www.winbookclub.com/store/detail/114/ปีกแดง%20ฉบับปรับปรุง0- แชร์
- 10
-
วินทร์ เลียววาริณ0 วันที่ผ่านมา
ในการอ่านหนังสือเกี่ยวกับเซน เรามักเจอคำว่า ซาโตริ
ซาโตริคืออันหยัง? ต่างจากนิพพานหรือไม่? อย่างไร?
'การปลดปล่อยตนให้เป็นอิสระ' ในทางพุทธคือการบรรลุนิพพาน (nirvana) ในทางเซนคือการบรรลุพุทธภาวะ เรียกว่า ซาโตริ (satori) ก็คือการกำจัดความคิดปรุงแต่ง (delusive thinking) ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาทุกอย่างของมนุษย์ เมื่อขจัดมันไปได้ ก็ทำให้โลภ โกรธ หลง หายไปด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือการทำลายอุปาทานในขันธ์ เพื่อให้อัตตาสิ้นไป เมื่อไม่มีอัตตา ก็เป็นอิสระ
เจ้าชายสิทธัตถะทรงละทิิ้งชีวิตฆราวาสไปเป็นดาบส ทรงหาทุกวิถีทางที่จะปลดปล่อยพระองค์เป็นอิสระ แต่ทรงไม่สามารถบรรลุจุดหมายนั้นด้วยหนทางแห่งความสุดโต่ง จนกระทั่งหลังจากเจ็ดปีของการค้นหาแบบสุดโต่ง ก็ทรงละทิ้งวิถีนั้น และเมื่อนั้นเองที่ทรง 'ตื่น' และเข้าสู่สภาวะแห่งการเข้าใจหรือที่เรียกว่า การตรัสรู้ โดยพิจารณาสิ่งที่เป็นไปในโลกใต้ต้นโพธิ์ ผ่านทั้งราตรีจนแสงสว่างของเช้าวันใหม่มาถึง ก็ทรงเข้าพระทัยทุกสิ่งอย่างแจ่มแจ้ง หลุดพ้นโดยสิ้นเชิงจากมายาและวงจรการเวียนว่ายตายเกิด (สังสารวัฏ) เป็นสภาวะที่เรียกว่า อนุตตรสัมมาสัมโพธิ ซึ่งถือเป็นปัญญาสูงสุดที่ไม่มีสิ่งใดมาเทียบเคียงได้
การหลุดพ้นก็คือการตื่น นี่คือที่มาของคำว่า พุทธะ แปลว่า ผู้ตื่นแล้ว (บางครั้งใช้คำว่า โพธิ์ ในความหมายของการตื่นเช่นกัน)
ตื่นจากอะไร?
ตื่นจากมายา ปลดปล่อยตัวเองจากมายาและสิ่งห่อหุ้มธรรมชาติเดิมของเรา
แล้วซาโตริต่างจากนิพพานหรือไม่? อย่างไร?
มีการให้ความหมายของนิพพานและซาโตริต่างกันออกไป บางตำราใช้คำนิพพานกับซาโตริในความหมายเดียวกัน บางตำราว่าภาวะการรู้แจ้ง (enlightenment) มาก่อนภาวะนิพพาน (nirvana) บางตำราก็แบ่งการบรรลุธรรมออกเป็นหลายระดับ เช่น นิพพาน, ซาโตริ, เคนโซ
คำว่า ซาโตริ แปลตรงตัวว่า การเข้าใจ บางทีก็ใช้สลับกับคำว่า เคนโซ (kensho / 見性) ซึ่งมักหมายถึงการบรรลุธรรมในขอบเขตของเซน
เคนโซแปลตรงตัวว่าการมองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของตนเอง เคนโซจึงไม่ได้มีความหมายถึงการตื่นอย่างสมบูรณ์ในความหมายของนิพพาน
มีผู้เปรียบว่า การบรรลุเคนโซก็เช่นการเตะลูกบอลวิถีไกลโค้งข้ามสนามเข้าประตูอย่างสวยงามเพียงครั้งเดียวไม่ได้หมายความว่าคุณคือ เดวิด เบคคัม หรือการขว้างลูกบาสเก็ตบอลเข้าห่วงในทีเดียว ก็ไม่ได้ทำให้คุณเป็น ไมเคิล จอร์แดน
คุณจะเป็น เดวิด เบคคัม หรือ ไมเคิล จอร์แดน ก็เมื่อคุณทำประตูได้มากพอ นานพอจนสามารถคุมลูกบอลได้ดั่งใจ หรือหากใช้สำนวนนิยายจีนกำลังภายในก็คือ คุณเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกับลูกบอลจนไม่เหลือตัวตนของลูกบอล!
ผู้รู้ด้านเซนหลายท่านอธิบายว่า ซาโตริมักมีความหมายของ 'การตื่นเล็ก' นิพพานมีความหมายของ 'การตื่นใหญ่' นั่นคือนิพพานเป็นผลรวมของการบรรลุซาโตริ สรุปแบบหยาบ ๆ ได้ว่า คนเราสามารถบรรลุซาโตริได้หลายครั้ง แต่บรรลุนิพพานได้ครั้งเดียว
ตัวอย่างที่ดีที่สุดน่าจะเป็นกรณีของอาจารย์ฮาคุอิน ปรมาจารย์เซนคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่นสมัยศตวรรษที่ 15 ว่ากันว่าท่านมีประสบการณ์ซาโตริหลายครั้ง เช่นครั้งหนึ่งขณะที่เดินฝ่าฝน น้ำท่วมขึ้นมาถึงหัวเข่า ขณะจิตนั้นท่านนึกถึงบทธรรมที่เคยอ่านนานมาแล้ว พลันท่านก็ตื่น ส่งเสียงหัวเราะก้องกังวาน อาจารย์ฮาคุอินมักตื่นกะทันหันและหัวเราะก้องเช่นนี้เสมอ เป็นตัวอย่างว่าการตื่นมีหลายระดับ และเกิดขึ้นซ้ำได้
ชาวพุทธไม่น้อยตีความคำว่า วงจรการเวียนว่ายตายเกิด (สังสารวัฏ) ตรงตามคำว่าเป็นการเกิดใหม่โดยพลัง (หรือพลังงาน) ที่เรียกว่า กรรม และกรรมนี้เองเป็นตัวกำหนดคุณลักษณ์และบทบาทของชีวิตที่เกิดใหม่ จนกว่าจะสามารถ 'ตื่น' เมื่อนั้นวงจรนี้ก็จะสิ้นสุด เรียกจุดหมายปลายทางนี้ว่า นิพพาน
แต่ในทางเซนและมหายานบางสายตีความคำว่า สังสารวัฏ แตกต่างออกไป เซนชี้ว่ากระบวนการเกิดใหม่นี้เกิดขึ้นเป็นช่วงขณะจิต เพราะตัวตนของเราทุกคนเกิดใหม่เรื่อย ๆ ทีละชั่วขณะจิต อันเป็นการกระทบกันของปัจจัยหนึ่งสู่อีกปัจจัยหนึ่งตามหลัก ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งใช้อธิบายสภาวะของจิตของฝ่ายเถรวาท
จะเห็นว่าในเรื่องเดียวกันแท้ ๆ ก็มีการตีความไปต่าง ๆ นานา
............................
วินทร์ เลียววาริณ
28-12-25จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
มังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=6Mini Zen Shopee https://shopee.co.th/วินทร์-เลียววาริณ-ชุด-Mini-Zen-และ-Mini-Tao-ราคาปก-430.-พิเศษ-350.-พร้อมลายเซ็นนักเขียน-
0- แชร์
- 15
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
อีกสี่วัน คุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ วัย 95 จะก้าวลงจากตำแหน่งประธานบริษัท Berkshire Hathaway หลังจากสร้างบริษัทนี้จนยิ่งใหญ่
แต่เขามักยกเครดิตให้เพื่อนสนิทและหุ้นส่วนของเขา
ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger)
ชาร์ลี มังเกอร์ เป็นรองประธานบริษัท Berkshire Hathaway เป็นมือขวาของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาเสียชีวิตเมื่อสองปีก่อน อายุ 99
บัฟเฟตต์บอกว่ามังเกอร์เป็นสถาปนิกที่สร้างบริษัทนี้ขึ้นมา
ไม่มีมังเกอร์ ก็ไม่มี Berkshire Hathaway
ชาร์ลี มังเกอร์ เป็นเซียนธุรกิจที่มองโลกกว้าง อ่านโลกแตก มีส่วนทำให้ Berkshire Hathaway เป็นหนึ่งในยุทธจักร
เขารู้ว่าการสร้างบริษัทนั้นยาก แต่การสร้างชาติยิ่งยากกว่า
ดังนั้นบ้านของ ชาร์ลี มังเกอร์ มีรูปปั้นของบุคคลสองคนที่เขาคารวะ
เบนจามิน แฟรงคลิน และลีกวนยู
คนหนึ่งเป็นฝรั่ง คนหนึ่งเป็นชาวเอเชีย
ทั้งสองเป็นนักสร้างชาติเหมือนกัน ห่างกันราว 250 ปี
เบนจามิน แฟรงคลิน เป็นหนึ่งในบิดาผู้สร้างชาติของสหรัฐอเมริกา เป็นนักเขียน นักปรัชญา นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ และนักการทูต
ส่วนลีกวนยูสร้างประเทศสิงคโปร์ จากประเทศที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ ในเวลาสั้นๆ กลายเป็นประเทศพัฒนา
ชาร์ลี มังเกอร์ บอกว่าลีกวนยูเปลี่ยนบึงที่เต็มไปด้วยยุง กลายเป็นเมืองสวรรค์
ชาร์ลี มังเกอร์ ยกย่องลีกวนยูว่าเป็นนักสร้างชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เราอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจให้จีนและเวียดนามนำวิธีสร้างชาติแบบสิงคโปร์มาปรับใช้
เขาชื่นชอบคนเก่งแบบนี้ บริหารประเทศโดยไร้รูปแบบตายตัว จึงเก็บรูปปั้นไว้ที่บ้าน
ถ้า ชาร์ลี มังเกอร์ ยังมีชีวิตอยู่ ไม่รู้เขาจะเก็บรูปปั้นบุคคลที่สาม 'อังเคิล' ไว้ไหม เพราะคนนี้ก็สร้างชาติเหมือนกัน แต่เป็นสีเทาๆ ออกดำ กะดำกะด่าง
แต่ถ้ามีรูปปั้นนี้จริง ก็พอเดาออกว่าเขาจะเก็บมันไว้ที่ห้องไหน
วินทร์ เลียววาริณ
27-12-250- แชร์
- 16
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
หลายคนเชื่อว่า "ความสุขของฉันเกิดขึ้นเพราะเธอคนนั้นคนนี้"
จริงหรือ?
คิดให้ดี ไม่จริง
คนที่ีทำให้เรามีความสุขหรือทุกข์คือตัวเราเอง
ไม่เชื่อก็ต้องอ่านบทความ 'เราเป็นต้นเหตุของความสุขของเรา' คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/692d65ced17b6eb922c89c2f
1- แชร์
- 17
