• วินทร์ เลียววาริณ
    0 วันที่ผ่านมา

    เช่นเดียวกับปีนี้ คริสต์มาสเมื่อ 47 ปีก่อน (พ.ศ. 2521) ก็เกิดเหตุขัดแย้งแถวชายแดนไทย ที่เกี่ยวข้องกับฮุนเซนเช่นกัน

    ปลายปีนั้น พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมด่วนหน่วยข่าวกรอง ฝ่ายความมั่นคง และกองทัพ ผู้ร่วมประชุมประกอบด้วยเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และ ผบ. เหล่าทัพ  เช่น พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ผู้บัญชาการทหารบก

    ที่ประชุมรายงานว่ากำลังทหารและรถถังของเวียดนามเคลื่อนไหวมากผิดปกติ จำนวนอาจสูงถึงแปดแสนคน

    เหล่าเสนาธิการรู้ดีว่า กำลังขนาดนี้มีสำหรับบุกประเทศอื่นเท่านั้น คำถามคือเวียดนามจะบุกประเทศไหน?

    ข่าวกรองบอกว่ากัมพูชา

    คำถามต่อมาคือทำไมเวียดนามรุกล้ำประเทศอื่น?

    คำตอบคือคนกัมพูชาเชิญมา

    คนที่เชิญชื่อ ฮุนเซน กับ เฮง สัมริน

    ใช่ ฮุนเซนก็เป็นพวกเขมรแดงที่ฆ่าคนเขมรตายไปสองล้านคน ในเหตุการณ์ ‘Killing Fields’ แต่ต่อมาขัดกับแกนนำเขมรแดง ถูกพลพตสั่งฆ่า ฮุนเซนหนีไปเวียดนาม แล้วเสนอให้เวียดนามยกทัพมาโค่นพลพต

    วันคริสต์มาสปี พ.ศ. 2521 ขณะที่เสียงเพลง Jingle Bells กังวานในหลายมุมโลก เวียดนามยกทัพมาโค่นรัฐบาลเขมรแดง สำเร็จในสองอาทิตย์

    เวียดนามโค่นพลพต ตั้งรัฐบาลหุ่น People’s Republic of Kampuchea (PRK) เฮง สัมริน ขึ้นเป็นประธานคณะกรรมการปฏิวัติประชาชนและผู้นำ ส่วนฮุนเซนดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

    เขมรพลันแตกแยกเป็นสี่ก๊ก ก๊กที่หนึ่งคือรัฐบาลกัมพูชาของ เฮง สัมริน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเวียดนาม ฐานอยู่ที่พนมกระวันและตะวันตกของพระตะบอง กำลังคนราวสี่หมื่นคน

    ก๊กที่สองคือกลุ่มเขมรแดงของ พลพต และเขียว สัมพันธ์ มีกำลังราวสี่หมื่นคน ก๊กที่สามคือกลุ่มซอนซาน มีกำลังราวสี่พันคน ก๊กที่สี่คือกลุ่มสมเด็จนโรดม สีหนุ

    สามก๊กหลังรวมกันเรียกว่า Three United Resistance ต่อต้าน เฮง สัมริน  และเป็นเป้าหมายการปราบปรามของเวียดนามกับ เฮง สัมริน

    ทัพเวียดนามและเขมร เฮง สัมริน กวาดล้างกลุ่มต่อต้าน ไล่ล่าเขมรแดงมาถึงชายแดนไทย-กัมพูชา แล้วรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทย

    ฮุนเซนบอกประชาชนว่า เวียดนามไม่ได้บุกประเทศกัมพูชา แค่มาช่วยจัดระเบียบให้เข้าที่เท่านั้น แล้วก็กลับ

    แต่เวียดนามก็เหมือนตั๋งโต๊ะที่เข้าเมืองหลวงแล้วไม่กลับ ถือโอกาสเข้ามา 'จัดระเบียบ' ในไทยด้วย ข้ามชายแดนมา รบกับไทยหลายปี บ่อยครั้งเข้ามาก่อกวนพร้อมกองกำลังของ เฮง สัมริน / ฮุนเซน ตายไปทั้งสองฝ่าย

    จนถึง พ.ศ. 2532 เวียดนามถอนทหารออกจากกัมพูชาอย่างถาวร ปิดฉากการรบระหว่างไทยและเวียดนาม หลังจากเวียดนาม-กัมพูชาคุกคามไทยมานานเกือบสิบปี

    ปี 2528 ฮุนเซนเขี่ย เฮง สัมริน ทิ้ง ก้าวขึ้นสู่อำนาจ และครองอำนาจเหนือกัมพูชาแต่เพียงผู้เดียวนานหลายสิบปี

    เช่นเดียวกับตระกูลการเมืองทั้งหลายในโลก ตระกูลฮุนเซนสร้างอาณาจักรของตน ขณะที่ประชาชนลืมตาปริบๆ ท้องหิวโหย

    ข่าวที่สื่อทั่วโลกเผยออกมาในรอบปีนี้ ชี้ว่าตระกูลฮุนเซนเกี่ยวข้องกับธุรกิจมืดต่างๆ รวมทั้งแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ที่ป่วนไปทั่วโลก

    นักวิเคราะห์การเมืองโลกหลายคนเชื่อว่า การที่อังเคิลก่อสงครามกับไทยน่าจะเดินตามรอยภาพยนตร์เรื่อง Wag the Dog

    หลักการคือใช้ความรักชาติเป็นอาวุธ เมื่อประชาชนเริ่มเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้เรื่อง ก็ก่อสงครามเพื่อดึงความสนใจไปที่อื่น

    และใช้มุขเก่าที่เคยใช้เมื่อปี 2521 คือเชิญเวียดนามมาบุกประเทศตัวเอง

    ปี 2568 อังเคิลเชิญสหรัฐฯเข้ามาช่วย 'จัดระเบียบ' ให้เข้าที่อีกครั้ง กดดันไทย สร้างภาพไทยเป็นผู้ร้าย โดยเสนอข้อตอบแทนคือเสนอชื่อประธานาธิบดีทรัมป์รับรางวัลโนเบลสันติภาพ!

    การประกาศ 'ยุทธศาสตร์สงครามระยะยาวกับไทย' ก็เป็นแค่ลูกเล่นทางการตลาดเพื่อเติมออกซิเจนลงไปในน้ำที่ปลาใหญ่กำลังจะตายเท่านั้น

    เพราะถึงจุดจุดหนึ่ง เมื่อผู้คนเห็นว่าธงชาติใช้เป็นอาหารไม่ได้ ระบอบ ฮ.ซ. ก็อยู่ยาก

    นักวิเคราะห์การเมืองโลกหลายคนเชื่อว่า ความล่มสลายของระบอบ ฮ.ซ. จะมาถึง บ้างว่าใกล้มาถึงแล้วด้วยซ้ำ

    ประวัติศาสตร์โลกมีตัวอย่างนับไม่ถ้วน เชาเชสคู มาร์กอส (พ่อ) ฯลฯ ระบอบที่กินจนร่างใหญ่โต ล้มลงด้วยน้ำหนักของมันเองเสมอ

    วินทร์ เลียววาริณ
    24-12-25

    อ่านรายละเอียดสงครามไทย-เวียดนาม-กัมพูชา เพิ่มได้จาก ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม 5

    เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/175/ประวัติศาสตร์ที่เราลืมเล่ม5

    Shopee https://s.shopee.co.th/qcftO9NfY?share_channel_code=6 

    1
    • 0 แชร์
    • 17
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    สวัสดีวันพุธ วันนี้ไม่ว่างนะ จะไปสมัคร ส.ส.

    ส.ส. = สุดยอดสามี

    1
    • 0 แชร์
    • 5
    Regnarts
    อนุสาวรีย์ของ ส.ส. ท่านนั้น 😆
    ดูความเห็น 1 รายการ ...
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    เมื่อวานนี้พูดถึงการฝึกทหาร ร.ด. ก็ถือโอกาสเล่าเรื่องการฝึกซีล สหรัฐฯ หน่วยรบที่เข้มโหดที่สุดหน่วยหนึ่งของโลก

    บทความยาวมาก พื้นที่ไม่พอลง ดังนั้นจะย่อทอนสั้นลง

    นี่เป็นปาฐกถาของ พล.ร.อ. วิลเลียม เอช. แม็คเรเวน ผู้บัญชาการกองบัญชาการปฏิบัติการพิเศษ สหรัฐฯ กล่าวปาฐกถาต่อเหล่าบัณฑิตเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2014

    เรื่องที่เขาเล่าเป็นประสบการณ์การฝึกหน่วยซีล แต่ที่น่าสนใจคือสามารถประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง และอาจทำให้เราเห็นอีกมุมหนึ่งของประโยชน์ของการฝึกทหาร

    “การฝึกขั้นพื้นฐานของหน่วยซีลกินเวลาหกเดือน วิ่งอย่างทรมานบนพื้นทรายอ่อนยวบ ว่ายน้ำตอนเที่ยงคืนในน้ำเย็นเฉียบนอกฝั่ง ซาน ดิเอโก การฝึกวิบาก ไม่ได้นอนเป็นวัน ๆ เป็นหกเดือนที่ถูกรังแกไม่หยุดจากนักรบอาชีพซึ่งพยายามทุกวิธีที่จะหาจุดอ่อนทางจิตใจและร่างกาย เพื่อบีบให้คุณเลิกคิดเป็นนักรบซีล

    แต่การฝึกก็สรรหานักเรียนที่สามารถเป็นผู้นำในสถานการณ์ตึงเครียดสับสน ล้มเหลว และความลำบากเช่นกัน

    มีการวิจัยว่าตลอดชีวิตของชาวอเมริกันทั่วไป จะพบกับคนจำนวนหนึ่งหมื่นคน ถือว่ามากทีเดียว แต่ถ้าคุณเปลี่ยนชีวิตของคนแค่สิบคน และแต่ละคนนั้นเปลี่ยนชีวิตของคนอีกสิบคน ในห้าชั่วคน หรือ 125 ปี คุณจะเปลี่ยนชีวิตของคนถึง 800 ล้านคน และถ้าผ่านไปอีกหนึ่งชั่วคน คุณจะสามารถเปลี่ยนประชากรทั้งหมดของโลก 8,000 ล้านคน

    ถ้าคุณคิดว่ามันยากที่จะเปลี่ยนชีวิตคนสักสิบคน เปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล คุณก็ผิดแล้วละ ผมเคยเห็นมันเกิดขึ้นทุกวันที่อิรักและอัฟกานิสถาน ทหารหนุ่มคนหนึ่งตัดสินใจไปทางซ้ายแทนที่จะเป็นทางขวาบนถนนเส้นหนึ่งในกรุงแบกแดด การตัดสินใจนั้นก็ช่วยชีวิตเพื่อนทหารสิบคนในหน่วยของเขาจากการถูกซุ่มโจมตี ที่กันดาฮาร์ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งสัมผัสความผิดปกติว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แล้วนำหน่วยของตนออกห่าง พ้นจากระเบิด 500 ปอนด์ นั่นช่วยชีวิตทหารสิบกว่านาย

    แต่ลองคิดดูดี ๆ มันไม่เพียงช่วยชีวิตทหารสิบกว่าคนนั้นจากการตัดสินใจของคนคนเดียว ยังช่วยชีวิตลูก ๆ ที่ยังไม่เกิดของคนเหล่านั้นด้วย และอีกหลายชั่วคนได้รับการช่วยชีวิตจากการตัดสินใจของคนคนเดียว

    แต่การเปลี่ยนโลกสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ และใคร ๆ ก็ทำได้ ผมมีคำแนะนำที่อาจช่วยคุณเปลี่ยนโลก ผมได้รับบทเรียนเหล่านี้ระหว่างใช้ชีวิตเป็นทหาร ผมรับรองว่ามันไม่สำคัญเลยว่าคุณจะต้องสวมเครื่องแบบสักวันเดียวหรือเปล่า เพศ เชื้อชาติ ศาสนา จุดยืน หรือสถานะทางสังคมของคุณไม่ใช่สิ่งสำคัญ

    นี่คือบทเรียนสิบบทที่ผมเรียนรู้จากการฝึกซีล ซึ่งหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคุณเมื่อคุณเดินหน้าไปในเส้นทางชีวิต”

    - บทเรียนที่ 1 -

    “ทุก ๆ เช้าครูฝึกซึ่งทั้งหมดผ่านสงครามเวียดนามมา ปรากฏตัว ณ ที่พัก และสิ่งแรกที่พวกเขาจะตรวจคือที่นอนของคุณ

    มันเป็นงานง่าย ๆ ที่น่าเบื่อที่สุด แต่ทุกเช้าเราถูกสั่งให้จัดที่นอนใหม่ให้เรียบเป๊ะ ตอนนั้นมันดูเป็นเรื่องงี่เง่า ในเมื่อเราคาดหวังจะเป็นนักรบที่แท้ เป็นซีลที่แกร่งกล้าชาญศึก แต่การจัดที่นอนง่าย ๆ นี้เป็นภูมิปัญญาสุดยอดที่พิสูจน์กับผมครั้งแล้วครั้งเล่า

    ถ้าคุณจัดที่นอนของคุณทุกเช้า คุณก็ได้ทำงานชิ้นแรกของวันสำเร็จ มันให้ความรู้สึกพึงใจและกระตุ้นให้คุณทำงานชิ้นต่อไป และชิ้นต่อไป และชิ้นต่อไป

    ทุกสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตมีความสำคัญ ถ้าคุณทำงานชิ้นเล็ก ๆ ไม่ได้ คุณก็ไม่มีทางทำงานใหญ่ได้ ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนโลก เริ่มจัดที่นอนของคุณ”

    - บทเรียนที่ 2 -

    “ระหว่างการฝึกซีล นักเรียนถูกแบ่งไปลงเรือยางขนาดเล็กหลายลำ แต่ละลำมีเจ็ดคน ฝีพายข้างละสามกับนายท้ายเรือหนึ่งคน ทำหน้าที่ชี้ทาง ทุกวันกลุ่มของคุณถูกสั่งให้พายตัดคลื่นหลายไมล์ไปตามฝั่ง ในฤดูหนาวคลื่นนอก ซาน ดิเอโก อาจสูง 8-10 ฟุต และมันยากมากที่จะฝ่าพ้น นอกเสียจากว่าทุกคนจ้วงพายต้องเป็นจังหวะเดียวกันตามที่นายท้ายนับ ทุกคนต้องออกแรงเท่ากัน มิเช่นนั้นเรือจะถูกคลื่นตีกลับไปที่ฝั่ง

    จะไปถึงจุดหมายได้ ทุกคนต้องพาย คุณไม่อาจเปลี่ยนโลกได้โดยลำพัง คุณต้องการความช่วยเหลือ การไปจากจุดเริ่มต้นไปถึงจุดหมายต้องการเพื่อน คนร่วมงาน ความปรารถนาดีของคนแปลกหน้า และคนคัดท้ายที่เข้มแข็งชี้ทาง

    ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนโลก หาใครสักคนช่วยคุณพาย”

    - บทเรียนที่ 3 -

    “หลายอาทิตย์หลังการฝึกซึ่งเริ่มจากจำนวน 150 คน จะเหลือเพียง 35 คน ผมอยู่ในเรือที่มีเพื่อนตัวสูง แต่ฝีพายที่ดีที่สุดกลับเป็นคนตัวเล็ก เราเรียกพวกนี้ว่า ไอ้เสือเตี้ย พวกนี้สูงไม่เกินห้าฟุตห้านิ้ว

    พวกนี้พายเก่งกว่า วิ่งเก่งกว่า ว่ายน้ำเก่งกว่าคนที่เหลือทั้งหมด พวกตัวใหญ่ในลำอื่นชอบพูดตลกถึงตีนกบเล็ก ๆ ของพวกเสือเตี้ย แต่พวกตัวเล็ก ๆ พวกนี้แหละที่หัวเราะทีหลังดังสุด ว่ายเร็วกว่าทุกคน ถึงฝั่งเร็วกว่าเราทุกคน

    การฝึกซีลเป็นเรื่องที่ให้ความเสมอภาคจริง ๆ ไม่มีอะไรสำคัญกว่าความแน่วแน่ของคุณที่จะไปสู่ความสำเร็จ ไม่เกี่ยวกับสีผิว เชื้อชาติ การศึกษา และสถานะทางสังคม

    ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนโลก วัดคนที่ขนาดของหัวใจ ไม่ใช่ขนาดของตีนกบ”

    - บทเรียนที่ 4 -

    “หลายครั้งต่อสัปดาห์ ครูฝึกจะสั่งให้นักเรียนเข้าแถวแล้วตรวจเครื่องแบบ ละเอียดลออมาก ๆ หมวกของคุณลงแป้งเรียบ เครื่องแบบรีดเนี้ยบสุดขีด หัวเข็มขัดเป็นเงาวาววับ แต่ไม่ว่าคุณจะพยายามให้หมวกคุณเข้าทรงดีแค่ไหน ครูฝึกจะพบจุดบกพร่องเสมอ

    หากไม่ผ่านมาตรฐานเครื่องแบบ นักเรียนจะถูกทำโทษให้สวมเครื่องแบบวิ่งไปที่จุดโต้คลื่น เปียกทั้งตัวตั้งแต่หัวถึงเท้า แล้วกลิ้งบนหาดทรายจนร่างกายทุกส่วนของคุณมีแต่เม็ดทราย สิ่งที่เราเรียกว่า ‘คุกกี้น้ำตาล’ คุณอยู่ในชุดนั้นทั้งวัน หนาว เปียก และเปื้อนทราย

    มีนักเรียนจำนวนมากรับไม่ได้ที่ความพยายามของพวกเขาสูญเปล่า นักเรียนพวกนั้นล้วนไม่ผ่านการฝึกซีล เพราะพวกเขาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการฝึก! คุณไม่มีทางสำเร็จหรอก คุณจะไม่มีวันทำเครื่องแบบให้เป๊ะ

    บางครั้งไม่ว่าคุณเตรียมการหรือทำการได้ดีแค่ไหน คุณก็ยังลงท้ายเป็นคุกกี้น้ำตาลอยู่ดี มันเป็นแค่วิธีที่ชีวิตต้องเป็นในบางครั้ง

    ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนโลก ปล่อยวางเรื่องเป็นคุกกี้น้ำตาล แล้วเดินหน้าไม่หยุด”

    - บทเรียนที่ 5 -

    “ทุกวันคุณถูกท้าทายด้วยกิจกรรมทางกาย วิ่งไกล ว่ายน้ำไกล การฝึกวิบาก ออกแบบมาเพื่อทดสอบความอึดของคุณ  ถ้าคุณไปไม่ถึงมาตรฐานเหล่านั้น ชื่อของคุณจะปรากฏบนรายการ และในตอนจบวัน คนที่มีชื่ออยู่ในรายการจะถูกเชิญไปร่วม ‘ละครสัตว์’ (Circus เป็นศัพท์ของหน่วยซีล หมายถึงการลงโทษนักเรียนด้วยการออกกำลังกาย ในที่นี้ขอแปลตรงตัวว่าละครสัตว์ให้เข้ากับการฝึก) ซึ่งเป็นการฝึกเพิ่มเติมอีกสองชั่วโมง ออกแบบมาถล่มคุณโดยเฉพาะ ทำลายความเข้มแข็งของจิตใจคุณ บีบให้คุณลาออก

    ละครสัตว์แปลว่าวันนั้นคุณไม่เอาไหน ละครสัตว์หมายถึงคุณจะเหนื่อยรากเลือดขึ้น รากเลือดหมายถึงวันรุ่งขึ้นจะยากขึ้นอีก ซึ่งหมายถึงคุณจะเจอละครสัตว์เพิ่มขึ้นอีกแน่ ๆ แต่ในจุดใดจุดหนึ่งของการฝึกซีล ทุกคน - ทุกทุกคน จะอยู่ในรายการละครสัตว์

    แต่มีจุดน่าสนใจที่เกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในรายการบ่อย ๆ ผ่านไประยะหนึ่งคนที่ฝึกเพิ่มวันละสองชั่วโมงจะแกร่งขึ้นและแกร่งขึ้น ความโหดของละครสัตว์สร้างพละกำลังภายใน ฟื้นตัวเร็วขึ้น

    ชีวิตเต็มไปด้วย ‘ละครสัตว์’ คุณจะล้มเหลว และคุณจะล้มเหลวบ่อย ๆ จะเจ็บปวด จะท้อถอย มันจะทดสอบคุณจนถึงกึ๋น แต่ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนโลก อย่ากลัวละครสัตว์”

    - บทเรียนที่ 6 -

    “สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการไต่เชือกจากหอคอยสามชั้น ความสูงสามสิบฟุตไปถึงปลายเชือกที่หอชั้นเดียว ระยะทางยาวสองร้อยฟุต คุณปีนหอคอยสามชั้น เมื่อถึงข้างบน คุณจับเชือก แล้วขยับตัวไปข้างหน้าด้วยกำลังแขนทีละข้างจนถึงจุดหมาย

    ไม่มีใครทำลายสถิติความเร็วของภารกิจนี้มานานปีจนถึงชั้นของผมเริ่มในปี 1977 วันหนึ่งนักเรียนคนหนึ่งตัดสินใจไต่เชือกโดยเอาศีรษะพุ่งไปก่อน แทนที่จะใช้สองมือโหนเชือกไปทีละข้างทีละคืบ เขาเกาะเชือกและเคลื่อนตัวเองไปข้างหน้า

    มันเป็นวิธีที่อันตราย อาจดูโง่ด้วยซ้ำ และเสี่ยงล้มเหลว ซึ่งหมายถึงความบาดเจ็บและต้องออกจากการฝึกซีล นักเรียนคนนั้นเคลื่อนตัวไปโดยไม่ลังเล อันตรายและเร็ว เขาใช้เวลาแค่ครึ่งเดียวของคนที่เคยทำ และทำลายสถิติไปในวันนั้น

    ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนโลก บางครั้งคุณต้องข้ามอุปสรรคโดยใช้หัวก่อน

    - บทเรียนที่ 7 -

    “ระหว่างฝึกรบบนบก นักเรียนนั่งเครื่องบินไปที่เกาะ ซาน คลีเมนเต นอกฝั่ง ซาน ดิเอโก ทะเลที่นั่นชุกชุมด้วยฉลามขาว จะสอบผ่านการฝึกซีล ต้องว่ายน้ำระยะทางยาวหลายครั้ง หนึ่งครั้งในตอนกลางคืน

    ก่อนการว่ายน้ำ ครูฝึกสอนคุณว่า ถ้าฉลามว่ายน้ำรอบตัวคุณเมื่อไรละก็ ให้ลอยคออยู่ที่จุดเดิม อย่าว่ายหนี อย่าแสดงให้มันรู้ว่าคุณกลัว และสมมุติว่าฉลามเกิดหิวอยากกินอาหารว่างยามดึก พุ่งตรงมาที่คุณ จงรวบรวมกำลัง ชกมันที่จมูก มันจะว่ายหนีไป

    มีฉลามมากมายในโลก ถ้าคุณหวังจะว่ายให้ถึงจุดหมาย คุณต้องรู้จักจัดการกับพวกมัน

    ดังนั้นถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนโลก อย่าหนีฉลาม”

    - บทเรียนที่ 8 -

    “จะเป็นนักรบซีล งานอย่างหนึ่งของเราคือการโจมตีศัตรูใต้น้ำ เราฝึกเทคนิคนี้อย่างเข้มข้น ปฏิบัติการโจมตีเรือนี้คือนักดำน้ำซีลคู่หนึ่งถูกปล่อยลงน้ำนอกท่าเรือศัตรู แล้วดำน้ำระยะสองไมล์ โดยมีเพียงเครื่องวัดความลึกกับเข็มทิศ มุ่งไปยังเป้าหมาย

    คุณต้องดำลงไปใต้เรือและหากระดูกงูซึ่งเป็นเส้นกลางลำเรือ และเป็นส่วนลึกที่สุดของเรือ นี่คือเป้าหมายของคุณ แต่กระดูกงูก็เป็นส่วนที่มืดที่สุดของเรือ คุณมองไม่เห็นแม้แต่มือของคุณที่ยกมาข้างหน้า เป็นจุดที่เครื่องยนต์เรือดังมากและคุณจะหลงทางและล้มเหลวได้ง่ายที่สุด

    ซีลทุกคนรู้ดีว่าใต้กระดูกงู ในชั่วขณะที่มืดมนที่สุดของปฏิบัติการ เป็นเวลาที่คุณต้องรักษาความสงบ แน่วนิ่ง เยือกเย็น ไม่สติแตก เป็นเวลาที่คุณต้องใช้เทคนิคทุกอย่างที่เรียนมา พละกำลัง และความเข้มแข็งภายใน

    ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนโลก คุณต้องพร้อมอย่างที่สุดในห้วงยามที่มืดมนที่สุด”

    - บทเรียนที่ 9 -

    “สัปดาห์ที่เก้าของการฝึกถูกขนานนามว่า ‘สัปดาห์นรก’ มันคือหกวันของการอดนอน ความทรมานทางร่างกายและจิตใจอย่างต่อเนื่อง และวันพิเศษที่ Mud Flats ซึ่งเป็นพื้นที่ระหว่าง ซาน ดิเอโก กับติฮัวนา เป็นที่ที่น้ำทะเลแห้ง ทำให้เกิดผืนโคลนเหนียวเหนอะพร้อมจะกลืนกินคุณ

    คุณพายเรือเข้าไปในทะเลโคลน และต้องเอาตัวรอดนานสิบห้าชั่วโมงในผืนโคลนเย็นเยียบราวน้ำแข็ง เสียงลมกระโชก และเสียงปลุกเร้าต่อเนื่องของครูฝึกให้คุณยอมแพ้

    โคลนกลืนกินแต่ละคนจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากศีรษะของพวกเรา ครูฝึกบอกเราว่าพวกเราสามารถออกจากโคลนนี้ได้ ถ้ามีห้าคนยอมแพ้ แค่ห้าคน แล้วพวกเราทั้งหมดก็จะหลุดพ้นจากความหนาวบรรลัยที่ถูกยัดเยียดให้นี้ มองดูโคลนราบเรียบ เห็นชัดว่านักเรีียนบางคนกำลังคิดจะยอมแพ้ เรายังต้องข้ามเวลาอีกแปดชั่วโมงกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น แปดชั่วโมงของความหนาวเย็นเข้ากระดูก

    เสียงฟันกระทบกันกึกกึกและเสียงครางสะท้านเพราะความหนาวสั่นของนักเรียน ดังจนทำให้แทบไม่ได้ยินอะไรอีก และแล้วมีเสียงหนึ่งกังวานขึ้นกลางราตรี เสียงเพลง! เพลงนั้นร้องไม่ได้เรื่องหรอก แต่ร้องด้วยความกระตือรือร้นอย่างที่สุด จากหนึ่งเสียงกลายเป็นสอง กลายเป็นสาม และไม่นานทั้งชั้นก็ร้องเพลง เรารู้ว่าถ้าใครคนหนึ่งสามารถหลุดพ้นจากความทรมาน คนอื่นก็ต้องทำได้

    ครูฝึกขู่เราว่าถ้าขืนร้องเพลงต่อ จะปล่อยให้เราฝังในโคลนนานขึ้น แต่การร้องเพลงก็ไม่หยุด แล้วมันก็ดูเหมือนว่าโคลนนั้นอุ่นขึ้นนิด ลมสงบลง และรุ่งสางดูไม่ห่างออกไป

    ถ้าผมเรียนรู้สักสิ่งในช่วงที่ผมเดินทางในโลก มันคืออำนาจของความหวัง ดังนั้นถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนโลก เริ่มต้นร้องเพลงเมื่อคุณจมในโคลนถึงลำคอ”

    - บทเรียนที่ 10 -

    “ท้ายที่สุดของการฝึกซีลมีระฆังอันหนึ่ง ระฆังทองเหลืองแขวนกลางหมู่ตึกให้นักเรียนทุกคนมองเห็น ถ้าคุณต้องการเลิก ก็แค่สั่นระฆัง

    สั่นระฆังแล้วคุณก็ไม่ต้องตื่นตีห้า สั่นระฆังแล้วคุณก็ไม่ต้องว่ายน้ำกลางน้ำเย็นเฉียบ สั่นระฆังแล้วคุณก็ไม่ต้องวิ่งวิบาก ไม่ต้องออกแรง และคุณก็ไม่ต้องเจอความโหดหินของการฝึก แค่สั่นระฆัง

    แต่ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนโลก อย่าสั่นระฆังนั่นโดยเด็ดขาด...

    และนี่คือ 10 บทเรียนจากการฝึกหน่วยซีล

    อย่างที่ผู้บัญชาการทหารเรือบอก ด้วยวินัย ความมุ่งมั่น ความอดทน และไม่ยอมแพ้ มิเพียงจะเปลี่ยนชีวิตตนเองให้ดีขึ้น แต่อาจเปลี่ยนโลกทั้งใบได้

    วินทร์ เลียววาริณ
    22-12-25
    ย่อความบางท่อนมาจากหนังสือ ความสุขเล็กๆ ก็คือความสุข
    57 บทความกำลังใจสั้นและยาว ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 3.3 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
    หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
    https://www.winbookclub.com/store/detail/165/ความสุขเล็ก%2520ๆ%20ก็คือความสุข 

    1
    • 0 แชร์
    • 38
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    คุยเรื่องของคนแก่ค้างไว้มาหลายวัน วันนี้ต่อก็แล้วกัน

    นอกจากเรือป๊อกแป๊กและหนังยางแล้ว หนังสติ๊กก็เป็นของเล่นอีกชนิดหนึ่งของเด็กในยุคก่อน โดยเฉพาะเด็กชาย

    หนังสติ๊กหรือ slingshot อาจจัดเป็นอาวุธวิถีโค้งอย่างหนึ่ง ทำจากไม้ง่าม ยางยึดที่ง่ามไม้ทั้งสอง ผูกกับแถบหนังสำหรับหนีบวัตถุที่จะใช้ยิง อาจเป็นลูกหินเล็กๆ หรือลูกดินเหนียวปั้นกลม

    เด็กๆ ยิงประลองฝีมือ มักใช้กระป๋องนม

    เวลาเล่นต้องระวังอย่ายิงใส่คน อาจมีอันตรายได้

    แต่ถ้าเห็นอังเคิล... อย่า!...

    อย่าช้า! ยิงได้เลย

    วินทร์ เลียววาริณ
    23-12-25

    1
    • 0 แชร์
    • 19
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    มนุษย์สายตาดีที่สุดในโลกคงเป็นบุรุษนาม ซูเปอร์แมน เขามีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือดวงตาเอกซเรย์ เป็น คุณสมบัติที่สามารถมองทะลุกำแพง เห็นทุกสิ่งที่อยู่หลังกำแพง ทั้งยังสามารถมองทะลุเห็นเนื้อเยื่อ

    นัยน์ตาของเขาเป็นเสมือนเลนส์ที่ซูมภาพนั่นเอง ทว่าดีกว่าเลนส์ร้อยเท่า มิเพียงเป็นส่วนหนึ่งของนัยน์ตา หากมองได้ไกลกว่าเลนส์เทเลฯ หรือเลนส์กล้องโทรทรรศน์

    นอกจากนี้เขายังสามารถใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รังสีอินฟราเรด และอัลตราไวโอเลต ช่วยให้สามารถมองเห็นได้ในความมืด สามารถรับและแยกคลื่นต่าง ๆ ทำให้บินหลบเรดาร์ หรือการหาตำแหน่งของเขาจากดาวเทียม

    นัยน์ตาของเขาสามารถฉายแสงเลเซอร์ทำลายเป้าหมาย ขณะเดียวกัน ตาของเขายังเป็น กล้องจุลทรรศน์ มองถึงระดับอะตอม

    มนุษย์ชอบคุณสมบัติของการมองทะลุ หรือตาวิเศษ จึงฝันถึงซูเปอร์ฮีโรที่ทำเช่นนี้ได้

    แต่นี่เป็นตาดีทางกายภาพ

    โลกเราเต็มไปด้วยคนตาดี แต่หลงทาง คนจำนวนมากมีตาดีระดับนกอินทรี แต่กระทำเรื่องผิดพลาดตลอด

    บางครั้งเพราะสายตาดี แต่มีอคติ ทำให้เลือกมองทะลุผิดจุด หรือขาดวิสัยทัศน์ซึ่งมองด้วยตาไม่ว่าจะดีเยี่ยมแค่ไหนไม่ได้

    บางครั้งตาดีก็ถูกบดบังด้วยความโลภ ความเขลา ความเชื่อง่าย

    คนไม่น้อยรู้ว่าการพนันไม่ดี ก็ยังไม่ออกห่าง รู้ว่าสุราเป็นโทษ รู้ว่าบุหรี่ไม่ดี ก็ยังไม่คิดเลิก

    ความไม่แยแสแบบนี้ทำให้ตาบอด ตาฝ้า

    ตาดีแต่มองไม่เห็น

    ในโลกทุกวันนี้ เมื่อได้รับข่าวสารอะไร ก็มีคนแชร์ไปก่อน ไม่คิดจะถามว่าจริงหรือไม่จริง

    คนอื่นอาจทำให้เราตาฝ้า แต่เราเองก็อาจมีบทบาททำให้คนอื่นตาฝ้าด้วย

    กลายเป็นเมืองคนตาฝ้า

    การหลอกเงินของคอลเซ็นเตอร์ทุกวันนี้ เหยื่อไม่น้อยเรียนจบชั้นสูง ๆ แทบร้อยละร้อยของคนถูกโกงเกิดจากการมองไม่ทะลุ สิ่งที่ทำให้มองไม่ทะลุก็คือความโลภ

    เครื่องมือที่ทำให้เรามีคุณสมบัติมองทะลุดีกว่าซูเปอร์แมนคือกาลามสูตร

    ตั้งคำถามทุกเรื่อง คิดทุกเรื่อง วิเคราะห์ทุกเรื่อง

    ถ้ามองทะลุ ก็จะเข้าใจระบบของโลกว่า ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี ๆ หรือง่าย ๆ ก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อคนโกง

    บางครั้งคนตาดีก็ขาดวิสัยทัศน์ ซึ่งไม่ได้ใช้ตามอง

    วินทร์ เลียววาริณ
    23-12-25

    จาก กอดหนาม 
    51 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 260 บาท = บทความละ 5 บาท  (ไม่คิดค่าส่ง)
    หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
    https://www.winbookclub.com/store/detail/241/กอดหนาม 

    โปรโมชั่นคู่กับเล่มอื่น https://www.winbookclub.com/store/detail/243/%28S11%29%20กอดหนาม%20+%20ปฎิบัติการผ่าสมองไอน์สไตน์%20+%20Mini%20Tao 

    Shopee เดี่ยว https://s.shopee.co.th/qUBWxp70F 
    Shopee โปรโมชั่น
    https://shopee.co.th/วินทร์-เลียววาริณ-(S11)-กอดหนาม-ผ่าสมองไอน์สไตน์-MiniTao-ราคาปก-825.-พิเศษ-640.-พร้อมลายเซ็นนักเขียน-i.90206829.25115927514?sp_atk=7b908643-99d5-42ab-b178-8d87f8650520&xptdk=7b908643-99d5-42ab-b178-8d87f8650520 

    1
    • 0 แชร์
    • 20