• วินทร์ เลียววาริณ
    0 วันที่ผ่านมา

    ลบหนังเกี่ยวกับเกมโชว์ในโลกอนาคตทั้งหมดออกจากหัวก่อน มันคือปี 1973 นักเขียนคนหนึ่งนั่งเขียนนวนิยายเกี่ยวโลกอนาคต เขาจินตนาการเกมโชว์เกมหนึ่ง มันเป็นการแข่งขันล่าและฆ่า โดยมีรางวัลเป็นตัวล่อ เขาตั้งชื่อเรื่องว่า The Running Man เกือบสิบปีต่อมา มันจึงได้รับการตีพิมพ์ (1982) ชื่อนักเขียนคือ Richard Bachman

    Richard Bachman ก็คือนามปากกาของ สตีเฟน คิง

    หากเราดู The Running Man ใน พ.ศ. นี้ จะพบว่ามันไม่มีอะไรใหม่ เพราะมีหนังแนวนี้มากมาย แต่หากถือว่าใครคนหนึ่งคิดคอนเส็ปต์นี้เมื่อ 52 ปีก่อน ก็ถือว่าไม่ธรรมดา

    นับว่า สตีเฟน คิง มาก่อนกาล นานก่อนยุค Squid Game

    ดังนั้นในหนังรีเมก The Running Man ฉบับปี 2025 จะวิจารณ์เสมือนหนึ่งเราไม่เคยดูหนังแนวนี้มาก่อน เรากำลังดูมันในปี 1973

    เนื้อเรื่องคร่าวๆ คือ ในโลกอนาคต สหรัฐฯกลายเป็นรัฐตำรวจ ผู้คนถูกควบคุมทุกอย่าง ในความมืดหม่น มีเกมโชว์ชื่อดังคือ The Running Man กติกาคือผู้เล่นจะถูกตามล่าหมายชีวิต แต่หากสามารถรอดชีวิตจากการถูกตามฆ่าได้หนึ่งเดือน จะได้เงินรางวัลมหาศาล

    หนังเดินเรื่องเร็ว ไล่ล่าฆ่ากันตายฉับไว หักมุมเป็นระยะ ดังนั้นหากดูเอาความบันเทิง ก็ถือว่าสอบผ่าน

    แต่คนเขียนบทกลับพลิกเรื่องให้เป็นหนังสะท้อนและเสียดสีสังคมและสื่อแบบเจ็บปวด
    และทำได้ดีในระดับหนึ่ง ทำให้ The Running Man ฉบับปี 2025 ลึกกว่าที่คิด (สตีเฟน คิง บอกว่าเขาชอบเวอร์ชั่นนี้มากกว่าเวอร์ชั่นก่อน)

    หนังมีจุดอ่อนและจุดเยิ่นเย้อหลายตอน แต่เนื่องจากภาพรวมแข็งแรง หนังจึงเอาอยู่ (คะแนนหนังสถาบันต่างๆ เห็นต่างจากความเห็นของผม เรื่องนี้คะแนนไม่สูงมาก)

    The Running Man สื่อว่าเกมโชว์กับการเมืองก็เป็นเรื่องเดียวกัน เกมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เจ้าของเกมสามารถบิดเบือนแก้กติกาใหม่ได้เสมอ เพื่อบรรลุเรทติ้ง

    หากเรามองการเมืองสหรัฐฯในเวลานี้ มันก็คือเกมโชว์ The Running Man นั่นเอง ฆ่ากันอย่างถูกกฎหมาย พรีเซนเตอร์เกมโชว์คือท่านประธานาธิบดี เจ้าของเกมโชว์คือ Deep State ที่คุมประธานาธิบดีอีกทีหนึ่ง สามารถสั่งฆ่าทุกคนทุกกลุ่มทุกประเทศตามปรารถนา (และดูเหมือน The Running Man ที่กำลังวิ่งหนีอยู่ชื่อมาดูโร น่าจะวิ่งไม่รอดถึงหนึ่งเดือน ส่วน The Running Man ชื่อปูติน วิ่งเกินหนึ่งเดือนไปแล้ว)

    เมื่อมองดูว่าคอนเส็ปต์หนังคิดเมื่อ 52 ปีก่อน และไม่นำไปเปรียบกับเรื่องอื่นๆ ที่มาทีหลัง ก็ถือว่าเก่ง สตีเฟน คิง นายแน่มาก!

    8/10
    ฉายในโรงภาพยนตร์

    วินทร์ เลียววาริณ
    4-12-25

    วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)

    (มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)

    0
    • 0 แชร์
    • 4
  • วินทร์ เลียววาริณ
    0 วันที่ผ่านมา

    (ดูจบจนได้เมื่อคืนนี้ นี่คือรีวิว)

    ฮอลลีวูดเป็นเจ้าแห่งการรีไซเคิลและรีเมก ซ้ำไปซ้ำมา จนคนที่ดูหนังเป็นกิจวัตรประจำ (อย่างผม) ต้องถามว่า "คิดอะไรใหม่ไม่ได้แล้วหรือ มันยากขนาดนั้นเชียวหรือ"

    หนังเรื่อง Life ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการรีไซเคิล พล็อตเรื่องมีบรรทัดเดียว "สัตว์ประหลาดต่างดาวฆ่าคนในสถานีอวกาศ"

    จุดเดียวที่แตกต่างคือพล็อตที่หักมุมจบและรายละเอียดปลีกย่อย

    หนังเดินเรื่องเรียบๆ อารมณ์ประมาณ Sunshine สร้างความตื่นเต้นได้เป็นระยะ ก็อารมณ์ประมาณ Alien หนังมีฉาก emotion ความเสียสละ อารมณ์ประมาณ The Abyss และจบอารมณ์ประมาณ Gravity

    ถามว่าสนุกไหม? ก็สนุกดี หนังดีไหม? ก็ไม่เลว ดีกว่าที่คาด จบดีไหม? จบดี แต่ไม่เกินคาด เพราะหากไม่จบแบบนี้ ทั้งเรื่องจะไม่มีไคลแม็กซ์ที่น่าจดจำ นี่เป็นการจบที่ดีที่สุดแล้ว แต่แค่นี้ยังไม่พอ

    โดยเนื้อเรื่อง หนังเรื่องนี้ควรสร้างเป็นตอนย่อยหนึ่งตอนในชุด Love Death + Robots จะเหมาะที่สุด เพราะไม่มีความจำเป็นต้องสร้างยาว 104 นาที แค่ 14 นาทีก็เหลือพอแล้ว

    ต่อให้สร้างเป็นหนังสั้น หากเทียบกับไซไฟหลายเรื่องใน Love Death + Robots แล้ว Life ก็ยังจัดว่าแผ่ว ยกตัวอย่างเรื่อง Beyond the Aquila Rift ในชุดนี้ หนังสั้น แต่ใหม่สด เรื่องตื่นเต้นและหักมุม คาดไม่ถึง เป็นหนังเกรด A+

    ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจหลังดูหนังคือคำถามเรื่องการเผชิญหน้ากับสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาว มีความคิดหนึ่งว่า จะดีหรือที่เราพยายามค้นหาชีวิตนอกโลก เพราะดูจากประวัติศาสตร์โลกเราแล้ว อารยธรรมที่เหนือกว่ามักทำลายอารยธรรมที่ด้อยกว่า

    จริงหรือไม่ ก็ตอบยาก แต่อาจตอยง่ายกว่าคำถาม "คิดอะไรใหม่ไม่ได้แล้วหรือ มันยากขนาดนั้นเชียวหรือ"

    7.5/10
    Netflix

    วินทร์ เลียววาริณ
    4-12-25

    วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)

    (มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)

    0
    • 0 แชร์
    • 3
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    สมมุติว่าผู้อ่านสามารถมองเห็นอนาคตของชีวิตทั้งหมดของคุณ คุณจะพบชะตากรรมร้ายแรงบางอย่างที่เป็นโศกนาฏกรรม แต่มันก็เป็นชีวิตที่มีความสุขเช่นกัน

    เนื่องจากอนาคตนี้ยังไม่เกิดขึ้น คุณยังสามารถเลือกได้ว่าจะไปตามเส้นทางชีวิตที่เห็นหรือไม่ คุณจะเลือกอนาคตของคุณแบบไหน อนาคตที่มีแต่เรื่องดี หรืออนาคตที่มีสุขกับทุกข์ปนกัน

    ในทำนองเดียวกัน หากคุณสามารถเดินทางย้อนเวลากลับไปในอดีต คุณจะแก้ไขปรับปรุงหรือไม่? บางทีคุณอาจลบด้านไม่ดีออกให้หมด เหลือแต่ด้านดี ทำให้เป็นชีวิตที่มีแต่ความสุข? คุณจะเลือกทางนั้นไหม?

    เราทุกคนมีชีวิตที่มีทั้งสุขและทุกข์ปนกัน เรามักได้รับการสอนหรือแสดงให้เห็นว่าความทุกข์คือสิ่งที่น่ารังเกียจ ควรหนีให้ห่างไกล

    นั่นขึ้นอยู่ว่าเรามองความทุกข์อย่างไร คือสิ่งที่ต้องหนี หรือสิ่งที่เราโอบรับ?

    โอบรับความทุกข์? ล้อเล่นหรือเปล่า?

    แนวคิดโอบรับความทุกข์ไม่ใช่คอนเส็ปต์ใหม่ และไม่ใช่ของใหม่ มันมีมาตั้งแต่กรีกโบราณ ภาษาละตินว่า amor fati แปลตรงตัวว่า รักชะตากรรม หรือรักชะตาของตนเอง

    เอพิคทีตัส (Epictetus) นักปรัชญากรีกพูดถึงแนวคิดนี้ นอกจากนี้ก็ยังปรากฏในงานเขียนของจักรพรรดิโรมัน มาร์คัส ออรีลิอัส (Marcus Aurelius) แม้จะไม่ได้ใช้คำนี้ตรง ๆ

    เอพิคทีตัสเกิดมาเป็นทาส แต่กลายเป็นนักปรัชญา เขาเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ภายนอกอยู่เหนือการควบคุมของเรา เราจึงควรยอมรับอย่างสงบ แต่เราก็รับผิดชอบต่อชีวิตของเราเอง

    เอพิคทีตัสเขียนว่า “จงอย่าแสวงหาทางที่สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างที่ท่านต้องการ แต่จงหวังว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นตามทางของมัน แล้วท่านจะเป็นสุข”

    amor fati จึงเป็นทัศนคติอย่างหนึ่งในการมองชีวิต มองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ทั้งสุขและทุกข์ เป็นสิ่งที่ดีแล้ว จึงโอบรับได้

    วินทร์ เลียววาริณ
    4-12-25

    0
    • 0 แชร์
    • 11
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    คุยเรื่องการเมืองโลกเครียดๆ มาหลายวัน เปลี่ยนมาคุยเรื่องเบาๆ ไกลตัวดีกว่า

    วันนี้มาทดสอบความรู้เรื่องดวงจันทร์หน่อย

    เราเห็นดวงจันทร์บนฟ้าบ่อยๆ รู้ขนาดมันไหมเมื่อเทียบกับโลก?

    คำถามคือ เส้นผ่าศูนย์กลางของดวงจันทร์กับความกว้างของทวีปออสเตรเลีย อย่างไหนกว้างกว่ากัน?

    ไม่ได้ถามพื้นที่รวมนะครับ ถามเรื่องความกว้าง

    ต่อไปนี้คือคำตอบ

    ...
    ...
    ...
    ...
    ...
    ...
    ...
    ...
    ...
    ...
    ...

    คำตอบคือถ้าวัดที่ความกว้าง ออสเตรเลียกว้างกว่า

    เส้นผ่าศูนย์กลางของดวงจันทร์ =  3,474 กม.

    ความกว้างของทวีปออสเตรเลีย = 4,000 กม.

    แต่ดวงจันทร์เป็นทรงกลม ดังนั้นจึงมีพื้นที่มากกว่า (38 ล้าน ตร.กม.)

    วินทร์ เลียววาริณ
    3-12-25

    0
    • 0 แชร์
    • 14
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    ผมชอบเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก สมัยนั้นโรงเรียนรัฐบาลไม่สอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ ป. 1 ผมเข้าโรงเรียนเอกชน จึงโชคดีได้เรียนตั้งแต่เด็ก โรงเรียนแสงทองมีครูฝรั่งหลายคน เน้นภาษาอังกฤษค่อนข้างมาก

    ผมเรียนภาษาอังกฤษจากครูบาทหลวงหลายปี มีอยู่ปีหนึ่ง ครูสอนเป็นคนไทย แกมัวแต่เล่าประสบการณ์ทางเซ็กซ์ ผลคือเทอมนั้นเราไม่ค่อยได้ความรู้ภาษาอังกฤษเพิ่ม แต่เอาเถอะ ได้ความรู้อีกเรื่องหนึ่ง!

    นอกจากเรียนในโรงเรียน พ่อยังสั่งให้ไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ  ครูสอนภาษาอังกฤษเป็นคนจีน ชื่อครูซิ้วหมิ่น ภาษาอังกฤษของแกเป็นที่เลื่องลือในหาดใหญ่ แกเปิดบ้านสอนภาษาอังกฤษอย่างเดียว สอนเป็นชั้น ในตอนหัวค่ำมีนักเรียนจำนวนมากไปเรียน

    ตำราที่ครูสอนคือ Oxford Progressive English for Adult Learners ของ A.S. Hornby ก็เรียนไปหลายเล่ม ผมพัฒนาภาษาอังกฤษจากสำนักครูซิ้วหมิ่นมาก เรียนมาหลายกระบวนท่า

    ทุกอาทิตย์ผมซื้อหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนมาอ่าน ชื่อ Student Weekly (ชื่อเดิม Kaleidoscope) ของ Bangkok Post คอลัมน์ที่ผมชอบคือเกม crossword ผมพัฒนาเรื่องคำศัพท์จากการเล่นปริศนาอักษรไขว้มากทีเดียว เพราะมันบังคับให้ต้องเปิดหาคำจากพจนานุกรม

    แต่พอไปถึงกรุงเทพฯ เข้าคณะสถาปัตย์ฯ จุฬาฯ ปรากฏว่าเห็นเพื่อนหลายคนพูดภาษาอังกฤษเป็นไฟ มารู้ทีหลังว่าเรียนอัสสัมฯบ้าง มาแตร์ฯบ้าง

    โห! กระบวนท่าที่เราเรียนมานี่สู้เด็กกรุงเทพฯไม่ได้เลย

    เพื่อนผมคนหนึ่งภาษาอังกฤษดี เขาฝึกโดยฟังเพลงฝรั่ง แกะคำเอา ผมเคยลองดู ก็ยากเหมือนกัน

    ตอนผมไปทำงานที่สิงคโปร์ปี 1980 ไปเรียนภาษาอังกฤษภาคค่ำ อาจารย์ก็ให้ฟังเพลง ของวง Air Supply แล้วถอดคำออกมา ปรากฏว่าแทบสอบตก ศิษย์สำนักสำนักครูซิ้วหมิ่นหมดความมั่นใจไปเลย

    ตอนที่อยู่สิงคโปร์ ดูหนังฝรั่งบ่อย หนังที่นั่นไม่มีซับไตเติลไทย มีแต่ซับไตเติลภาษาจีน ผมก็อ่านซับฯจีน!

    อ้าว! แล้วกัน อย่างนี้เมื่อไรจะเก่งเล่า!

    ครั้นไปเรียนและทำงานที่อเมริกา วันหนึ่งเพื่อนร่วมงานชื่อคีธทักผม "What's up?" ผมทำหน้างงๆ เขาหัวเราะ บอกว่า "ที่แท้ไม่เข้าใจ" แล้วอธิบายให้ฟัง

    วันหนึ่งเราไปสำรวจพื้นที่ก่อสร้าง พบหนังสือโป๊เล่มหนึ่งตกอยู่บนพื้น เขาหัวเราะบอกว่า "wet stuff" ผมพยักหน้า เฮ้ย! เรื่องนี้ไม่ต้องอธิบาย เข้าใจ! (ก็เรียนมาตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนเก่า!)

    ผมทำงานที่สำนักงานสถาปนิกที่นิวยอร์กร่วมปี วันหนึ่งเจ้านายอเมริกันพูดฟุดฟิดฟอไฟใส่ผมเป็นชุด ฟังไม่รู้เรื่อง แต่พยักหน้าหงึกๆ พอสิ้นอาทิตย์เขียนใบเบิกค่าเงินเดือน แกก็เรียกไปถามว่า ที่บอกว่าขึ้นเงินเดือนให้ ทำไมยังไม่ปรับ

    อ้าว! เพิ่งรู้ว่าขึ้นเงินเดือนให้

    ศิษย์สำนักสำนักครูซิ้วหมิ่นหมดความมั่นใจไปอีกรอบ

    โชคดีที่ผมชอบอ่านหนังสือ เมืองนอกมีหนังสือมือสองขายเยอะ นิยายไซไฟ หนังสือทางดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ก็อ่านและเรียนจากหนังสือพวกนี้ อีกอย่างได้พูดภาษาอังกฤษทุกวัน ผ่านไปหลายปี ภาษาก็ดีขึ้น ก็เรียนภาษาอังกฤษถูลู่ถูกังมาอย่างนี้

    กลับมาเมืองไทย ผมก็อ่านแต่หนังสือภาษาอังกฤษ ต่อเนื่องกันหลายปี ก็พัฒนาไปอีกขั้น

    ทุกอย่างคงอยู่ที่การฝึก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ละคนคงต้องหาวิธีที่ตนเองชอบ

    ภาษาอังกฤษสำคัญมาก ตะวันตกมีหนังสือจำนวนมากที่ไม่มีในไทย ไม่ทุกเล่มแปลเป็นไทย ดังนั้นหากสามารถอ่านตรงได้ จะช่วยพัฒนาสมอง ได้เปรียบกว่าคนอื่นที่อ่านวงแคบ

    คำแนะนำของผมคือ ไหนๆ เราไม่อาจหนีจากภาษานี้ได้ในชาตินี้ ก็เรียนให้ดีไปเลย จริงไหม?

    วินทร์ เลียววาริณ
    3 ดีเซ็มเบอร์ 2025

    1
    • 0 แชร์
    • 28