• วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    วันก่อนเล่าเรื่องพระแมทธิว (ชายผู้มีความสุขที่สุดในโลก) ค้างไว้ เล่าต่อดีกว่านะครับ ข้อเขียนชิ้นนี้ยาวมาก จึงต้องแยกหลายตอน

    ในปี 2007 มีการร่วมมือระหว่างพระทิเบต โดยการสนับสนุนของท่านทาไลลามะ กับนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งในสหรัฐฯซึ่งสนใจเรื่องผลของการทำสมาธิ ทำการวัดคลื่นสมองพระแปดรูปกับคนอเมริกันอีกสิบคนที่ไม่เคยฝึกทำสมาธิ วัดคลื่นแกมมาในสมองด้วยเครื่อง EEG

    คลื่นแกมมาเป็นคลื่นที่เกี่ยวกับสติสัมปชัญญะ ความจดจ่อ การเรียนรู้ และความทรงจำ

    นักวิทยาศาสตร์ทางประสาทวิทยา ริชาร์ด เดวิดสัน มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมืองเมดิสัน รัฐวิสคอนซิน บอกว่า เราสามารถวัดค่าความสัมพันธ์ระหว่างคอร์เท็กซ์ซีกซ้ายและขวา กิจกรรมในซีกซ้ายเกี่ยวข้องกับความรู้สึกที่ดี ส่วนซีกขวาเกี่ยวข้องกับความรู้สึกลบทั้งหลายและอาการซึมเศร้า

    ทีมงานติดเซ็นเซอร์ 256 ชิ้นที่กะโหลกศีรษะของแมทธิว แล้วสแกนสมองของเขาขณะที่เขากำลังทำสมาธิ พระฝรั่งผ่านการสแกนนานสามชั่วโมงต่อเนื่อง

    นักวิจัยตะลึงเมื่ออ่านผล

    ผลการสแกนพบว่า ขณะทำสมาธิ สมองของแมทธิวสร้างคลื่นแกมมาทะลุกราฟในระดับที่ไม่เคยพบมาก่อน

    จากระดับผลที่วัดจากอาสาสมัครจำนวนหลายร้อยคน ซึ่งได้ผลตั้งแต่ +0.3 ถึง -0.3 ผลสแกนของแมทธิวคือ -0.45 หลุดไกลจากกลุ่ม

    ผลสแกนสมองแมทธิวชี้ระดับกิจกรรมเข้มข้นที่เกิดขึ้นในสมองส่วน prefrontal cortex ซีกซ้าย แปลผลได้ว่า แมทธิวมีความรู้สึกด้านลบต่ำมาก เขามีศักยภาพที่จะมีความสุขมากกว่าคนปกติหลายเท่า

    สรุปว่าเท่าที่เคยมีการบันทึกมา แมทธิวเป็นเจ้าของสมองของคนที่มีความสุขที่สุดในโลก

    นักวิทยาศาสตร์ผู้ที่ศึกษาสมองของคนทำสมาธิบอกว่า “เราใช้เวลานานสิบสองปีค้นหาผลในระยะสั้นและยาวของการฝึกสมาธิ ที่มีต่อความจดจ่อ ความเมตตา และสมดุลของอารมณ์”

    นอกจากสแกนสมองของเขา นักวิทยาศาสตร์ยังสแกนสมองของพระอีกจำนวนหนึ่ง บางรูปฝึกสมาธิมานานห้าหมื่นครั้ง บางรูปฝึกสมาธิมานานสามสิบปี

    ผลคือคลื่นสมองของพระที่ฝึกสมาธิมานานทะลุกราฟเช่นกัน

    การทดสอบอีกอย่างหนึ่งคือให้ทั้งพระทั้งฆราวาสฟังเสียงรบกวน เช่น เสียงระเบิด เพื่อรบกวนสมาธิและกระตุ้นความรู้สึกเชิงลบ

    ผลคือพระที่ฝึกสมาธิมานานรับมือกับเสียงรบกวนได้สบาย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนฆราวาสสอบไม่ผ่านเลย

    เหตุผลเพราะพระที่ฝึกสมาธิมานาน สามารถปล่อยให้ความรู้สึกลบผ่านไป ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความโกรธหรือหงุดหงิด แต่สามารถปลดปล่อยความรู้สึกลบออกไปได้

    แมทธิวเชื่อว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะการทำสมาธิ

    เขาบอกว่าการทำสมาธิก็เหมือนกีฬายกน้ำหนักหรือการออกกำลังกายทางจิต ใคร ๆ ก็สามารถมีความสุขได้โดยฝึกสมอง

    สมองของคนเรามีคุณลักษณ์แบบ Neuroplasticity (หรือ neural plasticity) มีความยืดหยุ่น เราเปลี่ยนแปลงมันได้

    เขาว่าการทำสมาธิสามารถเปลี่ยนสมองและตัวตนของผู้ฝึกและใคร ๆ ก็ทำได้ โดยเรียนรู้วิธีเฝ้าดูความคิดล่องลอยไป

    (ท่อนหนึ่งจากบทความ ชายผู้มีความสุขที่สุดในโลก / หิน 15 ก้อนของ สตีฟ จ๊อบส์ / วินทร์ เลียววาริณ 

    0
    • 0 แชร์
    • 10
  • วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา
    0
    • 0 แชร์
    • 2
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    คุยเรื่องหนัง Civil War ต่ออีกหน่อย เรื่องกล้องถ่ายรูป

    ตัวละครคนหนึ่งในเรื่อง 'Jessie Cullen' เป็นช่างภาพสงครามรุ่นใหม่ เธอใช้กล้องถ่ายรูป Nikon FE2

    Nikon FE2 เป็นกล้อง single lens reflex (SLR) ออกมาในปี 1983 ผมจำได้ดีเพราะเป็นกล้องที่ผมเก็บเงินซื้อหลังจากทำงานในสิงคโปร์มาสามปี ราคาไม่ถูก แต่ถือว่าเป็นการให้รางวัลชีวิต

    อย่างที่ผมเล่าในหนังสือ ชีวิตที่ดี ผมสะพายกล้องถ่ายรูป Nikon FE2 ไปไหนมาไหนเสมอ นานหลายปี จนกระทั่งโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ถึงยุคที่หาฟิล์มทำยายาก  และร้านล้างฟิล์มเปลี่ยนไปขายส้มตำไก่ย่าง

    ดังนั้นเมื่อเห็นตัวละครใน Civil War แบกกล้องรุ่นนี้ถ่ายรูปสงครามในอเมริกา ก็ให้หวนระลึกถึงวันเวลาที่ผมแบก FE2 ไปถ่ายมุมมืดของเมืองนิวยอร์ก โรงหนังโป๊ถนน 42 กราฟิตีตามจุดต่างๆ ในเมือง รูปชีวิตผู้คน ฯลฯ ก่อนกลับเมืองไทย ก็แบก FE2 ไปถ่ายภาพชีวิตตอนเดินทางท่องอเมริกาจากฝั่งตะวันออกไปตะวันตก

    คำถามคือทำไมคนเขียนบทเลือกกล้องรุ่นนี้ให้ตัวละครในเรื่อง ทั้งที่กล้อง SLR รุ่นใหม่เป็นดิจิตัลหมดแล้ว

    อเล็็กซ์ การ์แลนด์ เป็นคนอังกฤษ จึงเป็นไปได้ที่เขาอยากแสดงภาพช่างภาพสงครามมืออาชีพชาวอังกฤษ คนหนึ่งที่เป็นตำนานคือ Don McCullin โด่งดังมากในยุค 60-70

    สงครามหลักของโลกยุคนั้นคือสงครามเวียดนาม กล้อง Nikon F series เป็นตัวเลือกแรกๆ ของช่างภาพสงคราม

    Don McCullin ใช้ Nikon F series ในสมรภูมิ และมันช่วยชีวิตเขาในปี 1968 เมื่อกล้องถ่ายรูปรับกระสุนแทนเขา

    ครั้งที่ผมแบก FE2 ถ่ายมุมมืดของนิวยอร์ก ก็เสียวๆ เหมือนกัน เพราะนิวยอร์กในยุค 80 มีคดียิงกันและจี้ชิงทรัพย์เกิดขึ้นแทบทุกชั่วโมง

    ไม่ได้กลัวตายหรอก กลัวถูกจี้ยึดเอากล้องไปมากกว่า

    มันแพง!

    วินทร์ เลียววาริณ
    30-4-24

    0
    • 0 แชร์
    • 15
  • วินทร์ เลียววาริณ
    2 วันที่ผ่านมา

    คนจีนมีเรื่องเล่าเก่าแก่เรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่าชายคนหนึ่งมีม้าตัวหนึ่ง มันสวยงามมาก หากขายไปก็จะได้ราคาสูง แต่เจ้าของไม่คิดจะขาย เก็บม้าไว้ในคอก

    วันหนึ่งม้าของเขาหายไปจากคอก เพื่อนบ้านรู้เข้า ก็มาแสดงความเสียใจ เขาเพียงยิ้ม กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรแน่นอน”

    เพื่อนบ้านรู้สึกแปลกใจที่เขารับข่าวร้ายได้ดีกว่าที่คิด เขาบอกว่า “อย่าเพิ่งมองว่าเป็นเคราะห์กรรมอะไร ก็แค่ม้าไม่อยู่ เพราะไม่มีใครรู้ว่าม้าหายไปเป็นเรื่องดีหรือเลวร้าย”

    ไม่กี่วันต่อมา ม้าของเขาหวนกลับมา พาม้าป่ากลับมาด้วยอีกสิบกว่าตัว เพื่อนบ้านรู้เข้า ก็มาแสดงความยินดี บอกว่า “ท่านโชคดีมาก อยู่ดี ๆ ก็ได้ม้าเพิ่มมาหนึ่งฝูง”

    เขาบอกว่า “ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรแน่นอน”

    วันหนึ่งลูกชายของเขาพยายามฝึกม้าป่าที่ได้มา เกิดอุบัติเหตุ ตกลงมาจากหลังม้า ขาหักทั้งสองข้าง ทำงานช่วยบิดาไม่ได้ เพื่อนบ้านรู้เข้า ก็มาแสดงความเสียใจ อีกครั้งเขาบอกว่า “ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรแน่นอน”

    ผ่านไปไม่กี่วัน เกิดสงครามระหว่างแคว้นขึ้น ทางการมาเกณฑ์ชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านไปรบ ชายหนุ่มทั้งหมู่บ้านถูกเกณฑ์ตัวไป แต่ทางการไม่เอาลูกชายขาหักของเขา ชายหนุ่มที่ไปรบส่วนใหญ่ไม่ได้กลับมา เพื่อนบ้านก็มาแสดงความยินดี เขาบอกว่า “ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรแน่นอน”

    ชายเจ้าของม้าเข้าใจสัจธรรมของโลกและชีวิต ใครเล่าจะสามารถรู้ว่าอะไรรอเราอยู่ในอนาคต ดังนั้นคิดมากไปไย ด่วนสรุปไปทำไม

    เรื่องดีและไม่ดีเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน มันอยู่คู่กัน ชีวิตขึ้นอยู่กับมุมมองและทัศนคติ

    มองลบชีวิตก็เป็นลบ มองบวก แม้ชีวิตอาจไม่ได้เป็นบวกเสมอไป แต่อย่างน้อยมันก็ไม่เป็นลบ

    ชีวิตมีทั้งโชคดีและเคราะห์ร้าย สิ่งที่เรียกว่าชะตาชีวิตเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง มันก็ขึ้นกับมุมมองของเรา เพราะชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน

    มีหลายเรื่องหลายเหตุการณ์ที่เรากำหนดไม่ได้ เพราะมันอยู่นอกวิสัยที่เราจะกำหนด แต่เราสามารถอยู่เหนืออารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากเหตุการณ์ได้ในระดับหนึ่ง

    ขณะที่เราดีใจ ก็ให้ระวังว่าในนาทีหน้าเราอาจเสียใจ ขณะที่เราเศร้าใจ ก็ให้ระลึกว่า บางทีนาทีหน้าเราอาจจะดีใจ

    ไม่มีอะไรในโลกมีเพียงด้านเดียว มุมเดียว

    นี่ก็คือทัศนคติที่มองเหตุการณ์ หรือสิ่งที่มากระทบเรา

    เหตุการณ์หรือเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ละเรื่องก็เป็นเหตุการณ์ มันเป็นเช่นนั้นเอง ส่วนที่เหลือ อยู่ที่การมองว่ามันเป็นอย่างไร หากมีทัศนคติเชิงลบ ก็มองเหตุการณ์นั้นว่าเป็นเคราะห์กรรม หากมีทัศนคติในเชิงบวก ก็จะมองว่ายังเร็วเกินไปที่จะบอกว่ามันเป็นเรื่องร้าย หรืออย่างน้อยก็มองว่า บางทีในเรื่องที่ดูเหมือนร้าย ก็อาจมีสิ่งดี ๆ ซ่อนอยู่

    การไม่ด่วนสรุปและตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่งทำให้เรามีโอกาสหรือเปิดช่องให้เราเลือกทางเดินเพิ่มขึ้น

    มันทำให้เราไม่ตีโพยตีพาย และมองว่ามันคือจุดจบของชีวิต และไม่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเรื่องดี

    ชีวิตดำเนินไปตามเหตุและปัจจัย มันเป็นเช่นนั้นเอง และการติดนิสัยตัดสินมัน อาจทำให้เราไม่มีความสุข เพราะมองแคบแค่จุดเดียว

    มีหลายสิ่งในโลกที่อยู่เกินความคาดคะเนของเรา ฝนตก พายุ ฟ้าร้อง ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว รถติด ไฟไหม้บ้าน สงคราม เศรษฐกิจพินาศ ฯลฯ บ่อยครั้งก็เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงและอยู่เหนือการควบคุมของเรา

    บางครั้งเราเชื่อว่าชีวิตเราดีมากแล้ว ทันใดนั้นก็อาจเกิดเหตุที่คาดไม่ถึง เช่น ตกงาน กลายเป็นคนทุพพลภาพ ฯลฯ เปลี่ยนชีวิตเรา บางครั้งจากหน้ามือเป็นหลังมือ

    ทางพุทธสอนเรื่องความไม่แน่นอนซึ่งเป็นหลักสำคัญ เราควรดำเนินชีวิตไปตามพุทธวจนะ ใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท เตรียม ‘ทางหนีไฟ’ แห่งชีวิตไว้บ้าง

    และถ้าเกิดเรื่องดีหรือไม่ดี ก็เข้าใจความไม่แน่นอนของชีวิต และสามารถเอ่ยประโยค “ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรแน่นอน”

    จากเรื่อง มากกว่าสามสิบสอง / วินทร์ เลียววาริณ

    0
    • 1 แชร์
    • 33
  • วินทร์ เลียววาริณ
    3 วันที่ผ่านมา

    วันก่อนผมรีวิวหนังเรื่อง Civil War หลายคนบอกว่าดูไม่สนุก

    ผมลืมบอกไปว่ามันเป็นหนังของค่าย A24

    หนังของ A24 ส่วนใหญ่ดูไม่สนุก แต่เป็นหนังที่มีคุณค่าทางศิลปะสูง

    หนังที่เพิ่งรีวิววันนี้ The Fall Guy สนุก แต่คะแนนไม่สูง ขณะที่ Civil War คะแนนสูง แต่ไม่ใช่หนังสนุก

    เพราะผมไม่ได้ให้คะแนนความสนุก ไม่ใช้ความสนุกวัดคุณค่างาน ใช้ความเป็นศิลปะและความคิดสร้างสรรค์วัด

    เข้าใจตรงกันนะ ก็เลือกดูหนังตามใจชอบ อย่าไปสนใจคะแนนของผมมากนัก มาตรวัดของแต่ละสำนัก แต่ละนักวิจารณ์ไม่เหมือนกัน

    กลับมาที่หนังของค่าย A24 หากเห็นตรา A24 ก็ให้เดาได้ว่า น่าจะเป็นหนังอาร์ต ถ่างสมอง แต่อย่าคาดหวังว่าจะสนุก

    A24 เป็นค่ายหนังอเมริกา เป็นเสาหลักของหนังอินดี้ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังหนังอย่าง Ex Machina, The Witch, Everything Everywhere All at Once, Talk to Me, The Whale ฯลฯ หนังทีวีเช่น Beef ฯลฯ

    A24 ทำงานกับผู้กำกับสายอาร์ตเป็นหลัก เช่น Darren Aronofsky, Alex Garland, Yorgos Lanthimos, Safdie brothers ฯลฯ

    A24 เชื่อว่าหนังดีก็มีกลุ่มของมัน จึงทำหนังที่เน้นคุณค่าทางศิลปะมากกว่าสูตรสำเร็จของฮอลลีวูด

    นายทุนหนังในบ้านเราหลายรายมีความเชื่อว่า หนังที่ไม่สนุกขายไม่ได้ "ไม่ตลาดพอ" ทำให้ผู้กำกับสายอินดี้ไม่ได้รับความสนับสนุนอย่างที่ควร หลายคนไปดังที่ต่างประเทศ แต่ในไทยไม่รู้จัก

    ถ้าเราไม่สร้างความหลากหลายของหนัง นิเวศหนังไทยในภาพรวมจะไปไม่รอด

    จุดนี้รัฐบาลช่วยได้ นี่ก็คือ soft power จริงๆ แต่มันใช้เวลาหยั่งรากนาน

    วินทร์ เลียววาริณ
    29-4-24

    0
    • 0 แชร์
    • 22