-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
โพสต์ตัวอย่างนิยายจีน เป่ย บางคนไม่รู้ที่มา อาจสงสัยว่า ทำไมอยู่ดีๆ นักเขียนไทยคนนี้จึงริเขียนนิยายจีน
ก็ขอเล่าซ้ำอีกครั้ง คนที่รู้แล้วก็ไม่ต้องอ่าน เสียเวลาซักผ้าเปล่าๆ
ที่มาของเรื่องนี้คือเมื่อปี 2547 ผมเขียนคอลัมน์ '-ำ' ในมติชนสุดสัปดาห์ ชื่อคอลัมน์ก็บอกแล้วว่าอำ อำเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปทั่ว
แต่เรื่องอำที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในยุทธภพก็คือเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้
ต่อไปนี้ก็คือคอลัมน์ '-ำ' ตอนแรก ............................................
เหง่ยคัง นักวิจารณ์ชาวจีนฟันธงว่า หากนักเขียนจีนไม่หาแนวทางใหม่ อีกไม่เกินสิบปีนิยายกำลังภายในก็จะถึงกาลอวสานแน่นอน
จนเมื่อต้นปีนี้ คออ่านระดับหนอนต่างก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อมีหนังสือใหม่สี่เล่มปรากฏโฉมในโลกหนังสือจีน
เป็นนวนิยายกำลังภายในชื่อสั้นๆ ว่า เป่ย (แปลว่า ทิศเหนือ) หนาน (ทิศใต้) ตง (ทิศตะวันออก) และ ซี (ทิศตะวันตก)
เมื่อวางตลาดในฮ่องกงและไต้หวัน เป่ย-หนาน-ตง-ซี ขายได้ทะลุหลักหนึ่งล้านเล่มในเวลาเพียงหนึ่งเดือนครึ่ง เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
มันเป็นนวนิยายเรื่องแรกของนักเขียนโนเนม นักเขียนคนนี้มีชื่อธรรมดาๆ ว่า เสี่ยวฟาง
เสี่ยวฟางผู้นี้เป็นเซลส์แมนขายเครื่องสำอาง ไม่เคยอ่านนิยายกำลังภายในมาก่อน วันหนึ่งเขาถูกไล่ออกจากงาน เดินจ๋องไปนั่งรอรถไฟใต้ดิน เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเขียนโดยโก้วเล้ง ที่ใครคนหนึ่งทิ้งไว้ที่ชานชาลามาอ่าน นั่งอ่านรวดเดียวจบ อ่านเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปเริ่มเขียนหนังสือนานเก้าเดือนเต็ม ได้ต้นฉบับมาสี่เรื่อง หลังจากนั้นก็หอบต้นฉบับไปขายตามสำนักพิมพ์ต่างๆ
ไม่มีใครสนใจงานชุดนี้เลย
จนกระทั่งสำนักพิมพ์ตงฟางที่ฮ่องกงยอมตีพิมพ์ให้เพราะบังเอิญบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ขับรถเฉี่ยวถูกนายเสี่ยวฟางเข้า จึงยอมพิมพ์ให้เพียงหนึ่งเรื่องแทนการชดใช้ค่าเสียหาย
เรื่องนี้ไม่น่าจะมีใครซื้อไปอ่านหรือดังขึ้นมาหากไม่ใช่เพราะนักจัดรายการวิทยุคนหนึ่งอ่านและชอบใจ จึงนำไปเล่าเรื่องทางอากาศ ผลก็คือคนแห่ไปซื้อหนังสือเล่มนี้ทันที
ยอดพิมพ์แรกสองพันเล่มแรกของ เป่ย หมดในพริบตา มีคนมาถามหาหนังสือเล่มนี้มากมาย ยอดพิมพ์ครั้งที่สองห้าพันเล่มหมดในเวลาสัปดาห์เดียว สำนักพิมพ์จึงรู้ว่าพบเพชรเม็ดงามโดยบังเอิญ
หลังจากนั้นก็รีบตีพิมพ์อีกสามเรื่องของเขาออกมาจนครบชุด
เป่ย-หนาน-ตง-ซี ทั้งสี่เล่มได้รับคำชมอย่างท่วมท้นจากนักวิจารณ์ทุกคน
กิมย้งบอกว่ามีคนส่งหนังสือสี่เล่มนี้ให้เขาอ่าน ทีแรกก็อ่านอย่างเสียไม่ได้ แต่ผ่านตาไปได้เพียงบทเดียวเขาก็เกิดอาการติดหนับ อ่านรวดเดียวจบ แล้วบอกว่า นึกไม่ถึงว่ากำลังภายในยังสามารถแตกหน่อต่อยอดออกไปได้ไกลเพียงนี้ และบอกว่าต่อไปนี้คงตายตาหลับที่รู้ว่านิยายกำลังภายในยังไม่ตาย
ทั้งสี่เล่มเป็นนวนิยายกำลังภายในที่มีวิธีการเขียนแตกต่างจากกำลังภายในแนวเดิมโดยสิ้นเชิง
ตัวละครเอกของเรื่อง เป่ย ชื่อ จางฝาน เป็นคนรับใช้ (เสี่ยวเอ้อ) ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง วันๆ เขามีหน้าที่ยกอาหาร ทำความสะอาดร้าน
จางฝานต่างจากเสี่ยวเอ้อคนอื่นๆ ตรงที่เป็นคนช่างสังเกต วันหนึ่งหลวงจีนจากวัดเสียวลิ้มองค์หนึ่งมาพักที่โรงเตี๊ยมนานสิบสองวัน
ค่ำวันหนึ่งขณะทำความสะอาดร้าน จางฝานพบลูกประคำที่หลวงจีนทำหล่น จึงนำไปคืนให้ที่ห้อง แต่พบว่าหลวงจีนเพิ่งจากไป
เขาดูลูกประคำเส้นนั้น เห็นว่าลูกที่ห้อยตรงกลางมีขนาดโตกว่าลูกอื่น เป็นแก้วใส แต่เมื่อเพ่งดูภายในลูกแก้วนั้น ก็พบสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกลุ่มควันในนั้นกำลังหมุน เมื่อยกมันขึ้นจะเห็นว่าลักษณะการหมุนนั้นไม่เป็นระเบียบ เมื่อวางมันลง กลุ่มควันในนั้นก็กลับมาหมุนเป็นวงรี
จางฝานถามตาแก่เขียนหนังสือจีนข้างโรงเตี๊ยม ตาแก่ซึ่งเคยเป็นครูในราชสำนักบอกว่า ลักษณะการหมุนดังที่จางฝานอธิบายดูคล้ายดาราจักร อย่างเช่นทางช้างเผือกของเรา
การทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อทำให้จางฝานมีเวลาว่างมากพอสมควร ทุกครั้งที่ว่างเขาก็หยิบลูกประคำนั้นมาเพ่งดูการหมุนของกลุ่มควันนั้น ผ่านไปไม่นานเขาก็ค้นพบความสัมพันธ์ของการหมุนที่ดูเหมือนไร้จังหวะ เขาลองขยับร่างแขนขาตามจังหวะการหมุนนั้น ก็รู้สึกว่าเลือดลมในร่างหมุนวนเป็นจังหวะเดียวกัน และทำให้เกิดความสบายร่างเป็นที่สุด
ตั้งแต่นั้นเขาผ่านเวลาว่างด้วยการเคลื่อนไหวร่างตามจังหวะการหมุน
วันหนึ่งอันธพาลสามคนเข้ามาพังร้านเพราะเจ้านายของจางฝานไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครอง จางฝานขวางหน้าอันธพาล และถูกทำร้าย ด้วยสัญชาตญาณเขาแกว่งมือไม้ตามจังหวะการหมุนของกลุ่มควันในลูกประคำ ปรากฏว่าคนร้ายทั้งสามถูกพลังฝ่ามือของเขาทำร้ายจนตายหมดในการหมุนมือเพียงครั้งเดียว
จางฝานตกใจ หนีจากสถานที่นั้น ออกไปเผชิญโชคในโลกยุทธจักรตามลำพัง ในเวลาเพียงหกเดือน เขาก็กลายเป็นจอมยุทธ์ที่ช่วยเหลือคนที่ถูกรังแกมากมาย ฉายา ฝ่ามือหมุน
ผ่านไปอีกไม่นาน จางฝานพบว่ามีพลังบางอย่างในร่างที่ผลักดันให้เขาต้องเดินทางไปสู่ทิศเหนือ กล่าวคือหากเขาเคลื่อนตัวไปทิศอื่น ร่างกายจะเจ็บปวดรวดร้าวเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงทั่วร่าง แต่เมื่อเดินทางไปทางเหนือ ร่างกายก็สบายอย่างที่สุด
จางฝานไม่มีทางเลือกนอกจากเดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ จนถึงแผ่นดินรกร้างกลางหิมะ และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เขาก็ต้องหยุดเดินทางโดยสิ้นเชิง เพราะเมื่อไม่ว่าจะก้าวไปทิศใด ร่างกายของเขาก็เปิดอาการเจ็บปวดแสนสาหัส
เขานอนนิ่ง ณ จุดนั้นสิบสองวันสิบสองคืน โดยไม่มีอาหาร ได้แต่เคลื่อนลมปราณไปตามจังหวะที่เรียนจากลูกประคำ
ในคืนที่สิบสองดาวเหนือปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาพอดี และ ณ ที่นั้นเขาก็พบกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง
เปลี่ยนอะไร เปลี่ยนอย่างไร บอกไม่ได้ ต้องไปอ่านเอาเอง
บอกใบ้ให้นิดหน่อยว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งทรงภูมิปัญญานอกโลก ที่เราชอบเรียกกันว่า มนุษย์ต่างดาว
ในตอนกลางเรื่อง เขาเรียนวิชาการต่อสู้จากมนุษย์ต่างดาว เนื่องจากโลกจริงเสมือนนั้นมีแรงโน้มถ่วงที่ 2G คือหนักกว่าโลกเราสองเท่า เมื่อเขาฝึกวิชาจากโลกนั้นสำเร็จ และออกมาผจญโลกภายนอก เขาจึงสามารถเคลื่อนร่างกายได้เร็วกว่าสองเท่า กระโดดลอยตัวได้สูงกว่าสองเท่า
ในเรื่อง เป่ย-หนาน-ตง-ซี ครบชุด จางฝาน ต้องเดินทางอย่างนี้สี่ครั้งสี่ทิศ จนพบการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายของเขาที่เกี่ยวข้องกับโลกและจักรวาล
หากฟังดูเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ละก็ ไม่ใช่ครับ เรื่องนี้เป็นกำลังภายในมากๆ เลยทีเดียว
ข่าวดีสำหรับหนอนเมืองไทยคือ น.นพรัตน์ กำลังขะมักเขม้นแปลเรื่องชุดนี้ออกเป็นภาษาไทย รออีกนิดคงได้อ่านกัน
หมายเหตุ : เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้ตอแหลทั้งสิ้น
(จบ '-ำ' ตอนแรกแค่นี้)
............................................
หลังจากเรื่องนี้ตีพิมพ์บนหน้ามติชนสุดสัปดาห์ ก็ปรากฏว่ามีผู้อ่านจำนวนมากไปหาซื้อ บางคนก็ไปถาม น.นพรัตน์ ว่าแปลเรื่องนี้เสร็จแล้วยัง เมื่อไรจะตีพิมพ์ สร้างความเดือดร้อนกับเขาโดยคาดไม่ถึง!
เช่นกัน ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา มีผู้อ่านถามผมเสมอว่า เมื่อไรจะเขียนนิยายชุดนี้จริงๆ เสียที เพื่อชดใช้บาปกรรมที่ไปอำคนไว้
ก็น่าสนใจและน่าทำนะ แต่เหตุผลที่ผมไม่ยอมเริ่มทำโครงการนี้สักทีคือมันเป็นโครงการที่จะกินแรงกายแรงสมองแรงใจมาก เพราะตั้งโจทย์ให้เขียนยาวสี่ภาค การอยู่รอดด้วยอาชีพนักเขียนในเมืองไทยต้องทำงานหลายอย่าง การทำงานยาวขนาดนี้แปลว่าต้องทิ้งงานอื่นหมด แล้วทำงานนี้อย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับนักเขียนที่ต้องผลิตงานหลายเล่มต่อปีเพื่ออยู่รอดจากการเขียนหนังสืออย่างเดียว
แต่เมื่อตัวเลขอายุเข้าใกล้เลข 7 ทุกที ผมก็ได้คิดว่า ถ้าไม่ทำตอนนี้ อีกไม่กี่ปี ก็คงไม่มีแรงเขียนชุดนี้แล้ว
ดังนั้นราวปลายปี 2563 ผมก็เริ่มต้นร่างเรื่อง งานชุดนี้เขียนตามขนบนิยายจีนกำลังภายในสาย ‘old school’ ของปรมาจารย์กิมย้ง ใช้วิธีการเล่าตามรอยโก้วเล้ง และแนวคิดไซไฟตามรอย ไอแซค อสิมอฟ
มันเป็นนิยายกำลังภายใน + นิยายอิงประวัติศาสตร์ + นิยายไซไฟ
ตอนนี้เขียนเสร็จไปแล้วหนึ่งภาค เหลืออีกสาม
จะจบก่อนตาย หรือตายก่อนจบ ขึ้นกับวาสนา
ทางแรกคือวาสนาของผู้อ่าน ทางหลังคือวาสนาของผู้เขียน
วินทร์ เลียววาริณ
25-9-660- แชร์
- 13
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
“องค์ชายเจินจินสิ้นพระชนม์ด้วยคมกระบี่ ใบกระบี่กว้างนิ้วครึ่ง หนาสามหุน แผลลึกเพียงถึงขั้วหัวใจ แม่นยำ มิตื้นไป ไม่ลึกไป เพียงแค่ปลิดพระชนม์ชีพเท่านั้น คนแทงเชี่ยวชาญการฆ่า มีความแม่นยำในการแทงกระบี่อย่างยิ่งยวด รอยแผลเล็ก จุดเดียว ขาดใจตาย ณ จุดที่ถูกกระบี่ เป็นความตายที่ไม่ทรมาน องค์ชายเจินจินทรงมิรู้ด้วยซ้ำไปว่าถูกทำร้าย ฆาตกรลงมืออย่างเฉียบพลันจนองค์ชายมิทันมีเวลาตกพระทัยหรือรู้ตัว มิมีร่องรอยของการบุกรุก ไร้รอยเท้าใด ๆ บนพื้นหิมะทั้งบนหลังคา ลาน และทางเดิน มิมีร่องรอยของการเข้าทางอื่น เนื่องจากห้องสมุดมีทางเข้าออกทางเดียว มีทหารแปดคนเฝ้าอยู่ นี่มิใช่อัตวินิบาตกรรม เพราะไม่มีกระบี่ในห้องนั้น อีกทั้งมิใช่การลงมือของทหารวัง เนื่องเพราะทหารแปดคนที่เฝ้าอยู่หน้าห้องสมุดมิได้พกกระบี่ พวกเขาพกดาบและหอกเท่านั้น...
“องค์ชายทรงใช้เวลาในห้องสมุดโดยลำพังสองชั่วยาม ดังนั้นฆาตกรจึงมีเวลาลงมือช่วงเวลาสองชั่วยามนั้น ทว่าจากบาดแผลกระบี่ ฆาตกรใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น จุดที่น่าสนใจคือใบไม้เขียวสดบนเสื้อ ใบไม้เปื้อนเลือดเล็กน้อย ทว่านี่เป็นฤดูหนาว จะหาใบไม้เขียวสดเพิ่งผลิเช่นนี้ได้จากที่ใดในแผ่นดิน...”
“เจ้าคลุกคลีในวงการนักสู้มานาน มีผู้ใดในวงการยุทธจักรสามารถกระทำเรื่องเช่นนี้?”
“มีจอมยุทธ์หลายคนที่อาจจะทำได้ แต่ข้าพระองค์นึกไม่ออกสักคนเดียวที่สามารถทำได้เช่นนี้...”
“หากเจ้าต้องรับหน้าที่ฆ่า เจ้าจะทำอย่างไร?”
“ในความคิดของข้าพระองค์ หากข้าฯต้องทำงานนี้ ก็คงลอบเข้ามาในวังโดยใช้วิชาตัวเบาไต่ยอดไม้ จึงมิทิ้งรองรอยบนพื้นที่คลุมด้วยหิมะ ข้าฯอาจใช้ยาบางอย่างทำให้ทหารยามทั้งแปดคนหมดสติชั่วคราว โดยที่เมื่อฟื้นแล้ว มิรู้ตัวเลยว่าต้องยา ข้าฯจะวางยาองค์รัชทายาทแล้วแทงในกระบี่เดียว องค์รัชทายาทจึงไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ ในการกระทำเช่นนี้ ข้าพระองค์จะต้องมีวิชาตัวเบาที่เหนือกว่าผู้ใดในแผ่นดิน ระดับท่านจางซานเฟิงแห่งสำนักอู่ตัง ฟงซื่อไฉ เจ้าสำนักวิหคเมฆ ผู้เฒ่าลอยน้ำแห่งซีหู หลิวสุ่ยเยี่ย จึงมิทิ้งรอยเท้าบนพื้นหิมะโดยรอบตึก ข้าพระองค์จะต้องมีฝีมือในการปรุงพิษชั้นเลิศ ระดับปรมาจารย์ถังไท่เตี่ยนแห่งตระกูลถัง หรือมีหนทางหายาพิษตระกูลถังมาได้ แต่ทอดสายตาทั่วยุทธจักร มิอาจหาคนที่มีความสามารถสามด้านในคนคนเดียว นั่นคือเชี่ยวชาญเรื่องยาพิษ วิชาตัวเบา และวิชากระบี่ระดับนี้ มิน่าจะเป็นไปได้ ข้าฯยังต้องมีวิธีปลูกต้นไม้ให้เบ่งบานเขียวขจีในฤดูหนาว”
จาก เป่ย / บทที่ 1 กระบี่ปริศนา / วินทร์ เลียววาริณ
0- แชร์
- 12
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
บทความเซนเมื่อวานนี้โยงไปถึงเรื่องการปรุงแต่ง วันนี้เราก็มาคุยเรื่องนี้หน่อย
การปรุงแต่งไม่ใช่เป็นเรื่องเซนอย่างเดียว มันเป็นหัวใจของพุทธด้วย
คำนี้ฟังดูเหมือนวิชาการ ดังนั้นอาจไม่มีทางใดที่จะเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าการยกตัวอย่าง
พระไพศาล วิสาโล เขียนหนังสือ ลำธารริมลานธรรม ว่า หลวงพ่อชา สุภทฺโท เป็นพระป่าในภาคอีสาน ครั้งหนึ่งชาวบ้านจัดงานฉลองนานสามวันสามคืน ในงานจัดมหรสพเปิดเสียงดังมาก เสียงข้ามไปถึงวัดป่าที่อยู่ห่างไปหนึ่งกิโลเมตร เสียงดนตรีรบกวนทั้งคืน พระทั้งวัดนอนแทบไม่ได้
พระในวัดขอร้องผู้ใหญ่บ้าน ให้มหรสพยุติตอนตีหนึ่ง พระจะได้มีเวลาหลับบ้าง เนื่องจากต้องลุกขึ้นมาทำวัตรตอนตีสาม ผู้ใหญ่บ้านปฏิเสธ พระในวัดจึงไปหาหลวงพ่อชา ขอให้ท่านช่วยไปบอกชาวบ้านให้หรี่เสียงลง ด้วยบารมีของหลวงพ่อ ชาวบ้านคงจะทำตาม
หลวงพ่อกลับบอกว่า “เสียงไม่ได้รบกวนท่าน ท่านต่างหากที่รบกวนเสียง”
คำพูดนี้ทำให้พระทั้งหลายได้คิด เสียงเป็นแค่เสียง ดังเพียงไรก็ไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ หากเราปล่อยวางมัน ไม่ปรุงแต่งเป็นทุกข์
สามวันสามคืนนั้น เสียงมหรสพยังดังอยู่ แต่มันไม่รบกวนใจพระในวัดอีกต่อไป
ครั้งหนึ่งหลวงปู่บุดดา ถาวโร รับนิมนต์ไปฉันเพลที่บ้านโยมคนหนึ่งในกรุงเทพฯ หลังจากฉันเสร็จแล้ว เจ้าของบ้านเชิญท่านไปเอนกายพักก่อนเดินทางกลับวัดที่สิงห์บุรี เนื่องจากเห็นว่าท่านเดินทางมาเหนื่อย
ขณะเอนนอน ก็ได้ยินเสียงเกี๊ยะกระทบพื้นดังมาจากข้างบ้านซึ่งเป็นร้านขายของ เสียงคนเดินลากเกี๊ยะนั้นทำให้ศิษย์คนหนึ่งรำคาญบ่นเสียงดังขึ้นมา
หลวงปู่ผู้นอนหลับตาอยู่จึงกล่าวเตือนศิษย์ว่า “เขาเดินของเขาอยู่ดี ๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง”
เมื่อครั้งที่หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ ป่วยหนักเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการหนักจนต้องรักษาในห้องไอซียู เพราะก้อนมะเร็งทำให้คอบวมเกือบเท่าหน้า และกดหลอดลมจนหายใจไม่สะดวก แต่หลวงพ่อกลับไม่แสดงอาการทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
ท่านบอกว่า “อาการเอาไว้ดู ไม่ได้เอาไว้เป็น”
นั่นคือมีสติรู้กายรู้ใจ หรือ “เห็น อย่าเข้าไปเป็น”
เพราะความทุกข์เกิดจากความคิด ปรุงแต่งเป็นทุกข์ เมื่อไม่ปรุงแต่งเสียอย่าง ก็ไม่เกิดทุกข์
ครั้งหนึ่งมีคนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม?"
หลวงปู่ตอบว่า “มี แต่ไม่เอา”
ไม่เฉพาะเรื่องทุกข์ที่เราปรุงแต่งขึ้นมา เรื่องสุขก็เช่นกัน
คนส่วนมากมีความสุขตอนมีคนรัก แล้วปรุงแต่งว่าความรักทำให้มีความสุข
“ผู้หญิงคนนี้ทำให้ผมมีความสุข”
ที่ถูกน่าจะเป็น “ผู้หญิงคนนี้ทำให้ผมปรุงแต่งว่าผมมีความสุข”
ถ้าเราเป็นทุกข์ ก็เพราะเราทำตัวเอง จิตเราปรุงแต่งเป็นทุกข์เอง ถ้าเราเป็นสุข ก็เพราะเราปรงแต่งเป็นสุขเอง ไม่ใช่ใครหรืออะไรทำให้เราสุข
เมื่อเรารู้แล้วว่าความรู้สึกทั้งหลายมาจากการปรุงแต่ง ก็อาจช่วยลดการปรุงแต่งให้จิตหวั่นไหวลง เมื่อใจสงบลง ชีวิตก็นิ่งขึ้น
เราหนีความคิดไม่ได้ แต่เราอาจเลี่ยงการปรุงแต่งความคิดนั้นๆ เป็นความรู้สึกได้
มีแต่ไม่ปรุง มีแต่ไม่เอา
วินทร์ เลียววาริณ
25-9-660- แชร์
- 13
-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
ในการเขียนนวนิยายชุด เป่ย หนาน ตง ซี ผมรำลึกถึงวันคืนดีๆ ในอดีตที่อ่านนิยายกำลังภายในอย่างมีความสุข ดังนั้นสำนวนภาษาที่ใช้ก็ย่อมเป็นส่วนผสมของสองนักแปลที่ครองตลาดในยุคนั้น
ว. ณ เมืองลุง แอนด์ น. นพรัตน์
ความจริง น. นพรัตน์ เป็นสองคนพี่น้อง แต่ถือว่าเป็นคนเดียว
ตอนที่ ว. ณ เมืองลุง แปลเรื่องแรกคือ กระบี่ล้างแค้น ผลงานของอ้อเล้งเซ็ง สำนวนของเขาแหวกโลกมาก
ที่แหวกที่สุดคือสรรพนาม 'เขา' ท่าน ว. แปลว่า 'มัน'
"มันชักกระบี่ขึ้นมา"
"มันมองคนรักของมันตาย และรู้สึกปวดร้าวใจยิ่ง"
ฯลฯ
ครูภาษาไทยคงปวดหัว หากนักเรียนใช้มันแบบนี้ คงไม่มันด้วย
นั่นคือเอกลักษณ์หนึ่งของการแปลจีนเป็นไทย
ผมก็โตมากับสำนวนแบบนี้ จนภายหลังเข้าใจว่า น. นพรัตน์ เปลี่ยนจาก 'มัน' เป็น 'เขา' หมดแล้ว
ก็ลังเลว่าจะใช้มันหรือเขาดี
เพราะถ้ามีฉาก He eats potatoes. ก็ต้องเขียนว่า "มันกินมัน"
หรือมีฉากจอมยุทธ์ใช้หัวมันเป็นอาวุธฆ่าคน ก็อาจต้องเป็น "มันถูกศัตรูคว้ามันขว้างหัวมันจนมันรู้สึกมึนหัวหมุน"
"มันใส่มันลงในน้ำมันเดือด เมื่อมันสุก มันก็กินมันอย่างมูมมาม"
อีกเรื่องคือ ถ้าแปลแบบ ว. ณ เมืองลุง ก็ต้องใช้แต้จิ๋ว ถ้าใช้แต้จิ๋วนี่เรื่องใหญ่เลย เพราะความรู้ภาษาแต้จิ๋วของผมมันจิ๋วกว่าจิ๋ว
เอาเป็นจีนกลางก็แล้วกัน ตรวจสอบง่ายหน่อย
เฮ้อ! เรื่องมากจริงๆ ยังเขียนไม่ถึงครึ่งเรื่อง ปัญหาเยอะ
นี่กำลังหาข้ออ้างไม่เขียนใช้มั้ยล่ะ เดี๋ยวเอาหัวมันขว้างหัวมันให้มันไปเลย
วินทร์ เลียววาริณ
24-9-660- แชร์
- 16
-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
ภาษาท่อนนี้คือภาษาโก้วเล้งชัดๆ ในเรื่อง ดาบจอมภพ ตัวเอกก็เดินทุกก้าวเป๊ะ แบบวัดด้วยไม้บรรทัด ผู้น้อยขอคารวะอาจารย์ด้วยงานชิ้นนี้
0- แชร์
- 7
