-
วินทร์ เลียววาริณ1 ปีที่ผ่านมา
คำแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ต่อรัฐสภาเมื่อวันก่อน มีประโยค "ประเทศไทยเปรียบเสมือนคนป่วย" ซึ่งทำให้ "ภาวะเศรษฐกิจถดถอย" (ซึ่งทำให้ต้องแจกเงิน)
น่าจะจับคนเขียนบทมาตีมือ เพราะตัวเลขล่าสุดบอกว่า เงินบาทของเราแข็งแกร่งในปฐพี เป็น Top 10 ของโลก เงินสำรองของเราก็มากเกินจะเรียกตัวเองว่า 'คนป่วย'
เปรียบเทียบกับเศรษฐกิจไทยยุค 'ต้มยำกุ้ง' ที่คนไทยไม่น้อยฆ่าตัวตายเพราะธุรกิจล้มเป็นโดมิโน เศรษฐกิจของเราวันนี้ยังไม่น่าจะใกล้คำว่า 'ถดถอย'
แต่ก็เข้าใจบรี๊ฟที่คนเขียนคำแถลงการณ์ได้รับ เพราะทุกครั้งที่เปลี่ยนรัฐบาล ก็จำเป็นต้องเขียนบทว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเลวร้ายสุดทนทาน ต้องรื้อหมด ในกรณีนี้ก็ต้องหาเหตุผลเพื่อแจกเงิน
ก็เข้าใจว่าเป็นงานเขียนตามโจทย์
ทำให้นึกถึง ตันหลิม แห่ง สามก๊ก
ตันหลิมเป็นนักเขียนบท ทำงานรับใช้อ้วนเสี้ยว เพื่อนเก่าที่กลายเป็นศัตรูของโจโฉ
ตอนนั้นโจโฉป่วยด้วยโรคปวดหัว นอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นกลางดึก หมอให้ยาหลายขนาน ทว่าไม่ดีขึ้น เขาเปลี่ยนหมอครั้งแล้วครั้งเล่า ก็มิได้ผล
สงครามระหว่างเขากับอ้วนเสี้ยวกำลังจะเริ่ม เขาต้องการหายจากอาการปวดหัวนี้โดยเร็ว เขามิต้องการเข้าสู่สมรภูมิด้วยความคิดไม่แจ่มใส มองภาพไม่ชัดแจ้ง
วันหนึ่งมีหนังสือจากอ้วนเสี้ยวถึงโจโฉ ข้อความว่า
“คำนับมายังท่านโจโฉ
เราสองต่างรู้ว่าสงครามเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่พ้น เราสองเป็นเพื่อนกันมาก่อน ข้าพเจ้าจึงเห็นควรเขียนหนังสือถึงท่าน เพื่อชี้ทางให้ท่านเห็นว่าท่านสมควรถอยทัพ
สมัยเป็นหนุ่มเราเรียนด้วยกัน ทำงานเป็นทหารเช่นกัน รับใช้เจ้านายคนเดียวกัน ทั้งที่ข้าพเจ้ามีชาติตระกูลสูงส่งดุจพญาหงส์ ท่านมาจากตระกูลต่ำต้อยกว่าหนอน มาพิจารณาในยามนี้ ข้าพเจ้านึกมิออกว่าตนเองเกลือกกลั้วกับหนอนสกปรกเช่นท่านได้อย่างไร ท่านต่ำต้อยจนแม้กระทั่งท่านมิยอมใช้แซ่จริงของท่าน สายเลือดของท่านแซ่แฮหัว แต่ท่านใช้แซ่โจ เรื่องนี้บิดเพี้ยนมาตั้งแต่สมัยบิดาท่าน บิดาท่านคือโจโก๋ เป็นบุตรบุญธรรมของขันทีโจเท้ง โจโก๋เป็นคนสกุลแฮหัว ถือโอกาสเปลี่ยนไปใช้แซ่โจตามบิดาบุญธรรม เพราะดูถูกแม้แต่สายเลือดตัวเอง...
“ท่านมีนิสัยขี้โกงมาตั้งแต่เด็ก ข้าฯจับได้หลายหน จนในที่สุดก็ปล่อยเลยตามเลย เนื่องเพราะสันดานขี้โกงของท่านฝังรากลึก แก้ไม่ได้ อันแม่น้ำสามารถเปลี่ยนทิศได้ ขุนเขาเปลี่ยนแปรรูปได้ แต่สันดานของตระกูลท่านนั้นยากแท้แก้ไข สันดานฉ้อโกงนี้สืบทอดมาจากบิดาท่าน ซึ่งสืบทอดมาจากปู่ของท่าน และจากทวดของท่าน และบรรพบุรุษขี้โกงของท่าน นี่ย่อมเป็นตระกูลคนขี้โกง ฝังในสันดานมาตั้งแต่บรรพบุรุษหลายสิบชั่วคน บัดซบมาตั้งแต่ต้น...
“สมัยที่ท่านร่วมปราบกบฏโจรโพกผ้าเหลือง ต้องอาศัยข้าฯช่วยสนับสนุน เพราะเบื้องสูงเห็นว่าท่านไร้ค่า หลังปราบโจรโพกผ้าเหลือง ข้าฯต้องขอเบื้องสูงให้เลื่อนตำแหน่งท่าน เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าในการรบ ท่านมัวแต่เมาหลับในหน้าที่ ไม่ออกรบ...
“ขณะที่ทหารคนอื่นล้มตาย ท่านกลับหลบซ่อนอยู่ในส้วม ท่านยอมขลุกกับอาจมดีกว่าสู้ศัตรู นี่ก็ย่อมเป็นสันดานของท่านอีกเช่นกัน ซึ่งสืบสายมาจากบิดา ปู่ ทวด และบรรพบุรุษบัดซบของท่าน...
“ท่านคิดลอบสังหารตั๋งโต๊ะ แต่เพียงเห็นเงาร่างของเขา ท่านก็มือสั่น ทำมีดหล่น บ้านเมืองฉิบหายก็เพราะท่าน ก็จะโทษผู้ใดไม่ได้ นอกจากบิดาท่านที่ให้กำเนิดคนขี้ขลาดเช่นท่าน มันเป็นสายเลือดชั่วที่สืบต่อมาจากบรรพบุรุษของท่าน...”
สีหน้าโจโฉเข้มขึ้นเรื่อย ๆ
“ระหว่างหลบหนีท่านถูกจับ ท่านใช้วาจาหลอกลวงจนตันก๋งเจ้าเมืองจงพวนหลงเชื่อ ขอร่วมเดินทางไปกับท่านด้วย ท่านไปหาแปะเฉีย ผู้เตรียมอาหารและสุราเลี้ยงท่าน พวกเขาเตรียมฆ่าสุกรเลี้ยงท่าน แทนที่ท่านจะตอบแทนคุณ ท่านกลับสังหารแปะเฉียและคนในครอบครัวอย่างโหดเหี้ยม ย่อมเป็นสายเลือดบัดซบของท่านนั่นเอง ท่านสังหารได้แม้แต่ผู้มีพระคุณย่อมเลวยิ่งกว่าตั๋งโต๊ะ หากตั๋งโต๊ะยังมีชีวิตอยู่ คงต้องเรียนวิชาบัดซบเหล่านี้จากท่าน และเรียกท่านเป็นบิดา...”
“ต่อมาท่านซมซานมาขอร้องข้าพเจ้าให้ช่วยรวมหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อปราบตั๋งโต๊ะ รวมกันได้สิบแปดหัวเมือง ครั้นเกิดศึกขึ้นจริง ท่านกลับยกทัพหนีกลับบ้าน เพราะความขี้ขลาด เจ้าลูกเต่า บิดามารดามิสั่งสอน จะโทษบิดามารดาก็มิได้ เพราะบิดามารดาท่านโง่เง่าบัดซบพอกับท่าน ไม่เคยใฝ่หาความรู้ วัน ๆ ช่างมารดามันเถอะ ข้าพเจ้าคร้านจะสาธยายความชั่วร้ายโง่เง่าบัดซบของท่าน ใช้กระดาษเท่าผืนแผ่นดินก็จารึกความบัดซบของท่านมิหมด...”
“บัดนี้ท่านลืมคุณข้าฯ คิดจะยกทัพมาตีข้าฯ ข้ามิใช่คนโง่บัดซบเช่นตระกูลท่าน เรามีกำลังคนมากมายรอท่านอยู่ อีกไม่นานท่านก็จะได้ไปพบแปะเฉียและคนอื่น ๆ ที่ท่านฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ทว่าครานี้ท่านมิต้องเตรียมคำพูดไปหลอกลวงพวกเขาอีก ด้วยว่าก่อนท่านตาย ข้าพเจ้าจะสั่งตัดลิ้นท่านออก”
สีหน้าโจโฉแดงเข้ม โกรธจนตัวสั่น บอกทหารคนสนิท “ไปตามตัวกุยแกมา”
ไม่ช้านานกุยแกก็ปรากฏตัว เขายื่นจดหมายให้กุยแกอ่าน
“สืบให้รู้ว่าใครเป็นผู้เขียนหนังสือฉบับนี้”
กุยแกตอบทันที “ผู้เขียนคือตันหลิม เขาเป็นอาลักษณ์ที่เก่งที่สุดแห่งกิจิ๋ว เป็นปราชญ์ที่อ้วนเสี้ยววางใจ”
“ปราชญ์บัดซบ! เจ้าลูกเต่าบัดซบ! ที่แท้เป็นมันผู้นี้นี่เอง ข้าฯเคยพบมัน มันเคยทำงานให้โฮจิ๋น มันเคยเตือนโฮจิ๋นมิให้เรียกตั๋งโต๊ะเข้ามาที่เมืองลกเอี๋ยง แต่โฮจิ๋นไม่ฟัง มันยังเป็นคนเตือนโฮจิ๋นมิให้เข้าวัง แต่โฮจิ๋นไม่ฟัง จึงถูกฆ่าตาย ข้าฯเพิ่งรู้ว่ามันไปทำงานให้อ้วนเสี้ยว มันเขียนด่าข้าฯได้เจ็บปวดยิ่ง ถ้าจับตัวได้ จะตัดหัว แล่เนื้อทาเกลือ แต่ต้องตัดมือของมันก่อน...”
โจโฉหยุดพูด นัยน์ตาเป็นประกาย “อาการปวดหัวของข้าฯหายแล้ว”
โจโฉหัวเราะ หนังสือทำให้เขาโกรธจัดจนอาการปวดหัวหายไปเช่นปลิดทิ้ง
..............
ศึกกัวต๋อยุติพร้อมความพินาศของกองทัพอ้วนเสี้ยว และการจับเชลยหลายคน
ทหารคนสนิทรายงานว่า “เราจับตัวตันหลิมได้”
โจโฉหัวเราะ “พามันมาเดี๋ยวนี้ ได้เวลาคิดบัญชีมันแล้ว”
ทหารลากตัวเชลยอาลักษณ์เข้ามา มือและเท้าผูกด้วยโซ่ตรวน
“ที่แท้ก็คือเจ้าลูกเต่าตันหลิม ปราชญ์เอกของเรานั่นเอง”
โจโฉยื่นจดหมายฉบับนั้นให้ตันหลิมดู “นี่เป็นจดหมายที่ข้าฯเก็บไว้ ท่านเขียนจดหมายฉบับนี้ใช่หรือไม่?”
ตันหลิมตอบว่า “ใช่ ข้าพเจ้าเป็นผู้เขียนเอง”
“ไยท่านเขียนด่าข้าฯรุนแรงเช่นนี้? ท่านกับข้าฯมิได้มีเรื่องหมองใจกัน ข้าฯมิเคยทำร้ายท่าน บรรพบุรษของข้าฯก็มิได้เกี่ยวข้องกับท่าน ไยท่านด่าลามไปถึงบรรพบุรุษของข้าฯ?”
ตันหลิมกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ข้าพเจ้าเชี่ยวชาญการเขียนหนังสือ จนได้รับการแต่งตั้งเป็นอาลักษณ์ ท่านอ้วนเสี้ยวสั่งให้ข้าฯเขียนหนังสือที่ทำให้ท่านเจ็บปวดจนกระอักเลือด ทำให้ท่านโกรธจัดจนคิดไม่ออก สมองไม่แจ่มใส เพื่อที่ท่านจะได้ทำการพลาด ข้าพเจ้าก็ถือนี่เป็นหน้าที่ที่ต้องบรรลุ ข้าฯจึงใช้ความรู้ความสามารถทั้งมวลเขียนข้อความเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น ท่านอ้วนเสี้ยวเลี้ยงดูครอบครัวข้าพเจ้าดียิ่ง ข้าพเจ้าย่อมทำงานสุดกำลัง อีกประการ นี่คือสงคราม เมื่อง้างธนู ก็ต้องง้างสุดทาง และยิงให้สุดกำลัง”
สีหน้าโจโฉขมึงทึง นัยน์ตาฉายประกายวาว พลันโพล่งหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“ท่านเป็นคนใช้การได้ จงมาทำงานกับข้าฯเถิด ข้าฯชอบคนที่ทำงานเต็มที่เช่นนี้”
ตันหลิมแก่ตายเพราะโรคภัย มิได้ถูกประหาร ตลอดชีวิตเขาสร้างงานเขียนดี ๆ มากมาย ต่อมาพระเจ้าโจผีทรงแต่งตั้งให้ตันหลิมเป็นหนึ่งในเจ็ดกวีเอกแห่งยุคเจี้ยนอัน
.
จากเรื่อง สามก๊ก ฉบับ วินทร์ เลียววาริณ / มีจำหน่ายในเว็บไซต์ winbookclub.com / และ สามก๊ก ในชุดโปรโมชั่นรวมมิตร (R1-R2) มีจำหน่ายทั้งในเว็บและ Shopee (ค้นคำ namol113)
0- แชร์
- 131
-
คุยเรื่องการเมืองเครียดๆ มาหลายวัน แม้แต่เรื่องขำๆ ก็ยังเครียด
มาคุยเรื่องดาราศาสตร์ดีกว่า
ในวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา โลกเราเปิดตัวกล้องโทรทรรศน์อันใหม่ชื่อ The Vera C. Rubin Observatory ตั้งบนยอดเขาแห่งหนึ่งที่ชิลี ใช้เวลาสร้างสิบปี
การเปิดกล้องตัวใหม่อาจไม่ตื่นเต้นเท่าเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ แต่มันมีความสำคัญอย่างยิ่ง เท่าที่เห็นภาพที่ปล่อยออกมาจาก Vera C. Rubin Observatory ในอาทิตย์นี้ ก็น่าตื่นเต้นยิ่งนัก ในเมื่อมันเป็นกล้องโทรทรรศน์บนโลก ไม่ใช่ในอวกาศ
สถานีนี้ตั้งตามชื่อนักดาราศาสตร์หญิงคนหนึ่ง คือ Vera Rubin
ในสมัยก่อน นักดาราศาสตร์หญิงไม่ได้การยอมรับ ทั้งที่เก่งๆ หลายคน หลายคนคิดและค้นพบสิ่งใหม่ๆ
วีรา รูบิน เป็นคนแรกๆ ที่ค้นคว้าเรื่องการหมุนของดาราจักร ถือว่าเป็นการค้นพบครั้งสำคัญในวงการ แต่ก็เช่นเดียวกับนักดาราศาสตร์หญิงอื่นๆ กว่าจะเป็นที่ยอมรับ ก็กินเวลานาน การตั้งชื่อเธอเป็นชื่อกล้องโทรทรรศน์ที่ดีที่สุดของโลกเวลานี้ ก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติและยอมรับเธอร้อยเปอร์เซ็นต์
ข่าวนี้อาจจะดูเหมือนไกลตัว แต่น่าจะรกสมองน้อยกว่าข่าวการเมืองนะครับ
วินทร์ เลียววาริณ
3-7-250 วันที่ผ่านมา -
ในหนังเรื่อง World War Z ทั่วโลกถูกโรคระบาดซอมบี้กลืนกิน เมืองแล้วเมืองเล่าในโลกตกเป็นของพวกซอมบี้ ตัวเอกกับครอบครัวหนีจากฝูงซอมบี้ได้อย่างหวุดหวิด และได้รับความช่วยเหลือไปอยู่ในเรือบัญชาการลำหนึ่งซึ่งกำลังปฏิบัติการแก้ปัญหาซอมบี้
ขณะที่เมืองส่วนใหญ่ถูกพวกซอมบี้ยึดครอง คนที่ยังเป็นปกติก็ต้องหนีหรือหลบซ่อนตัว เรือบัญชาการเป็นสถานที่ปลอดภัยจากซอมบี้ ผู้บัญชาการเรือขอให้ตัวเอกไปทำงานอย่างหนึ่งให้รัฐ เขาปฏิเสธ
ผู้บัญชาการจึงบอกว่า ทุกคนที่อยู่บนเรือเป็นพวก ‘essential’ ถ้าไม่มีส่วนช่วยการทำงาน ก็อยู่บนเรือลำนี้ไม่ได้
essential แปลว่าสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง หรือสำคัญ
ถ้าไม่สำคัญต่อเหตุการณ์หรือสถานการณ์หนึ่ง ๆ ก็เรียกว่า ‘non-essential’
ช่วงแรก ๆ ที่โรคโควิด-19 ระบาด ขณะที่ประเทศต่าง ๆ ปิดพรมแดน หลายรัฐกลับยอมให้บุคคลบางประเภทเดินทางเข้าออกได้ เช่น แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เหตุผลคือเป็นกลุ่มที่ ‘essential’
หลายประเทศปิดสถานที่ที่ไม่ ‘essential’ ต่อชีวิต เช่น ศูนย์การค้า โรงหนัง ร้านกาแฟ ยกเว้นสถานที่ ‘essential’ เช่น ร้านขายยา ซูเปอร์มาร์เก็ต
บางทีมันเป็นโอกาสดีที่จะพิจารณาว่า มีอะไรบ้างในชีวิตเราที่ ‘essential’ อะไรไม่เป็น
นักเรียนรุ่นก่อนท่องจำมาแต่เด็กว่า ปัจจัย 4 ของมนุษย์คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค
มาถึงวันนี้บางคนอาจรวมสมาร์ทโฟนเป็นปัจจัยที่ 5 เพราะบางคนเห็นว่าชีวิตไร้ค่าถ้าไม่มีสมาร์ทโฟน
แต่สี่ปัจจัยหลักที่สำคัญต่อการดำรงชีพก็ยังมีระดับของความเป็น ‘essential’ ต่างกัน
รถยนต์สำหรับคนคนหนึ่งเป็น‘essential’เพราะบ้านอยู่ไกลจากที่ทำงานมาก มันเป็นความจำเป็นจริง ๆ สำหรับอีกคนหนึ่ง อาจไม่ใช่
แม้แต่เสื้อผ้า ก็มีระดับ ‘essential’ต่างกัน บางคนมี 2-3 ชุดก็อยู่ได้ บางคนมี 100-200 ชุด
บางคนใช้รองเท้าทีละคู่ ทั้งชีวิตใช้เพียงไม่กี่คู่ ขณะที่อีกคนมีรองเท้าสามพันคู่
จำนวนเสื้อผ้า รองเท้า หรือบ้าน ฯลฯ มากหรือน้อย ย่อมไม่ใช่ประเด็นผิดถูก มันขึ้นอยู่กับ ‘มาตรวัดความจำเป็น’ ของแต่ละคน คนบางอาชีพอาจจำเป็นต้องมีเสื้อผ้ามากกว่าคนทั่วไป
เมืองไทยในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเดือดร้อนกันทั่วหน้า ปัจจัย 4 ขาดแคลนอย่างหนัก ก็อยู่กันมาได้ ดังนั้นพิจารณาให้ดี มองให้ลึก เราอาจพบว่าท้ายที่สุดแล้ว เรามีสิ่งของเป็น ‘essential’ จริง ๆ ไม่มากนัก
ข้าวของ สมบัติพัสถานในชีวิตก็เช่นกัน มันเป็น ‘essential’ หรือไม่เป็นขึ้นกับสถานการณ์ มุมมอง ทัศนคติ และวิถีชีวิตแต่ละคน
คนที่มีมาตรวัดความจำเป็นต่ำ ชีวิตก็ไม่รุ่มร่าม เวลาจากโลกไป ก็ไม่ต้องเสียเวลาตัดใจนานนัก
ความมากความน้อยของแต่ละคนต่างกัน สำหรับคนที่ชอบชีวิตแบบพอเพียง อาจรู้สึกว่าปล่อยวางเรื่องต่าง ๆ ง่ายกว่า หรือมีความสุขได้ง่ายกว่า เพราะมีข้อแม้ในชีวิตน้อยกว่า
เวลาวิกฤติช่วยสอนเราให้รู้ว่า อะไรเป็นสิ่ง ‘essential’ จริง ๆ
บางครั้งวิกฤติและภยันตรายก็เป็น ‘essential’ อย่างหนึ่งในชีวิต มันทำให้เราต้องเรียนรู้และปรับตัว หรือท้ายที่สุดทำให้เรารอดตายมาได้
บทเรียนเรื่องเลวร้ายก็อาจเป็น ‘essential’ อย่างหนึ่งของชีวิต
วินทร์ เลียววาริณ
3-7-25...........................
ย่อความจาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/187/เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าShopee https://s.shopee.co.th/60Bx1VKarm
Shopee โปรโมชั่นคู่กับยุทธจักรวาลกิมย้ง https://s.shopee.co.th/6pl417244u
0 วันที่ผ่านมา -
เรื่องท่านรัฐมนตรีรักชาติที่ลงต่อเนื่องนี้ ไม่เคยคิดเขียนเป็นซีรีส์มาก่อนเลย
แรกๆ ผมก็เขียนเพื่อคลายเครียด เขียนเอาขำ เขียนเพื่อปลงเรื่องการเมืองไทย
เขียนไปเขียนมา ก็เห็นว่ามีเรื่องให้ปลงอยู่ไม่หยุด มาเรื่อยๆ เหมือนน้ำก๊อก แรงบ้าง กะปริบกะปรอยบ้าง
ท่านรัฐมนตรีรักชาติเป็นแค่ตัวละครสมมุตินะครับ ไม่ได้เขียนจำลองใครเป็นพิเศษ เป็นตัวแทนของคนประเภทหนึ่งที่เห็นการเมืองเป็นธุรกิจ
เมื่อเป็นธุรกิจ ก็เป็นเรื่องการลงทุน การคืนทุน และกำไรสูงสุด
แต่ธุรกิจการเมืองนี้มีโบนัสคืออำนาจ ซึ่งเป็นยาเสพติดอย่างแรง
สมัยก่อนเรายังไม่ใช้คำว่า ธุรกิจการเมือง แต่ตอนนี้ก็รู้กันแล้วว่า หากจะเข้าสู่การเมือง ก็คือธุรกิจ
เรามองการเมืองเป็นเรื่องเล่น ไม่งั้นเราคงไม่เรียกว่า 'เล่น' การเมือง
ผมเขียนใน ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน บทสุดท้าย ตัวละคร ตุ้ย พันเข็ม เปรยกับตัวเองว่า
"การเมืองไทยกำลังแปรโฉมเข้าสู่อีกยุค ยุคของนักธุรกิจนานาชาติ ใครน่ากลัวกว่ากัน นักธุรกิจที่เข้าสู่การเมืองเพื่อประโยชน์ขององค์กรของตน หรือนักการเมืองที่ใช้การเมืองเป็นฐานทำธุรกิจ?"
บทนี้เขียนเมื่อปี 2536 หลังจากคณะรัฐประหาร ร.ส.ช. ยึดอำนาจในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 อ้างเรื่องธุรกิจการเมืองและสิ่งที่เรียกว่า บุฟเฟต์คาบิเนท ตามมาด้วยการประกาศยึดทรัพย์นักการเมืองที่ร่ำรวยผิดปกติ หลังจากนั้นเราก็ไม่เห็นนักการเมืองถูกตั้งข้อหานี้อีก เพราะไม่มีใบเสร็จ นักธุรกิจการเมืองทุกคนฉลาดขึ้น
แล้วเราประชาชนจะทำยังไง ในเมื่อพวกนั้นไม่เห็นหัวเราเลย
ก็ต้องปลงเป็นเรื่องขำๆ ด้วยประการฉะนี้
ว่าแต่ว่าขำหรือเปล่าล่ะ เตง?
วินทร์ เลียววาริณ
2-7-251 วันที่ผ่านมา -
สัปดาห์ก่อน หลังจากมีข่าวนายกรัฐมนตรีประกาศจะปรับ ครม. ท่านรัฐมนตรีรักชาติก็รีบออกตรวจตลาด ตั้งใจจะพบปะชาวบ้านเพื่อเรียกคะแนนนิยมสมฤทัย
ท่านเดินไปตามทางเท้า แลเห็นขอทานหลายคนนั่งบนพื้น บางคนมีลูกเล็กเด็กแดงประกอบฉาก ท่านรัฐมนตรีเปรยกับผู้ช่วย "นี่มันเมืองอะไร ขอทานเต็มเมือง"
"เมืองกรุงเทพฯครับ เมืองหลวงของประเทศไทย แดนศิวิไลซ์"
"แดนศิวิไลซ์อย่างนี้ใช้ไม่ได้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเห็นแล้ว จะเอาหน้าไปไว้ไหน"
"แปลว่า?"
"แปลว่าเราต้องรีบแก้ไข"
ท่านถามขอทานคนหนึ่ง "นี่ทำไมไม่ไปทำมาหากิน มาขอทานอยู่ได้"
"ผมมานั่งขอทานเพราะเศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจผมเจ๊งกะบ๊ง"
"แล้วคิดไหมว่าทำไมเศรษฐกิจถึงตกต่ำ?"
"เศรษฐกิจตกต่ำอย่างนี้เพราะรัฐมนตรี ข้าราชการโกงกินบ้านเมือง คอร์รัปชั่นจนเป็นอย่างนี้"
"ดีนะที่ไม่ใช่ผม"
ท่านรัฐมนตรีรักชาติเดินต่อไป พูดกับขอทานอีกคนหนึ่ง "นี่ทำไมไม่ไปทำมาหากิน น่าอายจริงๆ"
"ขอทานดีกว่าโกงเขานะคะ"
"อืม! ดีนะที่ไม่ใช่ผม"
ท่านรัฐมนตรีถามขอทานคนที่สาม "คุณล่ะ?"
"ท่านอย่าว่าผมเลย ผมยอมตากหน้ามาขอทาน เพราะมันทนไม่ได้จริงๆ ได้โปรด ขอข้าวกินหน่อยครับ ขอร้องละ..."
ท่านรัฐมนตรีเดินกลับไปที่รถยนต์ บอกผู้ช่วย "ช่วยต่อสายถึงเบื้องบนหน่อย"
ครู่เดียวเสียงปลายสายก็ดังขึ้น "ว่าไงคุณรักชาติ?"
"เอ้อ! ตำแหน่งรัฐมนตรีที่ผมขอ ไม่ทราบว่าท่านคิดยังไง?"
"กำลังพิจารณาอยู่"
"ท่านครับ ผมไม่เรื่องมากหรอกครับ ขอตำแหน่งรัฐมนตรีเกรดเอ เกรดบีก็ได้ครับ ผมอยากทำงานเพื่อประชาชน ตอนนี้ขอทานเต็มบ้านเต็มเมือง ผมเห็นแล้วเศร้าระทม ผมอยากแก้ปัญหาครับ ผมยอมตากหน้ามาขอตำแหน่ง เพราะมันทนไม่ได้จริงๆ อยากช่วยประชาชน ได้โปรด ขอซักตำแหน่งนะครับ ขอร้องละ..."
วินทร์ เลียววาริณ
2-7-251 วันที่ผ่านมา -
หลังจากไอน์สไตน์มีชื่อเสียงจากทฤษฎีของเขา ทุก ๆ ปีเขาต้องไปพูดปาฐกถา เล็กเชอร์ตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ปีละหลายสิบครั้ง ไอน์สไตน์เป็นนักคิด ไม่ใช่คนชอบพูดมาก ดังนั้นบ่อยครั้งเขาก็เบื่อ เขาอยากทำงานเงียบ ๆ มากกว่า แต่ก็ต้องไปตามหน้าที่
วันหนึ่งไอน์สไตน์นั่งรถเพื่อไปพูดที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และบ่นกับคนขับรถว่า "ผมเบื่อพูดเล็กเชอร์แล้ว"
คนขับรถพูดว่า "งั้นทำไมไม่ให้ผมขึ้นพูดแทนล่ะครับ?"
ไอน์สไตน์แปลกใจ เอ่ยว่า "คุณน่ะหรือ?"
"ใช่ครับ หน้าตาผมก็คล้ายท่าน ใส่หนวดสวมวิกผมฟู ๆ ก็เหมือนแล้ว"
"แล้วคุณจะพูดเรื่องฟิสิกส์ได้หรือ?"
คนขับตอบว่า "ทำไมจะไม่ได้? ผมฟังท่านเล็กเชอร์มาหลายสิบหนแล้ว ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ความเร็วแสง การบิดเบี้ยวของ space-time"
"แล้วคนฟังจะเชื่อหรือ?"
"โธ่! ท่านพูดแต่ละเรื่อง ก็ไม่มีใครเข้าใจหรอก แต่พวกเขาก็ปรบมือให้ทุกที"
ไอน์สไตน์บอกว่า "เป็นความคิดที่ดี ผมจะได้พักบ้าง"
ทั้งสองไปหาซื้อหนวดและวิก เปลี่ยนชุดกัน แล้วเดินทางไปสถานที่เล็กเชอร์ คนขับรถขึ้นเวทีไปพูดแทนเจ้านาย ขณะที่ไอน์สไตน์หลบอยู่ในที่นั่งแถวท้ายห้องประชุม
คนขับรถพูดเหมือนไอน์สไตน์ทุกประการ คนฟังปรบมือเป็นระยะโดยไม่รู้ว่าคนพูดเป็นไอน์สไตน์ตัวปลอม เมื่อจบเล็กเชอร์ นักฟิสิกส์คนหนึ่งก็ยกมือถาม เป็นคำถามยาก ไอน์สไตน์ตกใจ ความคงจะแตกคราวนี้แน่
คนขับรถเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า “คำถามนี้มันง่ายเสียจนใคร ๆ ก็น่าจะตอบได้ ผมจะให้คนขับรถของผมที่นั่งอยู่ด้านท้ายห้องตอบก็แล้วกัน”
สวัสดีวันพุธ ขอให้มีความสุขครับ
.....................
เล่าใหม่จากขำขันที่ได้ยินมา รวมอยู่ในหนังสือนวนิยาย เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์ฯ
(นวนิยายแนวใหม่ที่นำขำขันตลกๆ ระดับ ‘ขำกลิ้ง’ 400 เรื่องมายำเป็นนวนิยาย)ค่าคลายเครียดแค่ 330 บาท เฉลี่ยขำละ 80 สตางค์ หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
โปรโมชั่น https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee เดี่ยว https://s.shopee.co.th/1VjWGyXzed
1 วันที่ผ่านมา