-
วินทร์ เลียววาริณ2 ปีที่ผ่านมา
ถ้าชีวิตผมเป็นหนัง ถึงจุดนี้ก็เป็นเวลาแฟลชแบ็คย้อนอดีต เพื่อปูพื้นเรื่องของตัวละครอีกคนหนึ่ง
ท่านพ่อของผมเอง!
ท่านพ่อเกิดที่เมืองจีน แถวๆ เหมยเยี่ยนหรือเหมยโจว (梅州) มณฑลกวางตุ้ง
เหมยก็คือต้นเหมยหรือบ๊วยซึ่งมักเป็นฉากของนิยายกำลังภายใน แต่มันเป็นฉากชีวิตจริงของครอบครัวผม
ท่านพ่อสืบเชื้อสายจีนแคะหรือฮักกา (客家人) ภาษาจีนแคะออกเสียง ฮักกาหงิ่น แคะเป็นชาวจีนฮั่นที่อาศัยแถบมณฑลกวางตุ้งและฝูเจี้ยน ใครที่เคยเห็นบ้านทรงกลมหน้าตาคล้ายๆ โดนัทหรือไซโลยิงจรวด ที่คนจีนเรียก ถู่โหลว (土樓) แปลว่าบ้านดินหรือหอดิน (ถู่แปลว่าดิน) และชาวโลกรู้จักกันในชื่อ Hakka Round House หรือ เคอะเจียเหยียนโหลว (客家圓樓) องค์การยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลก (เหยียนแปลว่ากลม)
นั่นก็คือผลงานของพวกจีนแคะ
ฮักกาแปลว่าแขก ไม่ใช่แขกอินเดีย แต่แขกผู้มาเยือน เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ขอย้ำด้วยภาษาอังกฤษว่า guest
ดังนั้นเกสต์เฮาส์ในบ้านเรา ถ้าจะเรียกเท่ๆ ว่า ฮักกาเฮาส์ก็มิผิดแต่ประการใด
ทำไมชนเผ่านี้จึงถูกเรียกว่า ‘แขกผู้มาเยือน’ ? เป็นพวกมนุษย์ต่างดาวหรือไร?
คำตอบก็เพราะพวกเขาเร่ร่อนเสมอตลอดประวัติศาสตร์หลายพันปี ต้นกำเนิดของคนจีนกลุ่มนี้อยู่ทางตอนเหนือของจีน อพยพหนีภัยต่างๆ ลงใต้เรื่อยๆ ไม่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอนนานเกินไป เป็นที่มาของชื่อเรียกว่าแขกผู้มาเยือน
ฮักกาหงิ่นส่วนมากประกอบอาชีพทางช่าง งานศิลปะ งานที่ต้องใช้ฝีมือ และการศึกษา ฮักกาเป็นคนจีนที่เน้นเรื่องการศึกษามาก
ในวัยราวสิบเจ็ด ท่านพ่อของผมลงเรือจากกวางตุ้งมุ่งหน้าสู่สยามประเทศ เพราะเมืองจีนไม่มีกิน ถ้าอยู่ต่อไปก็คงอดตายเป็นแม่นมั่น ท่านพ่อมามือเปล่า กะไปลุยเอาข้างหน้า
และท่านพ่อก็ได้ลุยสมใจ!
ผมรู้เลาๆ จากสายลับหลายคนว่า ท่านพ่อลงเรือมาถึงเกาะสีชัง แล้วเดินทางต่อมาจบที่ arrival gate ณ ท่าเรือคลองเตย หลังจากนั้นก็ทำงานเป็นกรรมกรขนของแถวท่าเรือ ใช้ชีวิตอย่างอดๆ อยากๆ
เนื่องจากอากาศเมืองไทยร้อนมาก ตกดึกท่านพ่อก็ออกมาใช้น้ำราดตัว
ผมไม่รู้ว่าท่านพ่อทำงานเป็นกรรมกรที่นั่นและที่อื่นๆ นานกี่ปี รู้แต่ว่าท่านพ่อเดินทางไปทั่วไทย เคยไปทำงานทางเหนือ น่าจะเป็นที่เชียงใหม่ แล้วลงใต้ ในที่สุดก็ปักหลักที่หาดใหญ่
ผมก็ไม่รู้ว่าท่านพ่อทำงานมากี่อาชีพ แต่ท้ายที่สุดก็เลือกทำงานเป็นช่างทำรองเท้า ซ่อมรองเท้าและเครื่องหนังทั้งหลาย โดยเรียนรู้เอง ปักหลักปักฐาน ตั้งครอบครัว มีลูก 12 คน สองคนแรกเป็นฝาแฝด เสียชีวิตไปตั้งแต่แรกเกิดไม่นาน หากไม่นับสองคนแรก ผมก็เป็นลูกคนที่ 7
ในช่วงแรกที่ปักหลักในเมืองไทย ท่านพ่อประหยัดเงินเต็มที่ อดๆ อยากๆ เพราะเก็บหอมรอมริบทุกบาททุกสตางค์ ท่านพ่อเคยเล่าว่าบางครั้งเมื่อหิวมาก ก็เดินไปหาอะไรกินที่ร้านข้าวต้ม แต่ก็ได้แต่ยืนหน้าร้าน มองดูอาหารแล้วก็กลับที่พัก กรอกน้ำเปล่าเข้าไปแทน เก็บค่าข้าวต้มไว้
ผลก็คือเป็นโรคกระเพาะตลอดชีวิต
เราคงเคยได้ยินเรื่องคนรุ่นก่อนกินปลาเค็มหนึ่งตัวนานหลายเดือน เจียดปลาเค็มสองสามโมเลกุลมากินกับข้าวต้ม แค่พอให้ข้าวต้มมีรสชาติ นี่มิใช่เรื่องเกินจริง
คนสู้โลกด้วยมือเปล่าต้องอดทนและทนอดจริงๆ
แม้จะทำรองเท้า แต่ท่านพ่อเป็นคนใฝ่เรียน อ่านหนังสือตลอด เรียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษเอง ภาษาไทยเรียนจาก นิทานอีสป ไม่รู้คำไหน ก็ถามลูก
ท่านพ่อตื่นเช้าตรู่ ทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนค่ำ พักเที่ยงโดยการงีบ แล้วทำงานต่อ เป็นอย่างนี้ตลอดหลายสิบปี ไม่เคยได้กลับบ้านเกิดที่เมืองจีนอีกเลย
ในเมืองไทยมีคนอย่างท่านพ่อเป็นล้านๆ คน สู้ชีวิตเต็มที่ ทำงานหนัก ไม่เกี่ยงงาน จนลืมตาอ้าปากได้ เมืองไทยเป็นแผ่นดินทองอย่างแท้จริง คนจีนโพ้นทะเลยุคนั้นทุกคนจึงรักเมืองไทย ซาบซึ้งบุญคุณของแผ่นดินไทย ไม่ได้เกิดในเมืองไทย ก็ขอฝังร่างในแผ่นดินนี้
นั่นคือยุคนานก่อนหน้าสมัยที่ความกตัญญูรู้คุณต่อแผ่นดินเกิดกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปเสียแล้ว
ท่านพ่อทำงานหนักตลอดชีวิต จนในช่วงสุดท้าย ผมก็ยังเห็นท่านพ่อจับเครื่องมือทำรองเท้าอยู่ ไม่กี่ปีก่อนท่านพ่อจากโลกไป เห็นสายคล้องกล้องถ่ายรูปของผมขาด ก็หยิบไปซ่อมให้ ไม่ต้องไปซื้อใหม่ แม้ผมจะเติบใหญ่แล้ว ท่านพ่อก็ยังเตือนให้ผมประหยัดเสมอ
ผมไม่สนิทกับท่านพ่อ หรือที่ถูกก็คือไม่มีลูกคนไหนสนิทกับพ่อ เพราะท่านพ่อดุมาก อบรมลูกๆ ด้วยไม้เรียว โชคดีที่ผมเป็นลูกคนท้ายๆ ท่านพ่อคงไม่ค่อยมีแรงหรือเบื่อแล้วก็ไม่รู้ ผมจึงโดนไม้เรียวน้อยครั้งมาก
ผมรู้ว่าท่านพ่อภูมิใจในตัวผมตั้งแต่เด็ก ก่อนหน้าผมเกิด พ่อได้ลูกสาวห้าคนรวด เมื่อผมเกิดพ่อดีใจมาก ซื้อพัดลมตัวหนึ่งมาประดับบ้าน ยี่ห้อ TDK จากเยอรมนี นั่นคือปี พ.ศ. 2499 จนวันนี้พัดลมตัวนี้ยังใช้งานได้อยู่
ดังนั้นเมื่อผมสอบได้ที่ 25 ผมก็รู้ว่าท่านพ่อผิดหวังขนาดไหน จึงปรับปรุงตัวเอง หยุดอ่านนิยายไปช่วงหนึ่ง ผลสอบครั้งถัดมา ผมก็ก้าวเข้ามาในพื้นที่เลขตัวเดียวตามเดิม
หลังจากนั้นก็แอบไปอ่านนิยายต่อ
(ยังมีต่อ)
- ขอบคุณภาพประกอบ ไม่ทราบแหล่งที่มา
16- แชร์
- 891
Caesarสุดยอดดดดดข้าน้อยขอคารวะท่านเจ้าสำนักตัวจริง ค่ะ 👍👍👍👍👍👍👍
-
โพสต์ดาราศาสตร์ 101 พูดถึงยูโรปา ดวงจันทร์ดวงหนึ่งของดาวพฤหัส ทำให้ต้องคุยเรื่องต่อไปนี้
ยูโรปาเป็นน้ำแข็งทั้งดวง แต่เชื่อว่าใต้น้ำแข็งหนาคือมหาสมุทร
เมื่อ 20 ปีก่อน (2548) ผมตีพิมพ์นิยายไซไฟชุด จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย ในเล่มมีเรื่องสั้นชื่อ สงครามยูโรปา ใช้ฉากดวงจันทร์ยูโรปา
ผมแต่งเรื่องให้มนุษย์ต้องการทรัพยากรพิเศษบางอย่างที่มีเฉพาะในมหาสมุทรของยูโรปา ผมแต่งเรื่องให้จักรวรรดิโลกจำต้องครอบครองดวงจันทร์ดวงนี้ ผลก็คือเกิดสงครามระหว่างมนุษย์กับชาวยูโรปา
ผมยังแต่งเรื่องให้สัตว์น้ำบนดวงจันทร์นี้มีสารเคมีบางตัวที่เหมาะกับสรีระมนุษย์ เป็นยาอายุวัฒนะอย่างหนึ่ง ตัวเอกเป็นทหารถูกส่งไปรบ และรักกับชาวพื้นเมืองยูโรปา แล้วหันไปต่อต้านกองทัพชาวโลก
นอกจากนี้ผมยังแต่งเรื่องให้มีการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมคนให้ร่างกายสามารถอยู่อาศัยในสภาวะของดวงจันทร์นี้ได้
พล็อตนี้เหมือนลอกเรื่อง Avatar และ Avatar : The Way of Water ของ เจมส์ คาเมรอน มาเลย
โชคดีที่ผมเขียนก่อนเรื่อง Avatar 4 ปี และก่อน The Way of Water 17 ปี ไม่งั้นคงเข้าข่ายลอก เพราะคงไม่มีใครเชื่อคนไทยคิดก่อน
กลับมาที่ยูโรปา ในเรื่อง 2010: Odyssey Two โซเวียตกับสหรัฐฯจับมือกันส่งยานไปดาวพฤหัส แต่พบว่ามียานอวกาศลำหนึ่งแซงไป
มันเป็นยานอวกาศของจีน ชื่อเซียน มุ่งหน้าที่ดาวพฤหัสเช่นกัน ยานเซียนนั้นแล่นไปเร็วมาก เพราะขนเชื้อเพลิงไปแค่เที่ยวเดียว
นักวิทยาศาสตร์จีนกะว่าจะเอาน้ำจากยูโรปาเป็นเชื้อเพลิงเที่ยวกลับ
ยานเซียนไปจอดที่ยูโรปา และถูกบางสิ่งบนยูโรปาทำลาย นักวิทยาศาสตร์จีนชื่อจางส่งสารไปที่ยานโซเวียต บอกว่ามีชีวิตบนยูโรปา แล้วก็ตายไป
เมื่อยานโซเวียตไปถึง พบว่าสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวเปลี่ยนดาวพฤหัสเป็นดวงอาทิตย์ เพื่อทำให้น้ำแข็งบนยูโรปาละลาย และกำเนิดชีวิตใหม่ที่นั่น
แล้วส่งสารสุดท้ายผ่านสมงกล HAL ไปยังโลกว่า "ทุกโลกเป็นของพวกท่าน ยกเว้นยูโรปา อย่าพยายามลงจอดที่นั่น"
แต่มนุษย์ก็คือมนุษย์ ส่งยานไปที่ยูโรปาอีกหลายลำ และทุกลำก็ถูกทำลาย
บางทีสิ่งเดียวที่สามารถเตือนมนุษยชาติได้ก็คือสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาว
แต่สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวจะสามารถเตือนเราว่าอย่าสร้าง 'กสน' ได้ไหมหนอ
ป.ล. รูปที่นำลงมาเป็นรูปจริง เส้นสายบนดวงจันทร์ในรูปคือร่องลึกรอยแตกของน้ำแข็ง
วินทร์ เลียววาริณ
23-5-251 วันที่ผ่านมา -
สมัยก่อนเวลาเถ้าแก่ไปสู่ขอลูกสาวให้หนุ่มไหน พ่อแม่หญิงสาวจะถามไถ่เรื่องรายได้ของชายหนุ่มคนนั้นว่า มีเงินพอจะเลี้ยงดูลูกเมียไหม ความสามารถในการหาเงินเป็นมาตรวัดทางอ้อมว่าลูกสาวจะมีความสุขในชีวิตคู่
ความรักอย่างเดียวไม่ว่าจะดูดดื่มแค่ไหนก็ไม่พอ การกัดก้อนเกลือกินบั่นทอนความรักให้จืดจางได้ง่าย ๆ กิน ‘เกลือ’ บ่อย ๆ นอกจากไตจะพังแล้ว หัวใจพลอยไปไม่รอดด้วย เงินจึงเป็นมาตรวัด ‘ความสุข’ ไปโดยปริยาย
เคยได้ยินผู้หญิงพูดกันเล่น ๆ ไหมว่า “ฉันรักผู้ชายดี หลงผู้ชายเลว ชอบผู้ชายห่าม แต่ขอแต่งงานกับผู้ชายรวย!”
ในสเกลใหญ่ระดับประเทศ เราก็วัดความเจริญรุ่งเรืองของชาติที่รายได้เหมือนกัน มาตรนี้เรียกว่า GDP - Gross Domestic Product
จีดีพี หรือ จ.ด.พ. วัดความสำเร็จและความเจริญของชาติด้วยตัวเลขความเติบโตทาเศรษฐกิจโดยคำนวณจากมูลค่าตลาดของสินค้าและบริการที่ประเทศหนึ่ง ๆ ผลิตขึ้น เราใช้ จ.ด.พ. วัดมาตรฐานการครองชีพของประชากรในประเทศนั้น ๆ
ผู้นำประเทศต่าง ๆ มักบอกประชาชนให้เข้าใจโดยนัยว่า ค่า จ.ด.พ. ยิ่งสูง คุณภาพชีวิตยิ่งดี แต่ค่า จ.ด.พ. สูงไม่ได้มีความหมายอะไรนอกจากจะบอกว่าประเทศนั้นมีเงิน
ปัญหาคือ จ.ด.พ. ไม่สนใจว่าผลผลิตนั้นใช้ทรัพยากรของชาติใด ไม่แคร์ว่ากระบวนการได้ตัวเลขสูง ๆ ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือไม่ มันไม่ได้วัดว่าธรรมชาติเสื่อมโทรมลงเท่าไร ส่งผลกระทบต่อโลกในด้านลบแค่ไหน เช่น ปลดปล่อยธาตุคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศจนทำให้โลกร้อนมากน้อยเพียงใด หรือไก่ที่ยืนในกรงแคบ ๆ ตลอดชีวิตจะทนทุกข์ทรมานแค่ไหน
จ.ด.พ. จึงเป็นเพียงค่าทางตัวเงิน ไม่ใช่ค่าทางจิตใจ ไม่ใช่ค่าคุณภาพชีวิต มันไม่อาจวัดได้ว่าคนมีความสุขหรือไม่
เช่นเดียวกับระบบความเชื่อที่ผูกคำว่า ‘ศีลธรรม’ เข้ากับคำว่า ‘ศาสนา’ ระบบเศรษฐกิจก็ผูกคำว่า ‘รายได้’ เข้ากับคำว่า ‘ความสุข’ เราจึงได้ยินแต่คนพูดเรื่องเศรษฐกิจและการสร้างหนี้เพื่อ ‘ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ’ กู้แล้วกู้อีก ใช้หมดแล้วก็กู้ใหม่ ประเทศเราไม่เคยว่างเว้นจากหนี้สิน และกู้กันหนักมือขึ้น มีคนคำนวณว่า เราต้องใช้เวลาห้าสิบปีในการจ่ายหนี้ก้อนใหญ่ล่าสุดที่กู้มา
ว่าก็ว่าเถอะ เหล่านี้เป็นหนี้สินที่พอชำระคืนได้
แต่หนี้ที่สำคัญที่สุดซึ่งเราไม่มีปัญญาชดใช้คือความเสื่อมของธรรมชาติและความหมดสิ้นของทรัพยากร เราตัดป่าด้วยอัตราเร็วเหมือนว่าต้นไม้สามารถงอกคืนได้ภายในวันเดียว เราเอาของทุกอย่างมาจากธรรมชาติ ขุดน้ำมัน เหล็ก ทอง เพชร ฯลฯ แต่ไม่อาจชดใช้คืนให้ธรรมชาติ เพราะกระบวนการของธรรมชาติกินเวลานานกว่าอารยธรรมของมนุษยชาติ
มันก็คือการขโมยทรัพยากรจากลูกหลานของเรานั่นเอง ทุกครั้งที่ตัดป่าทำลายธรรมชาติ เปลี่ยนสภาพดินฟ้าอากาศให้วิปริต โลกอนาคตของลูกหลานเราก็หดแคบลง ลูกหลานเราเป็นคนที่รับกรรมจากการแข่งกันสร้าง GDP ของเราในวันนี้
และเมื่อน้ำมันหมดโลก ป่าเหี้ยนหายเมื่อไร จ.ด.พ. อาจย่อมาจาก ‘จนดีพี่’, ‘เจ๊งดีพี่’ และ ‘ เจ็บดีพี่’
GDP โดยตัวมันเองไม่ใช่เรื่องดีหรือเรื่องร้าย มันเป็นแค่ตัวเลข เหมือนตัวเลขในบัญชีธนาคารของเรา ตัวเลขเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรเลยจนกระทั่งเราเชื่อว่าต้องมีตัวเลขสูง ๆ จึงจะมีความสุข
เมื่อมองทุกอย่างเป็นตัวเงิน ก็ได้คำตอบแบบตัวเลข ดูเหมือนว่าเราพูดแต่เรื่องเศรษฐกิจ ไม่เคยพูดถึงเรื่องความสุขทางใจเลย
คนที่มีรายได้สูงอาจสามารถจับจ่ายได้มากกว่า คล่องตัวกว่า แต่ไม่ได้แปลว่ามีความสุขมากกว่า
หากมนุษยชาติต้องการจะเหลือโลกที่ลูกหลานเราพออยู่อาศัยได้อย่างมีความสุข และเหลือพื้นที่ให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ด้วย เราอาจต้องคิดไปไกลกว่าแค่ประกวดตัวเลข GDP เหมือนกับที่เราใช้ตัวเลขประกวดสิ่งอื่น ๆ ทั้งหลาย ตั้งแต่สัดส่วนนางงาม, ‘ความใหญ่ที่สุดในโลก’
บางทีเราควรหันไปแข่งขันตัวเลขของความสุขหรือ จ.ด.พ. หัวใจมากกว่า
จ.ด.พ. = จิตดีพี่
จ.ด.พ. = เจริญ(ทางใจ)ดีพี่
จ.ด.พ. = แจ่มดีพี่
เพราะ จ.ด.พ. ทางเศรษฐกิจหรือจะสู้ จ.ด.พ. ของความสุข
วินทร์ เลียววาริณ
22-5-25....................
บางท่อนจากหนังสือ รอยยิ้มใต้สายฝน
35 บทความกำลังใจ หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วโปรโมชั่นทางแพ็คเกจทาง Shopee
https://shope.ee/AKD4JG1XZy?share_channel_code=61 วันที่ผ่านมา -
The public have an insatiable curiosity to know everything, except what is worth knowing.
Oscar Wilde
2 วันที่ผ่านมา -
รู้ไหมว่าดวงดาวต่างจากดาวเคราะห์อย่างไร แม้ภาษาไทยใช้คำว่า 'ดาว' เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน
ดวงดาวคือพระอาทิตย์ เป็นแหล่งพลังงาน เป็นจุดที่ระเบิดตูมตาม เรียก fusion อย่าไปสนใจเลยว่า fusion เป็นยังไง เดี๋ยวจะเกิด confusion เปล่าๆ
ดวงอาทิตย์ของเรา (Sun) มีแรงโน้มถ่วงสูงกว่าโลกเรา 28 เท่า ร้อนประมาณ 15 ล้านองศาเซลเซียส พอใช้ปิ้งหมูย่างได้ทั้งโลกนานหลายศตวรรษ
ส่วนดาวเคราะห์คือก้อนกลมๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์อีกที ดวงที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ก็ร้อนหน่อย ไกลออกไปก็หนาว บ้างก็เป็นน้ำแข็ง
โลกเราอยู่ตรงเขตสบายๆ ที่เรียกว่า Goldilock Zone เขาว่าเอื้อต่อการมีชีวิต แต่โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อ เพราะเราตั้งชื่อนี้ขึ้นเอาเอง และใช้มาตรฐานของเราเป็นตัวกำหนด
เราเชื่อมานานแล้วว่าดาวเคราะห์ดวงไหนก็ตามที่ไม่ใช่อยู่ใน Goldilock Zone จะไม่มีสิ่งมีชีวิต ดาวเคราะห์ที่ร้อนไปหรือเย็นไป หรือไม่มีแสงอาทิตย์ จะไม่เกิดสิ่งมีชีวิต
แต่ความเชื่อนี้ก็มีข้อขัดแย้งในโลกเรานี่เอง มีบางจุดในโลกเราใต้มหาสมุทรที่มืดสนิท ไม่มีแสงอาทิตย์ มีแต่ความร้อนจากใจกลางโลก และร้อนจัดเกินกว่าสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จักจะอยู่ได้ ก็ปรากฏว่ามีสิ่งมีชีวิตยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ทั้งที่ไม่มีแสงอาทิตย์และร้อนจัด
นี่บอกเราว่าสิ่งมีชีวิตอาจถือกำเนิดได้ในพื้นที่ที่ไม่มีแสงอาทิตย์ และร้อนสุดทนทาน
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือดวงจันทร์ยูโรปาซึ่งโคจรรอบดาวพฤหัส เป็นดวงจันทร์น้ำแข็ง สีขาวโพลนทั้งดวง ถ้าใช้กรอบคิดเดิมๆ ยูโรปาก็ไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิต
เอาละ ก่อนไปคุยเรื่องยูโรปาที่ไม่ใช่ขนมและทีมฟุตบอล เรามาโม้เรื่องดาวพฤหัสก่อนดีกว่า ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ที่แปลก ขนาดของมันใหญ่กว่าดวงดาวหลายดวงในทางช้างเผือก แต่มันก็เป็นได้แค่ดาวเคราะห์ เพราะมวลของมันไม่มากพอให้เป็นดวงอาทิตย์
ด้วยขนาดใหญ่ยักษ์ของมัน (ขนาดของมันใหญ่พอบรรจุโลกของเราได้ถึง 1,300 ดวง) ดาวพฤหัสถือว่ามีบุญคุณต่อชาวโลกมหาศาล ควรกราบไว้วันละสามเวลา เพราะมันช่วงดูดสิ่งแปลกปลอมในระบบสุริยะ เช่น อุกกาบาต ลงไปในในดาว ทำให้โลกเราปลอดภัยจากสิ่งอันตรายเหล่านี้มานานเป็นหลายพันล้านปี
หากลองสังเกตดาวพฤหัส จะเห็น 'ดวงตา' ของมัน เป็นจุดสีแดง เรียกว่า Great Red Spot แต่หากวันหนึ่งเมืองไทยไปดวงจันทร์สำเร็จและโครงการอวกาศรุ่งเรือง จัดทัวร์ไปเที่ยวดาวพฤหัส ก็ไม่ต้องแวะชม Great Red Spot หรอกนะ เพราะลูกแดงนี่เป็นพายุ
ขนาดของพายุนี้เคยใหญ่พอบรรจุโลกเราได้ 3 ดวง แต่ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี ขนาดก็หดลงมา ใหญ่เท่าโลกเราหนึ่งดวง
เอาละ เรารู้ใช่ไหมว่าน้ำขึ้นน้ำลงในโลกเป็นผลมาจากดวงจันทร์ส่งแรง 'ดูด' น้ำ ดาวพฤหัสก็เหมือนกัน ผลของแรงดึงดูดมหาศาลของดาวพฤหัสที่ดึงดวงจันทร์ต่างๆ ไว้ ทำให้แกนกลางของดวงจันทร์ร้อน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นแม้ดวงจันทร์ยูโรปาเป็นน้ำแข็งทั้งดวง ใจกลางของมันก็ร้อนเพราะแรงจากดาวพฤหัส เดาซิว่าผลที่ตามมาคืออะไร?
ผลก็คือน้ำแข็งใต้ผิวดวงจันทร์ละลาย
แม่นแล้วเด้อ! ใต้ผิวน้ำแข็งหนาราว 25 กิโลเมตรของยูโรปาคือน้ำ และที่ใดมีน้ำ ก็เชื่อว่าน่าจะมีสิ่งมีชีวิต ดังตัวอย่างใต้สมุทรของเรา
.
ในนิยายวิทยาศาสตร์ภาคต่อของนวนิยายคลาสสิก 2001: A Space Odyssey คือเรื่อง 2010: Odyssey Two อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก จินตนาการแบบล้ำลึกมาก (ตรงนี้มีสปอยเลอร์นะจ๊ะ) เขาจินตนาการให้สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวเปลี่ยนดาวพฤหัสเป็นดวงอาทิตย์
ดังที่เกริ่นแล้วว่า ดาวพฤหัสเกือบได้เป็นดวงอาทิตย์ แต่มวลไม่ถึง สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวก็ส่งแท่งหินสีดำปริศนา (ทาง Kerry หรือ FedEx ก็จำไม่ได้แล้ว) ไปที่ดาวพฤหัส แล้วใช้หลักเครื่องจักรสร้างเครื่องจักร ขยายจำนวนแท่งหินดำจำนวนมหาศาลขึ้นมาปิดดาวพฤหัส เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง ดาวพฤหัสก็เปล่งแสงสว่าง มันกลายเป็นดวงอาทิตย์ดวงที่สองในระบบสุริยะ!
ผลที่ตามมาคือ ดวงจันทร์ที่โคจรรอบดาวพฤหัสก็ร้อนขึ้น น้ำแข็งบนผิวยูโรปาละลายเป็นน้ำ ยูโรปากลายเป็นดาวเคราะห์มหาสมุทรเหมือนโลก เปิดโอกาสให้เกิดสิ่งมีชีวิตบนยูโรปา หรือให้สิ่งมีชีวิตเดิมใต้สมุทรวิวัฒนาการต่อไปเป็นสิ่งทรงภูมิปัญญา
ส่วนโลกเราก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน นั่นคือเรามีดวงอาทิตย์สองดวง ไม่มีกลางคืนอีกต่อไป
เรื่องนี้ต้องขอบคุณสิ่งทรงภูมิปัญญามากๆ จ้ะ เพราะประหยัดค่าไฟฟ้าตอนค่ำไปได้เยอะ และที่ดีที่สุดคือซักผ้าตอนกลางคืนก็ตากแดดได้
วินทร์ เลียววาริณ
21-5-252 วันที่ผ่านมา -
สัปดาห์ก่อนเล่าเรื่องรัฐมนตรีรักชาติถูกชายลึกลับห้าคนทำร้าย
แต่เรื่องของท่านรัฐมนตรีรักชาติยังไม่จบ
หลังจากท่านรักษาตัวจนหายดีแล้ว ก็ไม่กล้าไปปรากฏตัวตามตลาดอีก
คืนหนึ่งรัฐมนตรีรักชาติไปงานเลี้ยงริมแม่น้ำ หลังงานเลิก ท่านรัฐมนตรีรักชาติก็บอกบอดี้การ์ดว่าจะไปเดินสูดลมกลางคืนริมน้ำสักครู่ คงไม่มีใครมาทำร้ายเหมือนครั้งก่อน
รัฐมนตรีรักชาติเดินไปริมน้ำ มองดูเงาจันทร์บนผิวน้ำด้วยอารมณ์สดชื่นรื่นหัวใจ
ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏมาจากด้านหลัง ชายคนนั้นสวมชุดดำ ชักมีดขึ้นมาจี้ท่านรัฐมนตรีรักชาติ ร้องว่า "ส่งเงินของคุณมา"
"คุณเป็นใคร?"
"ผมเป็นโจรน่ะซี เร็ว ส่งเงินของคุณมา ไม่งั้นตาย"
ท่านรัฐมนตรีรักชาติเอ่ย "คุณทำอย่างนี้ไม่ได้ ผมเป็นถึงรัฐมนตรีนะ ผมก็คือรัฐมนตรีรักชาติ"
"งั้นเอาเงินของกูคืนมา"
วินทร์ เลียววาริณ
เล่าใหม่จากขำขันที่เคยได้ยินมา
22-5-25(ยังมีต่อ)
2 วันที่ผ่านมา