-
วินทร์ เลียววาริณ8 เดือนที่ผ่านมา
ในเรื่อง Interstellar ตัวละครหลักพลัดเข้าไปในหลุมดำ หลุดลงไปใน ‘อุโมงค์’ บางอย่าง และโผล่เข้าไปในโครงสร้างสี่มิติ ที่เชื่อมกับโลกของเขา ข้ามเวลา ข้ามมิติ ข้ามดาราจักร เข้าไป ‘หลังบ้าน’ ของเขา เขาสามารถเคลื่อนผ่านแกนเวลาได้
โครงสร้างนี้เรียกว่า tesseract
tesseract ในทางเรขาคณิตและคณิตศาสตร์ หมายถึงบาศก์สี่มิติ เป็น hypercube ชนิดหนึ่ง พูดง่ายๆ คือมันเป็นบาศก์ hypercube ที่เกิดจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เรายังสร้างมันขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้
นิยายวิทยาศาสตร์มักใช้ tesseract เป็นรูหนอนชนิดหนึ่งในการเดินทางลัดข้ามจักรวาลและมิติ เช่น นวนิยายเรื่อง A Wrinkle in Time ของ Madeleine L’Engle เล่าถึงการเดินทางข้ามเวลาผ่าน tesseract และมิติที่ 5
จะบอกว่า tesseract เป็นบันไดยาวที่พาดมิติและเวลาต่างๆ ก็พอได้
แต่ tesseract เป็นเพียงหนึ่งในบรรดา hypercube ต่างๆ
ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับ hypercube เช่นกัน ในนวนิยายไซไฟเรื่อง อัฏฐสุตรา (เขียนเมื่อ 16 ปีก่อน ก่อนหนังเรื่องนี้) ในเรื่องตัวละครหลักสัมผัสประสบการณ์ของ hypercube 8 มิติ เรียกว่า octaract ซึ่งซับซ้อนกว่า tesseract ที่มี 4 มิติ
อยากรู้ว่า octaract ในนิยายเป็นอย่างไร ก็อ่านได้จากนวนิยาย อัฏฐสุตรา ถือโอกาสขายหนังสือตรงนี้เลยก็แล้วกัน https://www.winbookclub.com/store/detail/68/อัฏฐสุตรา แค่ 165 บาท (หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว)
อย่างไรก็ตาม hypercube ที่นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์พูดถึงยังเป็นเพียงจินตนาการ และแม้จะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่เรายังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่ามันเป็นไปไม่ได้
ในหนัง Interstellar โครงสร้าง tesseract ถูกสร้างโดย ‘พวกเขา’ เพื่อให้ตัวละครเอกสามารถใช้สื่อสารกับมนุษย์ในสถานที่และเวลาที่ต้องการ (คือเป็นบันไดยาวพาด) เมื่อการสื่อสารสำเร็จ tesseract ก็สลายตัว ตัวละครเอกก็ข้ามเวลาอีกครั้ง คราวนี้เขาเชื่อมกับคนในยานอวกาศ และ ‘จับมือ’ กับนักบินอวกาศหญิง และเดินทางกลับบ้าน ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปในระดับหนึ่ง
ฉาก tesseract ในหนังออกแบบได้ดี เพราะการแปลงคอนเส็ปต์ hypercube ให้เป็นภาพที่สื่อสารกับคนดูรู้เรื่องทำได้ยากมาก แต่หนังก็ทำออกมาสวยงาม ถือเป็นไฮไลท์หนึ่งของเรื่อง ยอดเยี่ยมครับ
วินทร์ เลียววาริณ
5-1-251- แชร์
- 93
-
สัปดาห์ก่อนเราว่าเรื่องซานเซน วันนี้ต่อด้วยเรื่องซาเซน
ซาเซน (zazen / 座禅) เป็นการรู้แจ้งผ่านการนั่งสมาธิ (ซาเซน แปลว่าการนั่งสมาธิ, ซา แปลว่านั่ง) แนวทางนี้ฝึกจิตให้เข้มแข็ง เพราะจิตที่เข้มแข็งเป็นฐานที่ดีต่อการรู้แจ้ง ขบคิดปริศนาธรรมออกได้
การปฏิบัติซาเซนมิใช่การนั่งสมาธิจนตัวแข็งทื่อแล้วมองเห็นเทวดานางฟ้าหรือวิมานใด ๆ แต่เป็นการนั่งสมาธิที่จิตรับรู้ และเกิดปัญญาพินิจพิจารณาธรรมหรือโกอาน ก้าวพ้นจากความคิดเชิงทวิลักษณ์ ไปสู่ความว่างของจิตเดิมแท้
ซาเซนถือว่าร่างกายทั้งร่างก็คือ 'สมอง' ด้วย เชื่อมเป็นหนึ่ง ดังนั้นการนั่งสมาธิจึงหลอมรวมกาย-จิตเป็นหนึ่งเดียว
อลัน วัตต์ส เขียนว่า การทำสมาธิของเซนนั้นไม่มีเหตุผลและไม่มีจุดหมาย ก็เช่นการสร้างสรรค์ดนตรีและการเต้นรำ เมื่อเราสร้างสรรค์ดนตรี เราไม่ได้สร้างมันเพื่อต้องการไปถึงท่อนใดท่อนหนึ่งของดนตรี เช่นท่อนท้ายสุดของเพลง การสร้างสรรค์ดนตรีก็คือสาระของมัน เช่นเดียวกัน เราเต้นรำก็มิใช่เพื่อให้เดินทางไปถึงจุดใดจุดหนึ่งบนฟลอร์ลีลาศ แต่เพราะการเต้นรำก็คือสาระของมัน การทำสมาธิก็เช่นกัน หากทำเพื่อจุดหมายใดจุดหมายหนึ่ง ก็ไม่ใช่การทำสมาธิแล้ว
ในการทำซาเซน จะต้องไม่มีความคิดที่จะบรรลุซาโตริใด ๆ ล่วงหน้า อาจารย์เซนสอนว่า "ถ้าชีวิตมาถึง นี่ก็คือชีวิต ถ้าความตายมาถึง นี่ก็คือความตาย ไม่มีเหตุผลที่ความเป็นอยู่ของเจ้าจะตกอยู่ในความควบคุมของชีวิตและความตาย จงอย่าตั้งความหวังต่อพวกมัน ชีวิตและความตายนี้ก็คือชีวิตและความตายของพระพุทธ ถ้าเจ้าพยายามปฏิเสธและทิ้งชีวิตและความตาย เจ้าก็สูญชีวิตของพระพุทธ"
มีคำถามหนึ่งของเซนว่า "ควายตัวหนึ่งเดินผ่านหน้าต่าง หัวของมัน เขา และสี่ขาผ่านไป แต่ทำไมหางของมันจึงไม่ผ่านไป?"
มีการตีความว่า ควายเดินผ่านหน้าต่างเป็นอุปมาสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำซาเซน ความคิด ความรู้สึกต่าง ๆ ล้วนผ่านสติไป เหมือนก้อนเมฆที่ลอยผ่านท้องฟ้า หัว เขา และสี่ขาของควายหมายถึงกิจกรรมของความรู้สึกตัวที่จางหายไปเมื่อเข้าสู่สมาธิระหว่างซาเซน แต่หางซึ่งหมายถึงสมาธิไม่ได้ผ่านไป
การทำซาเซนก็คือการอยู่กับขณะจิตนี้ขณะจิตเดียว ไม่ได้แบ่งแยกระยะของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังที่เซนกล่าวว่า "สิ่งที่เรียกว่าอดีตอยู่ด้านบนของหัวใจ ปัจจุบันอยู่บนมือที่กำ อนาคตอยู่ด้านหลังของสมอง"
ทุกห้วงเวลาดำรงอยู่ ณ ขณะนี้ในร่างกายนี้ ซึ่งเป็นกายของพระพุทธ!
ไม่ว่าจะเป็นแนวทางเวิ่นต๋า ซานเซน หรือซาเซน ล้วนต้องปลดปล่อย 'ตัวกู' ออกไปก่อน เพราะมันคือการยึดติด เป็นกรอบ
เมื่อปลดปล่อย 'ตัวกู' ได้ ก็คืออิสรภาพ
ซาโตริไม่ใช่สงครามที่ต้องเอาชนะ ไม่ใช่เส้นชัยที่ต้องวิ่งไปให้ถึง
ทั้งนี้เพราะเซนคือ 'การให้จิตเข้าถึงตัวธรรมชาติตามธรรมชาติเดิมของมัน' ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรซับซ้อน
เซนไม่ใช่สำหรับปัญญาชนที่รู้มากไป และไม่ใช่สำหรับคนโง่ พูดตามสำนวนท่านพุทธทาสภิกขุคือ "มันเป็นของสำหรับคนที่มีจิตว่างจากปัญญาและความโง่ด้วยกันทั้งสองอย่าง" หรือพูดง่าย ๆ คือเลิกเป็นทั้งคนโง่และคนฉลาดเสียเท่านั้น เซนก็จะโผล่ออกมาเอง!
วินทร์ เลียววาริณ
21-9-25.............................
จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
มังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=61 วันที่ผ่านมา -
นักอยากเขียนหลายคนมาปรึกษาผมเรื่องการเลื่อนสถานะจากนักเขียนไซด์ไลน์เป็นนักเขียนอาชีพ
‘นักเขียนไซด์ไลน์’ หมายถึงรายได้จ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าข้าว มิได้มาจากงานเขียนโดยตรง แต่มาจากงานประจำ อาจทำงานที่บริษัทหรือหน่วยงานราชการ ยามว่างหรือตอนค่ำค่อยเขียนหนังสือ
ทำงานทั้งวันกลับถึงบ้านก็เหนื่อยแย่แล้ว บ่อยครั้งคิดไอเดียอะไรไม่ออก จึงเกิดความคิดว่าถ้าได้นั่งเขียนตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน น่าจะผลิตงานเป็นเรื่องเป็นราว อีกทั้งเข้าท่าเวลาบอกใครต่อใครว่าเป็นนักเขียนอาชีพ
และนี่เป็นการมองมุมหนึ่ง
ยังมีอีกมุมหนึ่งคือรายได้ของการเป็นนักเขียนอาชีพ
ถ้าไม่ได้เขียนเรื่องป๊อปฮิตต่อเนื่อง โอกาสจะมีรายได้สูง ๆ นั้นยากมาก ต่อให้มีรางวัลหลายตัวรองรับ มันไม่มีผลอะไรเลยต่อยอดขาย นี่พูดจากประสบการณ์ตรง
นักเขียนใหม่ที่อยากเข้ามาโดยไม่เห็นภาพจริงของตัวเองและวงการ โปรดไปดูหนังเรื่อง The Man from Elysian Fields ก่อน
ในเรื่องนี้ ตัวละครนักเขียน (แอนดี การ์เซีย) เขียนนวนิยายแล้วขายไม่ออก ต้องไปขายตัว
‘ไซด์ไลน์’ เหมือนกัน!
ถ้านักอยากเขียนหน้าตาดีอย่าง แอนดี การ์เซีย ขอแนะนำให้ไปขายตัว เอ๊ย! เล่นหนังดีกว่า อย่าเขียนหนังสือเลย
สรุปก็คือ เป็นนักเขียนไซด์ไลน์อาจจะเครียดน้อยกว่า
เรื่องการแนะนำให้นักเขียนใหม่ทำงานเขียนเป็นไซด์ไลน์นี้ ผมไม่ใช่คนแรกที่พูด คนแนะนำคือนักเขียนรุ่นครู อาจินต์ ปัญจพรรค์
ผมแค่เสริมว่าจริง โดยว่าจากประสบการณ์ ผมเองถ้าสถานการณ์ชีวิตไม่เป็นอย่างที่เป็น ผมก็ไม่เป็นนักเขียนอาชีพหรอกครับ
และในความเห็นของผม จะเป็นนักเขียนอาชีพหรือไซด์ไลน์ ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร ประเด็นคือเราทำงานเขียนอย่างที่เราต้องการหรือไม่มากกว่า
คำว่า ‘นักเขียนอาชีพ’ ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย มันแค่บอกว่าเราหากินกับการเขียนหนังสือ
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เคยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่เขาเขียนหนังสืออยู่ที่ต่างจังหวัดนั้น ชาวบ้านถามเขาว่า “คุณทำอะไร?” เขาตอบว่า “เขียนหนังสือ”
“มาช่วยเขียนป้ายให้ผมหน่อยซี”
โธ่! ไม่รู้จักนักเขียนใหญ่รึไงโว้ย!
ถ้าเขียนแล้วรายได้ดี อยู่ได้สบาย เลี้ยงครอบครัวได้ ก็ค่อยออกมาทำงานเขียนอาชีพ ไม่ได้ห้ามเป็นนักเขียนอาชีพ
วิธีวัดง่ายนิดเดียว ถ้าเป็นนักเขียนอาชีพแล้วชีวิตแย่ลง รายได้ไม่พอจนกระทบต่องานเขียน ทำให้ทำงานที่อยากทำลำบาก อย่างนี้ก็ควรถอยกลับมาเป็นนักเขียนไซด์ไลน์
สมัยที่ผมเป็นนักเขียนไซด์ไลน์ ผมทำงานจริงจังและผลิตงานมากกว่านักเขียนอาชีพหลายคนเสียอีก มันขึ้นกับการจัดการเวลาเท่านั้น
ส่วนเรื่องรายได้ ไม่มีใครควบคุมได้หรอก นักเขียนอาชีพเก่งขนาดไหน ก็คุมไม่ได้ เพราะเกมมันเปลี่ยนไปแล้ว
การเป็นนักเขียนอาชีพในยุคนี้ยากกว่าสมัยก่อนมาก
นักเขียนใหม่ควรใจเย็นนิด ฝึกปรือฝีมือให้มั่นคง ถ้าเขียนดีต่อเนื่อง ได้เป็นนักเขียนอาชีพแน่ กลัวแต่ว่าผ่านไปไม่กี่ปี อาจเปลี่ยนใจไปขายอย่างอื่นน่ะซี...
วินทร์ เลียววาริณ
21-9-252 วันที่ผ่านมา -
คนเรามักชินกับสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันโดยไม่ถามว่า หากมันไม่มี เราจะทำอย่างไร อยู่ได้หรือไม่ ยกตัวอย่าง เช่น ไฟฟ้า เราอยู่ในโลกทุกวันโดยใช้ไฟฟ้า แต่ไม่เคยสนใจมัน จนกระทั่งไฟดับ
งานไม้ญี่ปุ่นทั้งอาคารและเครื่องเรือนสมัยโบราณ สร้างโดยไม่ต้องมีตะปูสักตัวเดียว ช่างโบราณใช้การขัดกันของไม้เป็นตัวยึด มั่นคง คานต่อกับเสาด้วยการบาก เชื่อมสนิท
เช่นเดียวกับหลายอย่างในชีวิต ตะปูก็อาจเป็นส่วนเกิน
บทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/6878b30e07472d530d068e5b
2 วันที่ผ่านมา -
คุณบริสุทธิ์แต่งงานมาได้ไม่กี่ปี หน้าตาทรุดโทรม วันหนึ่งเขาไปหาหมอสมหวังตรวจร่างกาย
หมอมองหน้าคุณบริสุทธิ์แล้วกล่าวว่า “สีหน้าคุณหมองคล้ำ เหมือนคนป่วยหนักใกล้ตาย ทำไมคุณบริสุทธิ์ยังไม่เลิกบุหรี่ตามที่ผมบอก?”
“ผมอดไม่ได้จริง ๆ ครับ หมอ”
“ตอนนี้สูบบุหรี่วันละกี่ซอง?”
“ห้าซองเองครับ หมอ”
“ห้าซองเอง! มิน่าเล่า ปอดคุณจึงพรุนขนาดนี้ คุณชื่อบริสุทธิ์ แต่ปอดของคุณไม่บริสุทธิ์เลย นี่คุณสูบบุหรี่มานานเท่าไหร่แล้ว?”
“ตั้งแต่แต่งงานครับ”
หมอถอนหายใจยาว
“สูบบุหรี่ขนาดนี้ คุณตายเร็วแน่ คุณก็เป็นคนมีสติปัญญา ก็รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ใช้ชีวิตให้มีค่าหน่อย อะไรไม่ดีก็เลิกเสีย เชื่อผมเถอะ แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้นเป็นคนละคน”
คุณบริสุทธิ์หายหน้าไปจากชีวิตหมอนานหกเดือน ก็บังเอิญพบหมอสมหวังที่สนามกอล์ฟ เขามองหน้าคุณบริสุทธิ์อย่างไม่เชื่อสายตา เอ่ยว่า “โอ้โฮ! สีหน้าคุณสดใสขึ้นมาก ร่างกายก็ดูแข็งแรงขึ้นผิดหูผิดตา เป็นไง คุณเลิกได้แล้วใช่ไหม?”
คุณบริสุทธิ์ยิ้ม กล่าวว่า “ใช่ครับ ผมทำตามคำแนะนำของหมอที่ว่าอะไรไม่ดีก็เลิกเสีย”
หมอตบไหล่คุณบริสุทธิ์ ยิ้ม ๆ “ยินดีด้วยที่คุณเลิกบุหรี่สำเร็จ บอกแล้วไงว่าคุณเป็นคนมีสติปัญญา ตอนนี้คุณดูดีขึ้นเยอะเลย สีหน้าแววตาสดใส ท่าทางมีความสุข เลิกบุหรี่แล้วได้ผลจริง ๆ”
คุณบริสุทธิ์บอกหมอ “ผมไม่ได้เลิกบุหรี่หรอกครับ”
“อ้าว!...” หมองงวูบ “ถ้าไม่เลิกบุหรี่แล้วทำไมคุณดูสดใสอย่างนี้ล่ะ”
“ผมเลิกกับเมียครับ”
วินทร์ เลียววาริณ
20-9-25....................
บางท่อนจาก เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์ฯ
(นวนิยายแนวใหม่ที่นำขำขันตลกๆ ระดับ ‘ขำกลิ้ง’ 400 เรื่องมายำเป็นนวนิยาย)https://www.winbookclub.com/store/detail/188/เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์กับนางสาวภุมรี%20ศจีรมย์%20สมถวิล%20จินตหรา%20พารัก%2520ปักเสน่ห์%20เรวดี%20ศรีสกาว
โปรโมชั่น https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee
เดี่ยว https://s.shopee.co.th/1VjWGyXzedhttps://s.shopee.co.th/9A8xPCjmLp
3 วันที่ผ่านมา -
หลังจากจบนวนิยาย สี่ภพ จะเขียนอะไรต่อ?
สี่ภพ กินเวลาผมไปห้าปี ช่วงห้าปีนั้น เส้นผมขาวโผล่มาแบบไม่เกรงใจ โดยเฉพาะช่วงต้นๆ ที่กำลังเริ่มงมหาทาง เกือบจะเลิกเขียนอยู่หลายครั้ง เพราะเหนื่อยมาก
เฮ้อ! ไม่น่าไปอำชาวบ้านเลย!
เขียนนวนิยายสเกลนี้ตอนอายุเลข 6 ไม่ใช่คำแนะนำของแพทย์แน่นอน
ปรมาจารย์ระดับกิมย้งก็ยังไม่ทำ ท่านซือแป๋หยุดเขียนนิยายเมื่ออายุ 48 เท่านั้น จึงอยู่จนถึงอายุ 94
ผมเขียนนวนิยายยากๆ เรื่อง ปีกแดง ตอนหนุ่มกว่านี้ราว 30 ปี ยังเหนื่อยแทบรากเลือด เรื่อง สี่ภพ นี้เขียนตอนวัยเลข 6 กว่า เขียนเสร็จแล้วก็เปิดเพลงของ อาภาพร ซิตี้เฮฟเว่น "เลิกแล้วค่ะ"
คงไม่จับโครงการใหญ่ขนาดนี้อีก ไม่ใช่กลัวปวดหัว แต่กลัวเด๊ดก่อนเขียนจบ
แพ้กลิ่นธูป ไม่อยากให้ใครจุดธูปไปถามพล็อตว่าจบยังไง พระเอกได้กับนางเอกหรือเปล่า ฯลฯ
ไม่อยากให้เป็นอย่าง ผู้ชนะสิบทิศ และ ขุนศึก ที่ผู้เขียนจากโลกไปก่อนเขียนจบ
ความจริงผมมีโครงการใหญ่ที่เหลืออยู่โครงการหนึ่งคือ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ภาค 2 พูดมาหลายปีแล้ว และอุตส่าห์ปูเรื่องสร้างตัวละครชุดใหม่เพื่อให้เดินเรื่องต่อไปได้แล้วด้วย แต่คิดแล้วขยาด
กลัว The End ของชีวิตจะมาถึงก่อน The End ของหนังสือ
หลายปีนี้สุขภาพเสื่อมลงอย่างเห็นชัด ถ้าว่าตามเนื้อเพลง My Way ตอนนี้ก็เป็นท่อน "And now, the end is near, and so I face the final curtain".
ปีนี้จึงว่าจะหยุดสโลแกน "เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ มิต้าทำ" ก่อน
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาหลังจบเรื่อง สี่ภพ ผมเขียนเรื่องสั้นเป็นหลัก ถือว่าเป็นโปรเจ็คท์คลายสมอง เพราะไม่ใช้เวลามากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องสั้นหักมุมจบ เป็นงานเขียนที่ผ่อนคลายดี
ความจริงผมยังมีไอเดียอีกมากมายในหัว แต่เชื่อว่าชีวิตนี้คงถ่ายทอดออกมาไม่หมดแล้ว
ทำงานแบบนี้ ยังไม่เป็นอัลไซเมอร์ก็บุญแล้ว สมองคิดตลอดเวลา ไอเดียโน่นนี่นั่นโผล่มาตลอด แล้วเกิดตัณหาอยากเขียนนั่นนี่โน่น
นี่อยู่ดีๆ ก็เริ่มเขียนนิยายนักสืบชุดใหม่ เป็นนักสืบโบราณยุครัชกาลที่ 5
หาเรื่องเหนื่อยอีกแล้วมั้ยล่ะ!
วินทร์ เลียววาริณ
19 กันยายน 25683 วันที่ผ่านมา