-
วินทร์ เลียววาริณ3 เดือนที่ผ่านมา
(ต่อจาก https://www.facebook.com/photo?fbid=1238521357636553&set=a.208269707328395)
เรื่องกบฏบวรเดชนั้นเล่าได้ยาว เพราะมีรายละเอียดบันทึกไว้มากมาย
ฉบับหนึ่งคืองานของพระยาศราภัยพิพัฒ เล่าถึงวันที่ถูกจับ
“คดีข้าพเจ้ามีจำเลยด้วยกัน ๗ คนคือ นายหลุย คีรีวัต, หลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เศรษฐบุตร), นายเทอญ มหาเปารยะ, นายเทิ้ม วาทิน, นายบุญเยี่ยม สุทธิถวิล และนายอำพัน สมุทศิริ คำฟ้องซึ่งขุนวิศุทธจรรยา เป็นอัยการพิเศษกล่าวว่า ‘จำเลยกับพรรคพวกได้เกลี้ยกล่อมทหารประจำการ ทหารกองหนุน และพลเรือนในพระราชอาณาจักร มีกรุงเทพฯ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดสระบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดนครสวรรค์ เป็นต้น เพื่อทำลายล้มรัฐบาล’ กับอีกตอนหนึ่งมีคำว่า ‘จำเลยได้สมคบกันพิมพ์หนังสือให้ชื่อว่า คณะกู้บ้านเมือง มีใจความสำคัญว่า คณะรัฐบาลดำเนินการตามลัทธิคอมมิวนิสต์ ปล่อยให้ราษฎรดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คณะกู้บ้านเมืองจะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่เหนือกฎหมายตามเดิม’ ”
ในวันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ จำเลยทั้งเจ็ดคนนี้ถูกคณะกรรมการศาลพิเศษ อันมีพลตรีพระยาประเสริฐสงครามเป็นประธานตัดสิน พระยาศราภัยพิพัฒ, สอ เศรษฐบุตร, หลุย คีรีวัต, บุญเยี่ยม สุทธิถวิล และ เทิ้ม วาทิน มีความผิดฐานกบฏ มาตรา ๑๐๑ ให้จำคุกไว้ตลอดชีวิต
สอ เศรษฐบุตร ก็คือคนแต่งพจนานุกรมอังกฤษ-ไทย ทำงานชิ้นนี้ในคุก
หากเห็นปกหนังสือเขียน สอ เสถบุตร ก็ไม่ต้องแปลกใจ เป็นภาษาวิบัติสมัยจอมพล ป. เรืองอำนาจ
ผมเขียนเรื่องของพระยาศราภัยฯไว้ในนวนิยายสองเรื่อง คือ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน กับ น้ำเงินแท้ ส่วน สอ เศรษฐบุตร มีบทบาทในนวนิยาย น้ำเงินแท้
หลังจากพระยาสุรพันธเสนีถูกส่งไปขังที่เกาะตะรุเตา ก็วางแผนหนี โดยหนีกันห้าคน รวมทั้งพระยาศราภัยพิพัฒ
ในนวนิยาย น้ำเงินแท้ ที่เขียนฉากหนีนี้อิงเรื่องจริง พระยาศราภัยบอกตัวเอกว่า “เราจะหนีไปลังกาวี คุณจะไปกับเราไหม?”
ข้าพเจ้า (ตัวละครเอกของ น้ำเงินแท้) นิ่งไป “แล้วจะไปได้ยังไงครับ?”
“นายหมียอมช่วยหาเรือให้เรา เราจะไปในวันที่ ๑๖ เดือนนี้”
ข้าพเจ้าว่า “ไว้ใจเขาได้หรือ?”
“ได้”
“ทำไมแน่ใจอย่างนั้น?”
พระยาศราภัยฯหัวเราะ “ผมแน่ใจอำนาจของเงิน! ตาหมีไม่ใช่คนโง่ เขาไม่ช่วยเราเปล่า ๆ หรอก เพราะถ้าพลาด เขาอาจต้องย้ายจากบ้านไปอยู่ในคุกแทน งานนี้เราได้ลูกเขยแกที่เป็นผู้คุมมาช่วยด้วย ตาหมีจะจัดการเตรียมเรือใบ เราให้เงินนายหมีมากพอที่เขาจะส่งเสียลูกเรียนจนจบ อีกอย่างเขาไม่ชอบขุนยมที่กลั่นแกล้งนักโทษสารพัด เขาอยากช่วยเรา”
“ตกลงเท่าไหร่?”
“ห้าพันบาท”
“เป็นเงินจำนวนสูงมาก”
“ต้องสูงอย่างนี้ ตาหมีกับลูกชายจึงกล้าเสี่ยง”
“เอาเงินนี้มาจากไหนครับ?”
“ภรรยาเจ้าคุณสุรพันธฯให้เงินมาเป็นค่าจ้างและค่าใช้จ่ายในการหนี”
“มีใครไปบ้างครับ?”
“ก็มีคุณ หลุย สอ เจ้าคุณสุรพันธฯ ขุนอัคนีฯ และแฉล้ม แฉล้มคำนวณฤกษ์หนีไว้แล้ว วันที่ ๑๖ ตุลาฯ ตอนสองทุ่มตรง มันเป็นคืนขึ้นสามค่ำ เชื่อแฉล้มเถอะ เขารู้เรื่องโหราศาสตร์ดี เขาบอกว่าคืนนั้นฤกษ์ดี หนีรอดแน่ ผมรู้ว่าคุณไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ แต่อย่าประมาทศาสตร์โบราณ ผมพิสูจน์มาแล้ว สองวันก่อนผมขอให้เขาพิสูจน์ความแม่นยำ เขาก็ทำนายว่าเมื่อวานตอนบ่ายสองฝนตกหนัก มันก็ตกตอนบ่ายสองจริง ๆ”
“แต่การทำนายว่าฝนตกไม่มีอะไรพิเศษนี่ครับ...”
“ผมก็บอกเขาอย่างนี้ แฉล้มจึงทำนายอีกเรื่องหนึ่ง บอกว่าบ่ายสองฝนตก บ่ายสามจะมีข่าวว่าคนเป็นอันตราย พอบ่ายสองเมื่อวานนี้ ฝนก็ตก และบ่ายสามก็มีข่าวว่าผู้คุมกับนักโทษสามัญที่ออกเรือหาปลาถูกปลากระเบนแทงบาดเจ็บ”
พระยาศราภัยพิพัฒเห็นสีหน้ากังวลของข้าพเจ้า บอกยิ้ม ๆ ว่า “ไม่ต้องห่วงน่า แฉล้มดูดวงไว้แล้ว เรารอดแน่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจะหนีสำเร็จสมประสงค์ ต่อให้ถูกผู้คุมตามล่า ก็จะแคล้วคลาดอันตรายทั้งปวง”
สอ เศรษฐบุตร เอาต้นฉบับปทานุกรมไปฝากกับ ชุลี สารนุสิต บอกชุลีว่า “ตรงหัวนอนของผมฝนรั่วบ่อย ๆ กลัวต้นฉบับจะเสียหาย”
ข้าพเจ้ารู้ว่าสอจำเป็นต้องปิดบังชุลี ยิ่งชุลีรู้น้อยเท่าใด ก็เป็นประโยชน์ต่อเขาเท่านั้น หากทางการมีหลักฐานว่าชุลีรู้เรื่องการหนีก่อน เขาคงจะถูกลงโทษ
แต่นาทีสุดท้าย สอ เศรษฐบุตร ก็เปลี่ยนใจไม่หนี เพราะแม่ของเขาบอกว่าอย่าทำ
ส่วนนายหมีที่ช่วยพาคนหนีมีตัวตนจริง เป็นชาวบ้านที่เกาะตะรุเตา
..................................
ในนวนิยาย ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน เสือย้อยถูกจับไปไว้ที่เกาะตะรุเตา เขาก็คิดหนีเช่นกัน แต่กลุ่มพระยาสุรพันธเสนีหนีไปก่อน ทำให้เขาหนีลำบากกว่าเดิม
ฉากนี้บรรยายการหนีของพระยาสุรพันธเสนีและพวกไว้ดังนี้
ดวงดาราเบื้องบนระยิบระยับ เหมือนกับภาพที่เขา (เสือย้อย) เคยมองอยู่เสมอเมื่อครั้งใช้ชีวิตนักปฏิวัติในป่า ต่างแต่ว่าที่นี่ไร้อิสรภาพ น้ำค้างเริ่มลงเผาะ ๆ ทำไมในนาทีนี้เขาจึงนึกถึง ตุ้ย พันเข็ม จำสายตาคู่นั้นที่มองเขาก่อนจากมาได้ดี นายตำรวจคนนั้นรู้แน่ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีวันกักขังคนอย่างเขาได้ แต่ไม่พูดอะไรนอกจากทิ้งอะไรบางสิ่งไว้ในกองสัมภาระของเขาก่อนจากไป เขาพบมันเมื่อเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว และขณะนี้มันกำลังอยู่ในมือของเขา
เป็นหนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ 18 ตุลาคม 2482 หรือหลายเดือนมาแล้ว ออกในช่วงที่เขายังถูกขังอยู่ในคุกบางขวาง หน้าหนึ่งเป็นข่าวนักโทษการเมืองห้าคนหนีออกจากเกาะตะรุเตา พร้อมใบหน้าของคนทั้งห้าเด่นหรา เขารู้จักคนกลุ่มนั้น พระยาศราภัยพิพัฒ นักการเมืองผู้โชกโชนประสบการณ์การเมือง, พระยาสุรพันธเสนี อดีตสมุหเทศาภิบาลมณฑลราชบุรี, ขุนอัคนีรัถการ, นายหลุย คีรีวัต, นายแฉล้ม เลี่ยมเพ็ชรรัตน์ ทั้งหมดเป็นนักโทษคดีกบฏบวรเดช
หนังสือพิมพ์รายงานว่า ตีสองเศษในคืนวันที่ 16 ตุลาคม เสียงนกหวีดกรีดกังวานปลุกนักโทษทุกคนให้ตื่นขึ้นมากลางดึก เสียงตะโกนโหวกเหวกดังลั่นไปทั่วเกาะ เมื่อพบว่ามีนักโทษหนีออกจากเกาะ ผู้คุมทุกคนถือปืนเต็มอัตราวิ่งพล่านเหมือนฝูงสิงห์ได้กลิ่นสมัน สั่งให้นักโทษทุกคนขึ้นมาตั้งแถวตรวจนับอย่างเคร่งเครียดกลางดึก ไม่นานต่อมาเรืออาดังพร้อมผู้คุมและอาวุธเต็มพิกัดก็ออกตามล่านักโทษเดนตายกลุ่มนั้นอย่างกระชั้นชิดทั้งคืน และมันเป็นการจับตายเท่านั้น
เช้าวันต่อมา จุดดำจุดหนึ่งปรากฏที่ขอบฟ้า และค่อย ๆ ชัดขึ้นทุกขณะ กลุ่มนักโทษชะเง้อคอมอง ในใจทุกคนเต้นระทึกว่านักโทษทั้งห้านั้นรอดตายไปได้หรือไม่ ไม่นานต่อมาเรืออาดังก็ปรากฏเบื้องหน้าทุกคน ไร้เงาร่างนักโทษการเมืองทั้งห้า เรือใบที่แอบมารับคนทั้งห้าเมื่อคืนได้อันตรธานไปจากท้องทะเลแถบนั้นแล้วเหมือนเรือปิศาจ ท่ามกลางการถอนหายใจอย่างโล่งอกของเพื่อนนักโทษด้วยกัน ทุกคนรู้ว่าต่อแต่นี้ไปโอกาสที่จะหนีรอดออกจากเกาะนรกนี้มีค่าเท่ากับศูนย์เท่านั้น
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ บางครั้งเรื่องจริงที่เกิดขึ้นระทึกกว่านิยายเสียอีก
วินทร์ เลียววาริณ
7-3-25
.............................อ่านรายละเอียดใน น้ำเงินแท้
https://www.winbookclub.com/store/detail/118/น้ำเงินแท้ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน
https://www.winbookclub.com/store/detail/145/ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน%20%28ปกอ่อน%20ปรับปรุง%290- แชร์
- 48
-
"Politicians and diapers have one thing in common: they should both be changed regularly… and for the same reason."
(นักการเมืองและผ้าอ้อมมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน มันควรถูกเปลี่ยนสม่ำเสมอ ด้วยเหตุผลเดียวกัน)
มาร์ก ทเวน เป็นนักเขียนที่มีวาจาคมกริบดั่งมีดโกน ชอบด่านักการเมืองเสมอ ดังนั้นประโยคคมๆ ประโยคนี้ ย่อมเป็นเขาพูด ใช่ไหม?
คำตอบคือไม่ใช่
ไม่มีหลักฐานใดเลยที่ชี้ว่านี่เป็นคำพูดของ มาร์ก ทเวน
แต่มันก็ถูกยกมาอ้างต่อมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้
เชื่อว่าเป็นการประดิษฐ์คำของใครสักคนในยุคหลัง แล้วยกให้เป็นคำของ มาร์ก ทเวน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันไม่ใช่คำของ มาร์ก ทเวน แต่เนื้อหาของคำนี้ก็ยังน่าจะถูกนะ... ว่าไหม?
เคี้ยกเคี้ยก
วินทร์ เลียววาริณ
19-6-250 วันที่ผ่านมา -
(ต่อจากตอนที่แล้ว https://www.facebook.com/photo?fbid=1315006533321368&set=a.208269707328395)
เล่าเรื่องคุณบริสุทธิ์ไปหาหมอต่อนะ
หลังจากคุณบริสุทธิ์ยกมือไหว้ตู้เอทีเอ็ม พยาบาลก็พาเขาไปพบหมอ
จักษุแพทย์บอกว่านัยน์ตาของคุณบริสุทธิ์โดยรวมอยู่ในสภาพดี ปัญหาเดียวของคุณบริสุทธิ์คือสายตาสั้นมาก สมควรไปตัดแว่นได้แล้ว ไม่งั้นก็จะไหว้ตู้เอทีเอ็มอีกแน่ๆ
คุณบริสุทธิ์กลับถึงบ้าน แจ้งมาดามจินตหราเพื่อของบตัดแว่นตา ภรรยาสั่นศีรษะ บอกว่า “แว่นอันเก่าของคุณก็ยังใช้ได้อยู่ ตัดใหม่ทำไมให้เปลืองเงิน ค่าแว่นเดี๋ยวนี้แพงเหลือเกิน กรอบแว่นธรรมดา ๆ อันละหมื่น ถูก ๆ ก็เจ็ดแปดพัน ค้ากำไรเกินควรชัด ๆ”
“แล้วทีคุณซื้อของไม่จำเป็นมากมาย ผมไม่พูดซักคำ คุณซื้ออุปกรณ์ครัวใหม่ ๆ มาแล้วก็ไม่ได้ใช้ เอาไว้โชว์แขกเท่านั้น คุณซื้อรองเท้าใหม่เดือนละสองสามคู่ ผมก็ไม่ว่า คุณซื้อเสื้อผ้าใหม่ทุกเดือน ผมก็ไม่ว่า คุณเสียเงินซื้อน้ำหอมที่แพงพอกับแว่นตา แล้วก็ไม่ใช้ บอกว่าไม่ชอบแล้ว คุณใช้จ่ายเงินทองสิ้นเปลืองแแบบนี้ ผมหมดตัวแน่ แต่ทีผมต้องใช้แว่นเพราะความจำเป็น คุณกลับบอกว่าไม่จำเป็น สุขภาพผมไม่สำคัญหรือไง ทำไมคุณทำอย่างนี้ ทำไมคุณเป็นคนแบบนี้ หา!”
หลายประโยคยาว ๆ เหล่านี้ คุณบริสุทธิ์พูดในใจ (ฉลาดไหม?)
คุณบริสุทธิ์เข้าใจว่าภรรยาต้องการประหยัดเงิน แต่คิดมากไปไย วาจาของหล่อนศักดิ์สิทธิ์กว่าของเขา อย่าว่าแต่เขามอบหมายภรรยาให้ดูแลเรื่องการเงินของครอบครัว
วันต่อมาคุณบริสุทธิ์ตื่นขึ้นตอนเช้า เดินตรงไปที่ครัว มาดามจินตหรากำลังหั่นผักอยู่ คุณบริสุทธิ์คว้าหมับที่ตะโพกภรรยา หอมแก้มหล่อน ถามว่า “วันนี้ทำอะไรกินจ๊ะ ที่รัก หอมจังเลยจ้ะ แล้วนี่ตะโพกเธอแน่นจังเลย”
พลันเสียงภรรยาดังจากด้านหลัง “มากไปแล้ว ไอ้แก่ นั่นเป็นคนใช้ ไม่ใช่เมียมึง เมียมึงนั่งอยู่นี่”
คุณบริสุทธิ์ตะลึง หันไปที่ต้นเสียง ก็คือมาดามจินตหรา ส่วนหญิงสาวผู้หั่นผักคือสาวใช้
มาดามจินตหราตรงเข้ามาคว้าแขนคุณบริสุทธิ์ ดึงออกจากครัว
คุณบริสุทธิ์ร้องด้วยน้ำเสียงตกใจ “นี่เธอจะทำอะไร?”
“ก็พามึงไปตัดแว่นใหม่ไง”
สวัสดีวันพฤหัส ขอให้มีความสุขทั้งวัน สายตาแจ่มชัด
.........................
จากนวนิยายขำขัน เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์ฯ (นวนิยายแนวใหม่ที่นำขำขันตลกๆ ระดับ ‘ขำกลิ้ง’ 400 เรื่องมายำเป็นนวนิยาย)
ค่าคลายเครียดแค่ 330 บาท เฉลี่ยขำละ 80 สตางค์ หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/188/เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์กับนางสาวภุมรี%20ศจีรมย์%20สมถวิล%20จินตหรา%20พารัก%2520ปักเสน่ห์%20เรวดี%20ศรีสกาว
โปรโมชั่น https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee เดี่ยว https://s.shopee.co.th/1VjWGyXzed
https://s.shopee.co.th/9A8xPCjmLp1 วันที่ผ่านมา -
พรุ่งนี้ว่าจะหาเวลาไปดูหนังใหม่ 28 Years Later
เป็นหนังเรื่องที่สามต่อจาก 28 Days Later และ 28 Weeks Later
เรื่องแรกกับเรื่องสามเป็นงานของ Danny Boyle + บทของ Alex Garland
เรื่องแรก 28 Days Later ดีมาก เรื่องที่สอง 28 Weeks Later ธรรมดา เพราะคนทำคนละทีม
เรื่องที่สามใช้ทีมเดียวกับเรื่องแรก จึงต้องไปดู แล้วค่อยมารีวิว
ตอนนี้อ่านรีวิว 28 Days Later ไปพลางก่อน
ส่่วนหนังเรื่อง ซอมบี้ชายแดนเขมร ผมขอผ่านนะ
..............................
[รีวิว 28 Days Later]
หนังเกี่ยวกับซอมบี้ในโลกภาพยนตร์มีมากมายแทบนับไม่ถ้วน จนบางคนจัดซอมบี้เป็นหนังอีกตระกูลหนึ่งไปแล้ว มีความพยายามสร้างความแปลกใหม่ให้งานตระกูลนี้ ทั้งสายทริลเลอร์ สายโรแมนติก ไปจนถึงแนวตลก ฯลฯ
ที่น่าสนใจ เช่น World War Z (2006) การหาต้นตอไวรัสซอมบี้
Zombieland (2009) หนังซอมบี้แนวตลก
Warm Bodies (2010) หนังซอมบี้แนว 'zombie romance'
Kingdom (2019-2020) ซอมบี้สัญชาติเกาหลี เป็นนิยายประวัติศาสตร์พีเรียด เล่นกับประเด็นอำนาจทางการเมือง
แต่หลายปีก่อนหน้านี้ มีหนังเรื่องหนึ่งที่เล่นประเด็นหลุดออกไปทุกราย นั่นคือ 28 Days Later
28 Days Later เป็นงานกำกับของ Danny Boyle เขียนโดย Alex Garland สองคนนี้เคยร่วมงานกันมาก่อนใน The Beach (2000) ต่อด้วยเรื่องนี้ แล้วตามด้วย Sunshine ในปีเดียวกันนั่นเอง
หลังจากนั้น Alex Garland ก็หันไปทำงานกำกับหนังดีหลายเรื่อง เช่น Ex Machina, Annihilation ส่วนใหญ่เป็นไซไฟ
28 Days Later เปิดเรื่องดี เกิดเหตุบางอย่างที่ย้อนแย้งและขันขื่น เมื่อกลุ่มคนองค์กรพิทักษ์สิทธิ์ของสัตว์หวังดีไปปล่อยชิมแปนซีในห้องแล็บของมหาวิทยาลัย แต่กลับปลดปล่อยเชื้อไวรัสในลิงออกไปสู่โลกภายนอก ตามด้วยตัวละครเอกตื่นขึ้นมาจากโคมาเมื่อ 28 วันต่อมา แล้วพบความเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอก สร้างความพิศวง ความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น และพาผู้ชมไปผจญภัยตายดาบหน้าด้วยกัน
ขณะที่หนังซอมบี้ทั่วไปเล่นกับความรุนแรงความน่ากลัวของซอมบี้ 28 Days Later กลับเล่นกับความน่ากลัวของคนด้วยกันเอง นี่เป็นจุดหักมุมของเรื่องตระกูลนี้
จุดหักมุมนี้สร้างแรงสะเทือนอารมณ์ และเป็นจุดที่ยกระดับ 28 Days Later ขึ้นมาเป็นงานดีทันที
ใน คหสต. รู้สึกว่าหนังช่วงต้นช้าไปนิด ขณะที่ช่วงท้ายเร็วไปหน่อย แต่โดยรวมมันเป็นหนังที่แรง คอนเส็ปต์ดี มุมมองน่าสนใจ และสดใหม่กว่าหนังซอมบี้จำนวนมาก
เป็นหนังซอมบี้น้อยเรื่องมากที่ทำให้เราต้องขบคิดต่อหลังจากออกจากโรงหนังไปแล้ว เชื้อโรคอยู่ในโลกนี้มาหลายพันล้านปีแล้ว ขณะที่ โฮโม เซเปียนส์ เพิ่งปรากฏตัวบนโลกเมื่อสองแสนปีมานี้เอง แต่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติทั้งโลก บางทีอาจเป็นคนนี่เองที่ก่อให้เกิดเชื้อซอมบี้
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ 28 Days Later ทำให้เราต้องมองเปรียบเทียบระหว่างซอมบี้กับคนว่าใครร้ายกว่ากัน
บางทีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกไม่ใช่เชื้อโรค แต่คือคนด้วยกันนี่เอง
9.5/10
วินทร์ เลียววาริณ
18-6-251 วันที่ผ่านมา -
ไม่ทุกคน ไม่ทุกฝ่ายรัก พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้นำไทยทุกยุคหลังจากนั้นสามารถเรียนรู้จากท่านคือ การรู้จักเงียบ
ทว่าไม่มีใครเรียนรู้
นี่เป็นคุณลักษณ์เฉพาะตัวของ พล.อ. เปรม ชาว Minimalist ทางการเมืองตัวจริง พูดน้อยที่สุด พูดเท่าที่จำเป็น เมื่อจำเป็นก็ลงมือเชือดนิ่มๆ จนท่านได้รับฉายาว่า นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา
สิ่งหนึ่งที่ผมถามตัวเองเสมอก็คือ ทำไมผู้นำไทยยุคหลัง พล.อ. เปรมไม่รู้จักเรียนรู้คุณสมบัติข้อนี้ เพราะส่วนมากยิ่งพูดยิ่งโชว์โง่
ปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ฝ่ายไทยพบว่าเวียดนามเคลื่อนกำลังทหารผิดปกติ เสนาธิการไทยรวมทั้ง พล.อ. เปรมอ่านออกว่าเวียดนามกำลังจะตีเขมร
ตอนนั้น เฮง สัมริน และฮุนเซน แกนนำเขมรแดงที่ถูกการเมืองภายในเล่นงาน ถูกคำสั่งฆ่าของพลพต หนีไปเวียดนาม แล้วตกลงกับเวียดนามให้ยกทัพมาโค่นล้มพลพตถ้าเวียดนามเข้าไปกำจัดเขมรแดง ชาวโลกก็ไม่ว่าอะไร เพราะพลพตโหด ฆ่าคนเป็นล้าน ปัญหาคือประเทศไทยมีเส้นพรมแดนติดเขมรถึงแปดร้อยกิโลเมตร ถ้าเวียดนามบุก ชาวเขมรหลายแสนคนจะอพยพเข้ามาที่ชายแดนไทย หรือเข้าเขตไทย เวียดนามอาจฉวยโอกาสนี้เข้ามาเปลี่ยนไทยเป็นคอมมิวนิสต์
แล้วก็จริงตามนั้น วันคริสต์มาสปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เวียดนามยกทัพเต็มอัตราศึกด้วยกำลังทหาร ๑๕๐,๐๐๐ คน โค่นรัฐบาลเขมรแดงสำเร็จในสองอาทิตย์
เวียดนามใช้ เฮง สัมริน และฮุนเซนเป็นหมากรุกรานกัมพูชา โค่นรัฐบาลพลพต ตั้งรัฐบาลหุ่น People’s Republic of Kampuchea (PRK) เฮง สัมริน ขึ้นเป็นประธานคณะกรรมการปฏิวัติประชาชนและผู้นำ ส่วนฮุนเซนดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และในเวลาต่อมาก็เขี่ย เฮง สัมริน แล้วก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
เขมรพลันแตกแยกเป็นสี่ก๊ก ก๊กที่หนึ่งคือรัฐบาลกัมพูชาของ เฮง สัมริน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเวียดนาม ฐานอยู่ที่พนมกระวันและตะวันตกของพระตะบอง กำลังคนราวสี่หมื่นคน
ก๊กที่สองคือกลุ่มเขมรแดงของ พลพต และเขียว สัมพันธ์ มีกำลังราวสี่หมื่นคน ก๊กที่สามคือกลุ่มซอนซาน มีกำลังราวสี่พันคน ก๊กที่สี่คือกลุ่มสมเด็จนโรดม สีหนุ
สามก๊กหลังรวมกันเรียกว่า Three United Resistance ต่อต้าน เฮง สัมริน และเป็นเป้าหมายการปราบปรามของเวียดนามกับ เฮง สัมริน
ทัพเวียดนามและเขมร เฮง สัมริน กวาดล้างกลุ่มต่อต้าน ไล่ล่าเขมรแดงมาถึงชายแดนไทย-กัมพูชา แล้วรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทย
ข่าวกรองบอกว่าเวียดนามเสนอความคิดแก่ พคท. ให้ยืมทหารเข้ายึด ๑๗ จังหวัดภาคอีสานของไทย แล้วประกาศเป็นรัฐใหม่
....................
ค่ำวันที่ ๒๒ เดือนมิถุนายน ๒๕๒๓ กำลังเวียดนามและ เฮง สัมริน ยกกำลังสองกองร้อย โจมตีค่ายอพยพที่ชายแดนอรัญประเทศพร้อมกัน ตีค่ายอพยพบ้านหนองจาน บ้านโนนหมากมุ่น อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี และอีกหลายหมู่บ้าน
ฝ่ายไทยทราบเรื่อง กำลังฝ่ายไทยที่คุ้มครองหมู่บ้านโนนหมากมุ่นบุกไปชิงพื้นที่คืน แต่ถูกฝ่ายเวียดนามถล่ม เสียชีวิตหลายคน
ทัพไทยยึดบ้านโนนหมากมุ่นคืนได้ในเวลา ๑๕.๔๕ น. ข้าศึกตายหลายสิบคน ทหารไทยตาย ๑๒ นาย แต่สามารถผลักดันกำลังเวียดนามออกไปในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๓
ห้าวันต่อมาคือ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๒๓ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ พาคณะทูตานุทูตไปดูบริเวณชายแดนปราจีนบุรีและวัฒนานคร เห็นหมวกกะโล่และดาวแดง บอกว่าเป็นพวกเวียดนาม
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถาม พล.อ. เปรมว่า “ทำไมทหารไทยรุกเข้าไปในเขตแดนเขมรถึงหกกิโลเมตร?”
พล.อ. เปรมตอบเรียบๆ ว่า “ไทยไม่เคยรุกล้ำใคร นอกจากเวียดนามจะรุกล้ำแผ่นดินไทย ก็เห็น ๆ อยู่แล้ว จะให้ทำอย่างไรถ้าไม่ต่อต้าน”
หน้าที่ทหารไทยคือปกป้องดินแดนไทย ใครแรงมา เราก็แรงไป ไม่ต้องพูดคำหวาน
......................
วันหนึ่งในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๒๘ ผู้นำไทยได้รับรายงานว่า เวียดนามบุกเนิน ๕๐๐ - ช่องบก หลังจากนั้นยุทธการช่องบกก็ดำเนินไปข้ามปี
เดือนมีนาคม ๒๕๓๐ การรบทวีความรุนแรงขึ้น จนเมื่อทหารไทยบุกประชิด มันก็กลายเป็นการรบแบบตะลุมบอน ใช้ดาบปลายปืน เลือดอาบแผ่นดินไทย
ไทยรบกับข้าศึกมาตลอด จนถึงจุดหนึ่ง ไทยก็ใช้กลยุทธ์ทำสงครามจรยุทธ์ ใช้กำลังทหารพรานกลุ่มเล็กออกล่าพวกเวียดนามในตอนกลางคืน ลอบเข้าไปในเขตฐานของเวียดนาม ฆ่าดักกงเงียบ ๆ ด้วยมีด แล้วหวนกลับมาฐานตอนสาง
ทหารพรานขุดคูเข้าหาฐานศัตรู เหมือนตัวตุ่นดำดินไปหาศัตรูเงียบ ๆ แทรกซึมเข้าไปในแนวข้าศึก ซุ่มโจมตี ตอดเล็กตอดน้อยให้พวกเวียดนามอ่อนกำลังลง ไม่สู้โดยไม่จำเป็น ขนอาวุธตามมา จนเข้าไปใกล้แทบลมหายใจรดต้นคอ สองฝ่ายเห็นหน้ากัน การรบแบบประชิดทำให้ฝ่ายข้าศึกไม่อาจใช้ปืนใหญ่ ขณะเดียวกันก็ชี้เป้าหมายให้แนวหลังกระหน่ำด้วยปืนใหญ่และเครื่องบินขับไล่จากกองบิน ๔ ตาคลี
การรบที่ช่องบกกินเวลานานตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๒๘ - ธันวาคม ๒๕๓๐ กองทัพไทยสูญเสียกำลังพล ๑๐๙ นาย บาดเจ็บ ๖๖๔ นาย
พ.ศ. ๒๕๓๒ เวียดนามถอนทหารออกจากกัมพูชาอย่างถาวร ปิดฉากการรบระหว่างไทยและเวียดนาม หลังจากเวียดนามคุกคามไทยมานานเกือบสิบปี
ประเทศไทยในยุคนั้นเป็นอีกห้วงเวลาหนึ่งที่หวุดหวิดเสียเมืองให้แก่ลัทธิคอมมิวนิสต์ เพราะกองทัพดำเนินนโยบายถูกจุด แผนการยุทธ์ถูกต้อง และทหารหาญพลีชีพเพื่อแผ่นดิน
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา บทบาทของทหารบ่อยครั้งออกนอกลู่นอกทาง จนเกิดประโยคคำถาม “ทหารมีไว้ทำไม?” แต่เมื่อเกิดวิกฤติร้ายแรงระดับสิ้นชาติ ทหารก็มีไว้เป็นรั้วแรกที่ต้านทานอริราชศัตรูด้วยเลือด
ช่วงเวลานั้นถ้าไม่มีนายทหารเสนาธิการระดับมันสมอง เช่น พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ และนายทหารเสนาธิการอีกหลายคนที่มองการณ์ไกล วางแผนการยุทธ์อย่างรอบคอบ เดินหมากการเมืองระหว่างประเทศอย่างชาญฉลาด รักษาสมดุลระหว่างอำนาจจีนและสหรัฐฯอย่างลงตัว วันนี้ประเทศไทยอาจจะอยู่ใต้ฟ้าดาวแดง
หลายคนร้องเพลงชาติไทยได้ แต่ไม่รู้ความหมายของประโยค "เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่"
และไม่เคยรู้จักคำพูดนี้ของ พล.อ. เปรม “ไทยไม่เคยรุกล้ำใคร... ก็เห็น ๆ อยู่แล้ว จะให้ทำอย่างไรถ้าไม่ต่อต้าน”
หน้าที่คนไทยทุกคนคือปกป้องดินแดนไทย ใครแรงมา เราก็แรงไป ไม่ต้องพูดคำหวาน ไม่ต้องพูดมาก ไม่มีทางก้มหัวให้ผู้รุกราน
นี่ก็คือบทเรียนที่ผู้นำรุ่นหลังไม่เคยเรียนรู้จากนักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา
วินทร์ เลียววาริณ
18-6-25...................................
อ่านรายละเอียดมากกว่านี้ได้จาก ประวัติศาสตร์ที่เราลืม / วินทร์ เลียววาริณ
ตอนนี้มีโปรโมชั่นพิเศษ คุ้มที่สุด 6 เล่ม 1,000 บาท จากราคาปก 1,605.-
118 เรื่อง = เรื่องละ 8.4 บาท หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว1 วันที่ผ่านมา -
ช่วงนี้มีคนพูดถึงเรื่องการศึกลวงว่า อิสราเอลอาจจะดึงอเมริกาเข้าร่วมสงครามสู้กับอิหร่าน โดยปลอมตัวเป็นอิหร่านไปถล่มฐานทัพสหรัฐฯ เพื่อทำให้สหรัฐฯเข้าใจผิด แล้วเข้าร่วมสงคราม
อุบายนี้มีศัพท์เฉพาะคือ False flag
แปลตรงตัวว่าธงปลอม
ที่มาของคำนี้คือในสมัยโบราณ พวกโจรสลัดติดธงชาติของชาติใดชาติหนึ่งหนึ่ง เพื่อลวงเรือของชาตินั้นให้หลงเชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับตน แล้วเทียบเรือ บุกเข้าปล้น
สงครามในประวัติศาสตร์ก็ใช้อุบายนี้เยอะ
ในเรื่องการเมืองก็ใช้กัน
ส่วนคนสัญชาติไทยที่ทำร้ายชาติตัวเอง ไม่น่าจะเข้าข่าย False flag
น่าจะเป็น False Thai มากกว่า
วินทร์ เลียววาริณ
17-6-252 วันที่ผ่านมา