-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
เรารู้ว่าสื่อไทยรายงานข่าวความขัดแย้งไทย-เขมรอย่างไร แล้วสื่อนอกล่ะ?
Aljazeera รายงานสรุปวันนี้ (25 July 2025) เป็น bullet points ว่า
- Thailand and Cambodia continued to exchange fire, as their worst cross-border fighting in years that has killed some 15 people – mostly civilians – entered a second day.
(ไทยกับกัมพูชายังยิงกันต่อเป็นวันที่สอง เป็นการต่อสู้ที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี ฆ่าคนตายไปราว 15 คน ส่วนมากเป็นพลเรือน)
- Cambodia’s Prime Minister Hun Manet says he backed a regional proposal for a ceasefire but Thailand withdrew its initial support for the plan.
(นายกฯกัมพูชา ฮุน มาเน็ต บอกว่าเขาเสนอแผนภาคพื้นเอเชียยุติการหยุดยิง แต่ไทยเป็นฝ่ายถอนตัวจากที่เดิมสนับสนุนแผนนี้)
- Thailand’s acting Prime Minister Phumtham Wechayachai has warned the fighting with Cambodia “could develop into war”, but added, “for now it remains limited to clashes.”
(นายกฯรักษาการของไทย ภูมิธรรม เวชยชัย เตือนว่าการปะทะกันกับกัมพูชา "อาจลามเป็นสงคราม" แต่เพ่ิมเติมว่า "แต่ ณ ขณะนี้มันยังเป็นแค่การปะทะ")
ผมตรวจสอบข่าวสำนักใหญ่ๆ เช่น CNN, BBC, Reuters ว่าเสนอข่าวเขมรถล่มไทยก่อนบ้างหรือไม่ ปรากฏว่าไม่พบสักข่าวเดียว (อาจมีแต่ไม่เห็น?) เห็นแต่ข่าวไทยบินไปทิ้งระเบิดใส่เขมร ไทยโจมตีเขมร ฯลฯ
ดูเหมือนว่าเขมรชิงพื้นที่สื่อทั่วโลก กระหน่ำไม่หยุด
อดรู้สึกไม่ได้ว่าเรากำลังแก้เกมวันต่อวัน
วินทร์ เลียววาริณ
25-7-251- แชร์
- 17
-
คุยเรื่องหนังอังเคิล ตอนนี้ที่ชายแดนกำลังฉายหนังกลางแปลงเรื่อง The Uncle Who Wags the Dog เสียงในฟิล์มภาษาเขมร
เรื่องนี้ลอกพล็อต Wag the Dog มาทั้งดุ้น
Wag the Dog เป็นหนังเก่าปี 1997 ของ Barry Levinson
เรื่องย่อคือประธานาธิบดีสหรัฐฯไปมั่วสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะในทำเนียบขาวก่อนการเลือกตั้งเพียงสองอาทิตย์ โอกาสที่จะได้รับเลือกตั้งแทบเป็นศูนย์ กุนซือประธานาธิบดีแก้ปัญหาโดยสร้างสงครามปลอมขึ้นมา เพื่อดึงความสนใจของประชาชนไปที่ข่าวสงคราม
กุนซือสร้างฉากสงครามที่อัลบาเนีย โดยใช้นักสร้างหนังฮอลลีวูดมาเขียนบท ถ่ายทำ ผลก็คือมหาชนเฮไปสนใจข่าวสงคราม
ซีไอเอรู้เรื่อง ออกมาประกาศว่าสงครามจบแล้ว สื่อก็กลับมาเล่นข่าวใต้สะดือในทำเนียบขาวต่อ กุนซือจึงต้องแต่งเรื่องขยายข่าวสงครามต่อไป โดยสร้างเรื่องว่ามีทหารอเมริกันคนหนึ่งถูกจับเป็นนักโทษสงครามที่อัลบาเนีย ผู้คนก็เฮกับขาวสงครามอีกรอบ
นักโทษปลอมคนนี้ถูกพาตัวกลับสหรัฐฯ ระหว่างทางไปรอรับเกียรติยศ นักโทษปลอมถูกชาวบ้านยิงตาย เพราะพยายามข่มขืนสาวชาวบ้าน กุนซือเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ออกข่าวว่านักโทษตายเพราะบาดเจ็บจากสงคราม ประธานาธิบดีได้รับเลือกสมัยที่สองฉลุย จบข่าว
Wag the Dog กลายเป็นสำนวน หมายถึงการปกปิดเรื่องไม่ดีของตัวเองด้วยการก่อสงครามกับประเทศอื่น เบนความสนใจของประชาชนไปอีกทางหนึ่ง
ในชีวิตจริง ก็มีผู้นำแบบนี้มากทีเดียว ก่อสงครามเรียกคะแนนนิยม หากชนะสงครามก็จะมีภาพลักษณ์ว่าเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง คนก็จะลืมด้านแย่ ๆ ของเขาไป
ผู้นำบางคนทำเรื่องชั่วไว้ เมื่อจวนตัวก็จัดฉากจ้างคนมายิงตัวเอง แต่มือปืนยิงพลาดตามฟอร์ม รอดหวุดหวิด! คะแนนนิยมพุ่งกระฉูด!
ทั้งหมดนี้คือการเมือง และการเมืองก็คือการจัดฉากสร้างหนังโฆษณาชวนเชื่อ
และขออภัย! คนจ่ายราคาค่าสร้างหนังก็คือประชาชนนั่นเอง
สำหรับ The Uncle Who Wags the Dog เรื่องนี้ ทุ่มทุนสร้างมหาศาล มีฉากสงครามยิ่งใหญ่ ระเบิดภูเขา เผาเซเว่น เอ๊ย! ขออภัย! เผากระท่อม อลังการระดับ ไมเคิล เบย์ มีอาย
อังเคิลทุ่มสุดตัวสร้างขนาดนี้ เอาไปเลย 10/10
ส่วนจะจัดตระกูลหนังเรื่องนี้เป็นหนังการเมือง หนังดรามา หนังสงคราม หรือหนังตลก ผมก็ไม่รู้จริงๆ
วินทร์ เลียววาริณ
26-7-250 วันที่ผ่านมา -
ดูข่าวสงครามแล้วเครียด ดูหนังเก่าดับเครียดดีกว่า
ว่าแล้วก็เปิดตู้เก็บหนัง...
เห็นรายชื่อหนังแล้วเครียดกว่าเดิม
0 วันที่ผ่านมา -
บทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/67fbe1a6562777bb7c6bcd6e
0 วันที่ผ่านมา -
สมมุติว่ามีคนขอให้จิตแพทย์ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ทำหนังเกี่ยวกับแวมไพร์ เคาน์แดรกคิวลา โดยเขาเขียนบท และให้อัจฉริยะประติมากร ไมเคิล แองเจโล เป็นผู้กำกับ หนังอาจออกมาในรูปประติมากรรม เป็นการแกะสลักแผ่นหินอ่อนเป็นรูปนูน (Relief) ประกอบด้วยตัวละคร สูงต่ำ สว่างด้านนอกที่สัมผัสแสง มืดในส่วนที่เป็นหลืบ สวยงาม แต่ลึกลับ
Nosferatu ฉบับล่าสุดของ Robert Eggers ให้ความรู้สึกอย่างนั้น
แน่ละ มันเป็นภาพยนตร์ แต่ทั้งเรื่องดูเป็นอาร์ต
Nosferatu หมายถึงแวมไพร์ มาจากตำนานปรัมปราของโรมาเนีย ที่ต่อมาเป็นต้นกำเนิดนิยาย Dracula ของ Bram Stoker
เราแทบทุกคนคงรู้เรื่องแวมไพร์ เคาน์แดรกคิวลาดีแล้ว มนุษย์อมตะที่ยามกลางวันซ่อนในโลง กลางคืนเพ่นพ่าน ดูดเลือดคน และตายได้ด้วยแสงอาทิตย์ หรือการตอกเหล็กแหลมเข้าที่หัวใจ
Nosferatu เป็นงานรีเมกงานเก่ามากเรื่อง Nosferatu: A Symphony of Horror หนังเงียบเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เรื่องของแวมไพร์ชื่อเคาน์ออร์ล็อกที่ล่าเหยื่อ ภรรยาของนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คนหนึ่ง
ดังนั้น Nosferatu จึงไม่มีอะไรใหม่ในเชิงพล็อตเรื่อง ความใหม่อยู่ที่มุมมองทางจิตวิทยา และการนำเสนอแบบอาร์ต
หากดูแบบเปลือกนอก Nosferatu เป็นหนังทริลเลอร์สยองขวัญธรรมดา แต่หากดูลึกเข้าไป มันเหมือนกำลังอ่านงานวิจัยเรื่องจิตและตัวตนของมนุษย์ของปรมาจารย์จิตวิทยา ซิกมันด์ ฟรอยด์
ทฤษฎี Psychoanalysis ของฟรอยด์พูดถึงพฤติกรรมของมนุษย์ที่เกิดจากจิตใต้สำนึก โดยเฉพาะประสบการณ์ในวัยเด็ก แรงขับเคลื่อนดิบพื้นฐาน เซ็กซ์ มาตรฐานทางศีลธรรม ที่ก่อรูปความคิด และพฤติกรรมของเรา
หนังใช้ฉากศตวรรษที่ 19 ได้เข้ากับบริบท เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่สตรีสวมชุดคอร์เส็ตต์รัดรูปจนหายใจไม่ได้ ทุกอย่างซ่อนภายในจิตใต้สำนึก (ในฉากหนึ่งการรักษาใช้ชุดคอร์เส็ตต์รัดตัว)
หนังสะท้อนถึงความปรารถนาที่เก็บกดภายใน สังคมที่มีกรอบ ในที่นี่แวมไพร์ก็น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของเพลิงปรารถนา เคาน์ออร์ล็อกในเรื่องมักปรากฏตัวในรูปเงามืด คล้ายสะท้อนความปรารถนาในหุบเหวของความคิดคน
ในด้านการนำเสนอแบบอาร์ต นี่เป็นหนังสวยในเชิงศิลปะ งดงามแทบทุกฉาก เป็นหนังสยองขวัญที่ดูดีมากในเชิงศิลป์ ภาพสวยทั้งเรื่อง จัดองค์ประกอบ แสงเงาสวยงาม เหมือนดูประติมากรรมชั้นดี จึงไม่น่าแปลกใจที่หนังได้รับการเสนอชิงรางวัล Best Cinematography จากเวทีออสการ์
ปกติผมไม่ชอบดูหนังแนวนี้ หากไม่ใช่เพราะผู้กำกับคือ Robert Eggers คนทำหนัง The Witch (2015), The Lighthouse (2019), The Northman (2022) หนังของเขามืดหม่น ดูยาก ต้องคิดสองสามตลบ โดยเฉพาะ The Lighthouse ดูแล้วปวดหัวไปหลายวัน
แม้ Nosferatu ฉบับนี้มีพล็อตเรื่องธรรมดาและเราคาดเดาเรื่องได้ไม่ยาก แต่การเล่าเรื่องดี จังหวะจะโคนดี ทำให้เราดูหนังเรื่องนี้เหมือนถูกสะกดจิต
Nosferatu ก็อดทำให้เราคิดถึงโลกที่เรากำลังอยู่ไม่ได้ สองศตวรรษหลังเคาน์ออร์ล็อก เราก็ยังอยู่ในโลกใบนั้น ความแตกต่างคือในโลกของ โซเชียล เน็ตเวิร์ก เราสามารถปลดปล่อยความปราถนาด้านมืดออกไปโดยไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรา ขณะเดียวกันเราก็พบกับความหลอกลวงแบบ 'เคาน์ออร์ล็อก' ทุกวัน ล่อลวงเราตลอดเวลา
แต่ไม่นานมานี้ เราพบว่าที่ร้ายกว่า 'เคาน์ออร์ล็อก' ก็คือ 'อังเคิลออร์ล็อก' นี่เอง
8/10
ฉายทาง HBOวินทร์ เลียววาริณ
25-7-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
1 วันที่ผ่านมา -
เมย์ฟลาย (Mayfly) หรือแมลงชีปะขาว เป็นสัตว์ที่มีอายุสั้นที่สุดชนิดหนึ่งในโลก จัดอยู่ในกลุ่มแมลง Ephemeroptera (มาจากคำกรีก ephemeros แปลว่าอายุสั้น, pteron แปลว่าปีก) สายพันธฺุ์นี้มีบรรพบุรุษร่วมกับตระกูลแมลงปอ ในโลกมีราว 2,500 สปีชีส์
เราพบเมย์ฟลายตามแหล่งน้ำทั่วไป เช่น หนอง บึง ลำธาร ทะเลสาบ แม่น้ำ เป็นแมลงที่มีคุณสมบัติไวต่อการสัมผัสรู้สารพิษ จึงใช้เป็นดัชนีวัดคุณภาพของแหล่งน้ำได้
เมย์ฟลายชอบอาศัยอยู่ตามก้อนหินกลางน้ำที่ไหลแรง มันมีแผ่นเหงือกที่ประกอบด้วยหนามแหลมขนาดเล็กจำนวนมาก ช่วยให้เกาะก้อนหินตามลำธารได้ดี ไม่ถูกกระแสน้ำพัดหลุดลอยไป
ที่ว่าอายุสั้น สั้นแค่ไหน?
พวกมันเกิด อยู่ สืบพันธุ์ และตายในวันเดียว!
ก่อนลืมตาดูโลก พวกมันเป็นตัวอ่อนในน้ำ เมื่อถึง ‘วันเกิด’ พวกมันจะลอกคราบบินโผล่จากผิวน้ำสู่โลกเป็นวันแรกและวันสุดท้าย ในวันเดียวของชีวิตบนโลกใบนี้ พวกมันไม่กินอะไร ทุกตัวเกิดมาทำงานแล้วตายไป ทำทุกอย่างจบในวันสั้น ๆ หนึ่งวัน
หนึ่งวันน่ะหรือสั้น?
การใช้เวลาอย่างสุรุ่ยสุร่ายทำให้คนหลายคนผ่านชีวิตถึงวันสุดท้ายแล้วพบว่าตนเองยังไม่ได้ทำอะไรที่มีคุณค่าเลยสักอย่าง แคนวาสแห่งชีวิตยังว่างเปล่า บางคนนอกจากไม่เคยทำเรื่องดีแล้ว ยังทำแต่เรื่องชั่ว ๆ
คนที่ผ่านการทำงานในวงการที่ให้เวลาทำงานน้อยมานานพอ มักพบสัจธรรมว่าเวลาน้อยไม่เป็นอุปสรรคในการสร้างสรรค์งานดี ๆ งานสร้างสรรค์ดี ๆ จำนวนมากในโลกเกิดขึ้นในเวลาสั้นแสนสั้น
ดังนั้นเมื่อได้รับงานสักชิ้น ก่อนเอ่ยประโยค “เวลาไม่พอ” ลองนึกถึงเจ้าเมย์ฟลาย เรามีสมอง อย่าให้อายแมลง หากผ่านไปหนึ่งวันโดยไม่ได้ทำอะไร
ลองนึกดูว่า หากเรามีชีวิตเพียงวันเดียวอย่างเจ้าเมย์ฟลาย เราจะทำอะไรบ้าง ทำอะไรก่อน ทำอะไรทีหลัง
หากเราให้ผู้แทนราษฎรอภิปรายในสภาได้คนละนาทีเดียว เราคงได้สาระมากกว่านี้มากนัก เพราะเวลาจำกัดขนาดนั้นจะบังคับให้พูดเฉพาะสาระของเรื่องจริง ๆ
การรู้ว่ามีเวลาน้อยยังทำให้เราไม่เสียเวลาไปกับการวิตกกังวล ทะเลาะกัน อิจฉากัน นินทากัน เพราะรู้ว่าเหลือเวลาน้อย ทำเรื่องใหญ่กว่านั้นดีกว่า
บางทีมีเวลาน้อยก็ดีเหมือนกันนะ!
วินทร์ เลียววาริณ
25-7-25ย่อความจาก ท้องฟ้าไม่ปิดทุกวัน
36 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 175 บาท = บทความละ 4.86 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/110/ท้องฟ้าไม่ปิดทุกวัน1 วันที่ผ่านมา