• วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    ข่าวการเมืองโลกข่าวหนึ่งที่ไม่ค่อยเป็นข่าวในบ้านเราคือ เกิดกระแสชาตินิยมต้านอเมริกาที่อินเดีย เพราะเพื่อนเลิฟคือทั่นทรัมป์ขึ้นภาษีโหด เหตุผลที่ให้คืออินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซีย

    อินเดียร้อง อ้าว! ทีสหรัฐฯและยุโรปก็ยังซื้อน้ำมันและสินค้าอื่นๆ จากรัสเซีย ปากว่าตาขยิบ

    ด้วยความน้อยใจ ก็เดินขบวน เผาหุ่นทั่นทรัมป์ และประกาศเลิกซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ

    เอาละ เราไม่รู้ว่าทำไมทั่นทรัมป์ทำอย่างนี้กับประเทศที่ผลิตไอโฟนมากที่สุดให้สหรัฐฯ แต่ใครเล่าจะเดาใจทั่นได้

    ก็มาถึงประวัติศาสตร์บทที่หลายคนไม่รู้ คือ Monroe Doctrine

    หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐฯกลายเป็นเจ้าโลก อเมริกันชน 4.2% ปกครองโลกทั้งใบ

    หลายสิบปีนี้สหรัฐฯเข้าไปยุ่มย่ามทุกมุมโลก ทุกที่ที่ไปก็เละ เช่น เวียดนาม อัฟกานิสถาน อิรัค ฯลฯ

    ที่ยังมีอาการเรื้อรังอยู่ตอนนี้ก็คือยูเครน ซึ่งเป็นสงครามตัวแทนระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซีย โดยใช้องค์การ NATO เป็นหัวหอก

    มันเริ่มมาจากในยุค 1990 กอร์บาชอฟยอมล้มสหภาพโซเวียตส่วนหนึ่งก็เพราะประธานาธิบดีบุช ผู้พ่อ สัญญาว่าสหรัฐฯจะไม่ขยับตัวเข้าไปทางตะวันออกแม้แต่นิ้วเดียว

    แต่นโยบายสหรัฐฯเปลี่ยนไป สหรัฐฯโค่นประธานาธิบดียูเครนที่ไม่ต้องการ NATO ส่งประธานาธิบดีที่ปรารถนา NATO เข้าไปแทน

    ยุทธศาสตร์คือนำอาวุธไปจ่อที่ชายแดนรัสเซีย

    เมื่อรัสเซียประณามการรุกคืบของ NATO สหรัฐฯก็บอกว่า "นี่คือวิถีประชาธิปไตย มันเป็นสิทธิของชาวยูเครนที่จะเลือก"

    เอาละ สมมุติว่ารัสเซียหรือจีนไปตั้งฐานทัพที่เม็กซิโก วางขีปนาวุธไว้ใกล้ๆ พรมแดนสหรัฐฯ สหรัฐฯคงไม่บอกว่า "นี่คือวิถีประชาธิปไตย มันเป็นสิทธิของชาวเม็กซิโกที่จะเลือก"

    คงส่งกองทัพอันเกรียงไกรไปถล่ม หรือปิดล้อมทันที ดังที่เคยเกิดมาแล้วในยุคเคนเนดี

    แค่บริษัทจีนไปทำธุรกิจคุมคลองปานามา สหรัฐฯก็ไม่ยอม หรือไปสร้างท่าเรือยักษ์ Chancay ที่เปรู สหรัฐฯก็จับตามองอย่างใกล้ชิด คำรามว่า "เอ็งชักมาใกล้เกินไปแล้ว"

    ถ้าเป็นยาสีฟัน ก็ใกล้ชิดได้ แต่เรื่องการทหาร ใกล้ชิดเกินไปไม่ดี

    ความจริงสหรัฐฯไม่มีนิสัย ส.ท.ร. อย่างนี้มาก่อน นโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯสองร้อยปีก่อนชัดเจนมาก ในสมัยประธานาธิบดี เจมส์ มอนโร ปี ค.ศ. 1823

    เรียกว่าลัทธิมอนโร (Monroe Doctrine)

    สาระของลัทธิมอนโรหากพูดด้วยภาษาชาวบ้านคือ "กูไม่ยุ่งกับมึง มึงอย่ามายุ่งกับกู"

    หรือภาษาวัยรุ่นคือ "ทาง who ทาง it"

    แปลว่าสหรัฐฯจะไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับแผ่นดินอื่น

    ผ่านไปสองร้อยกว่าปี ไม่มีใครรู้จักหรือเคยได้ยินลัทธิมอนโรแล้ว

    ตอนนี้สหรัฐฯกลายเป็นธานอส ต้องการเป็น unipolar power แต่เพียงผู้เดียวในจักรวาลชั่วกาลปาวสาน

    ธานอสสหรัฐฯดีดนิ้วที ใครๆ ก็คลานเข่าไปหาอย่างว่าง่าย

    ใครไม่คลานมา ก็ขึ้นภาษี

    ใครทำอะไรไม่ถูกใจ ก็ออกแถลงการณ์ "เราเป็นห่วงในสถานการณ์ที่ประเทศยู..."

    สหรัฐฯกลายเป็น hegemonic state คือรัฐที่มีอำนาจทางทหาร การเมือง เศรษฐกิจเหนือชาติอื่น เป็นคนกำหนดเกม

    (hegemonic = ปกครอง ครอบงำ แผ่อิทธิพล)

    นึกอยากบีบไข่ใครก็บีบ อยากขึ้นภาษีก็ขึ้น ใครจะทำไม

    นึกอยากทำสงคราม ก็ทำ ใครจะทำไม

    ...................

    ศาสตราจารย์ โนม ชอมสกี (Noam Chomsky) กูรูด้านการเมืองโลก บอกว่าโลกเรามีสองแนวทางที่เราจะอยู่ด้วยกัน

    1 คือ UN-based international order ทางนี้สหรัฐฯไม่รับ เพราะมันจะค้านสิ่งที่สหรัฐฯทำเสมอ

    2 คือ Rule-based international order อันนี้สหรัฐฯรับได้ ทำไม? ก็เพราะสหรัฐฯเป็นผู้กำหนด rules!

    แต่จีนไม่ยอมรับ Rule-based international order

    Noam Chomsky ยกตัวอย่างกรณีสหรัฐฯแซงชั่นอิหร่านอย่างหนัก ยุโรปไม่เห็นด้วย แต่ก็ทำตามสหรัฐฯสั่ง ขณะที่จีนไม่แคร์อะแดมน์

    Noam Chomsky ยกอีกตัวอย่างคือกรณีรัสเซียบุกยูเครน ทุกประเทศประณามรัสเซีย แต่กลุ่มประเทศโลกใต้ (global south) ไม่ประณาม สหรัฐฯถามว่าทำไมพวกเอ็งไม่ประณาม รัสเซียไม่ผิดหรือไร

    กลุ่มประเทศพวกนั้นตอบว่า ผิดซี บุกยูเครนมันผิด แต่สหรัฐฯก็บุกไปทั่วเหมือนกันนี่หว่า

    ถ้าใช้คำพระคือ ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง

    Noam Chomsky บอกว่า อันตรายของสหรัฐฯก็คือสหรัฐฯเอง ภายในกำลังป่วย

    แต่อเมริกันชนจะรู้หรือไม่ หรือรู้แล้วทำอะไรได้หรือไม่ ก็ไม่มีใครรู้

    รู้แต่ว่าล่าสุดอินเดียหันไปคุยกับจีน ทั้งที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากัน

    เชื่อว่าพวกนี้กำลังรวมตัวเป็น Avengers ขึ้นมาต้านธานอส

    คำถามคือตอนนี้เราอยู่ในหนัง Avengers ภาคไหน

    วินทร์ เลียววาริณ
    27-8-25

    0
    • 0 แชร์
    • 25

บทความล่าสุด