• วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ ผมก็นึกถึงฉากนี้ในนวนิยาย ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ที่เขียนมา 32-33 ปีแล้ว

    คือฉาก ตุ้ย พันเข็ม ไปร่วมพิธีศพเจ้าหน้าที่รัฐที่ตายในวันเสียงปืนแตก (7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 ครบรอบ 60 ปีในปีนี้) แล้วนึกถึงเจ้านายเก่า (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ที่ตายต่างแดน อัฐิเก็บไว้ในวัดเดียวกัน

    เรื่องท่อนนี้เขียนไว้ดังนี้

    .....................

    อัคคีเร่าร้อนระริก แลบแปลบไปมาดุจลิ้นอสรพิษ ปลายแฉกไร้รูปฉกตวัดเปลวสีแดงส้มพล่านพลุ่งจากเมรุเผา ไฟร้อนแรงละเลียดผ้าห่อหุ้มสีขาวที่ห่มคลุมร่างเย็นชืดซึ่งครั้งหนึ่งเคยโลดแล่นในโลก เคยรัก เคยเกลียด เคยโลภ โกรธ หลง เคยรุ่งเรือง เคยมีอำนาจวาสนา บัดนี้กลับเป็นเพียงซากไร้วิญญาณนอนนิ่งให้ไฟลูบไล้ร่าง

    หลายมือที่ยังมีชีวิตโยนดอกไม้จันทน์เข้าไปในเตาเผา พริบตามันก็มอดไหม้เป็นจุรณ เตาสีดำสนิทค่อย ๆ ส่งควันสีเทาลอยอ้อยอิ่งจากยอดปล่อง เชื่องช้าคล้ายกับจะรู้ว่ายังมีซากเรียงรอให้มันย่อยสลายอยู่ไม่มีวันสิ้นสุด มันพบเห็นความตายมามากนัก สำหรับมันแล้ว ชีวิตเป็นเพียงสิ่งสมมุติฉากหนึ่งที่เริ่มด้วยความฝัน และจบลงด้วยความจริง

    ตุ้ย พันเข็ม ยืนอยู่ที่นั่นมานานแล้ว ในลานวัดที่ว่างเปล่าและเงียบเหงา เฝ้ามองพิธีเผาศพของเจ้าหน้าที่รัฐที่ตายจากการถูกซุ่มโจมตี งานศพเป็นสิ่งที่เขาเกลียด แต่กลับพบพานอยู่เสมอ เขารู้จักตำรวจสามนายในกลุ่มผู้ตายเพราะเคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา ทั้งหมดยังเป็นคนหนุ่มฝีมือดีมีอนาคตไกล แต่กลับตายอย่างง่ายดายจากการถูกกลุ่ม 'ผู้ก่อการร้าย' ซุ่มโจมตีเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 วันที่ถูกจารึกบนหน้าประวัติศาสตร์ไทยว่า วันเสียงปืนแตก

    หลังจากผู้ที่มาร่วมงานศพแยกย้ายกันกลับหมดแล้ว เขาก็มานั่งอยู่ที่ลานวัดคนเดียว รอบข้างเป็นเจดีย์เก็บอัฐิเรียงเป็นแถว จะมีใครสนใจบ้างไหมว่า เมื่อตายแล้วก็ถูกเผาเหลือเพียงอัฐิมาเก็บไว้ในเจดีย์เก่า ๆ นี้ แม้แต่อัฐิของ 'ท่าน' ก็ถูกบรรจุในเจดีย์วัดแห่งหนึ่งเช่นกัน

    เมื่อท่านเสียชีวิตในต่างแดนเมื่อหนึ่งปีก่อน ศพของท่านถูกเผาที่นั่นและนำอัฐิกลับมายังแผ่นดินมาตุภูมิ เครื่องบินนำอัฐิท่านกลับมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2507 ท่ามกลางกองเกียรติยศของทหารอากาศและคนใหญ่คนโตมากมาย เขาก็เป็นคนหนึ่งในหมู่คนที่ไปรอรับ หากแต่ยืนหลบมุมมองดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ เงียบ ๆ ห้าสิบวันต่อมาอัฐิถูกนำมาเก็บไว้ในเจดีย์

    เขาเคยคลุกคลีกับ 'ท่าน' มานาน ท่านเป็นทั้งเจ้านายและเพื่อน กรำศึกการเมืองมานับไม่ถ้วน หลายปีแห่งชีวิตที่โลดแล่นอย่างโลดโผนจบลงด้วยการถูกยึดอำนาจและลี้ภัยที่แดนอาทิตย์อุทัย บางทีท่านคงเคยได้ยินคำกวีที่ปราชญ์ญี่ปุ่นโบราณว่าไว้ ชีวิตเป็นเพียงความฝันในฤดูใบไม้ผลิ ความตายก็คือการกลับบ้าน

    ความตายก็คือการกลับบ้าน! ชีวิตที่ผ่านร้อนหนาวมานานของท่านคงเข้าใจมันซึ้งกว่าใคร มันเป็นสัจธรรมแห่งธรรมชาติที่ไม่เคยหลีกทางให้ผู้ใด ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นไพร่หรือราชา มันเลือกจู่โจมในยามที่คนไม่ระวัง เขาเคยพบความตายที่หนักแน่นกว่าขุนเขา ความตายที่เบาโหวงดุจขนนก ความตายจากโรคภัย ความตายจากการประหาร ความตายจากสงคราม อีกนานเท่าใดจะถึงความตายของเขา? อีกนานเท่าใดเขาจะได้กลับบ้าน?

    ลานวัดว่างเปล่าและเงียบเหงา ไฟในเมรุมอดลงแล้ว นกกระจอกตัวสุดท้ายในลานวัดจิกอาหารบนพื้นเป็นคำสุดท้ายก่อนโบยบินจากไป มันจะเข้าใจไหมว่า ชีวิตไม่ว่าจะเปี่ยมอำนาจและทรัพย์ศฤงคารเท่าใด ในที่สุดก็ต้องจากไปอย่างเดียวดายทุกคน?

    เช่นเดียวกับนก ตุ้ย พันเข็ม จากวัดไปเงียบ ๆ คนเดียว

    .....................

    นวนิยายฉากนี้ฉายภาพสัจธรรมที่นักการเมืองจำนวนมากไม่ค่อยมอง นั่นคืออำนาจไม่เคยอยู่ค้ำฟ้า มันมีขึ้นก็มีลง และผู้นำสูงสุดหลายคนก็ต้องตายต่างแดน และกลับบ้านในสภาวะอัฐิ

    มันน่าจะเป็นภาพที่ทำให้คนอยู่ในอำนาจรักบ้านเกิดของตนมากขึ้น และทำเพื่อแผ่นดินเกิดมากขึ้นสักนิด

    เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราวัดค่าของคนหลังจากเขาตาย ว่าจะมีใครจดจำและระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่เขาเคยทำให้แผ่นดินเกิดไหม

    วินทร์ เลียววาริณ
    5-9-2568

    1
    • 0 แชร์
    • 22

บทความล่าสุด