-
วินทร์ เลียววาริณ2 ปีที่ผ่านมา
(หลังจากดูเรื่อง โหดเลวดี รอบล่าสุด ก็ถือโอกาสดูชุด Infernal Affairs - สองคนสองคม อีกครั้ง คราวนี้ดูแบบชำแหละและจับผิด ผลคะแนนก็ยังเหมือนเดิมคือ 10/10)
ตัวละคร ไมเคิล คอร์ลีโอน กล่าวในภาพยนตร์เรื่อง The Godfather Part III ว่า “ขณะที่ผมคิดว่าผมออกมาแล้ว พวกนั้นก็ดึงผมกลับเข้าไปใหม่”
คนชั่วเมื่อคิดล้างมือจากวงการ ก็อาจทำไม่ได้
แล้วคนดีที่เข้าสู่วงการคนชั่วด้วยเจตนาดีเล่า? ล้างมือได้หรือไม่? หนีออกจากทางสายเดิมได้หรือไม่?
และนี่คือ 無間道 ทางที่ไม่สิ้นสุด
ชื่อจีนของภาพยนตร์เรื่อง Infernal Affairs (สองคนสองคม)
無間 = ไม่สิ้นสุด 道 = ทาง ในที่นี้รวมแล้วหมายถึงนรกไม่สิ้นสุด ไม่มีการเกิดใหม่ ไม่อาจหนีพ้น
ชื่อเรื่องอังกฤษเป็นการเล่นคำ เลียนคำว่า internal affairs ซึ่งหมายถึงหน่วยงานที่ทำหน้าที่สอบสวนความประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ แทนด้วยคำว่า infernal ที่แปลว่า นรก หรือ 無間道
วงการภาพยนตร์โลกเต็มไปด้วยหนังแนวตำรวจ-ผู้ร้าย มากจนอยากสรุปว่า หนังเกินครึ่งในโลกเป็นหนังการขับเคี่ยวระหว่างตำรวจกับคนร้ายหรือเจ้าพ่อ ในบรรดานี้ หนังที่สามารถยกระดับไปถึงระดับดีมากหรือถึงขั้นคลาสสิก มีน้อย
ตัวอย่างคลาสสิกที่ยกมาเสมอคือ The Godfather เพราะมันก้าวไปไกลกว่าพล็อตเรื่องการขับเคี่ยวหรือการชิงอำนาจของเจ้าพ่อ แต่มันรวมความรู้สึกจิตใจเข้าไปด้วย ดังที่โก้วเล้งใช้ในงานเขียนนิยายกำลังภายใน แล้วยกระดับมันขึ้นมาเป็นงานคลาสสิก
Infernal Affairs เป็นหนังฮ่องกง เกี่ยวกับเจ้าพ่อ-ตำรวจ โดยคอนเส็ปต์ไม่ใช่ของใหม่ การส่งสายลับเข้าไปในองค์การอาชญากรรม หรือเข้าไปในหน่วยงานรัฐทำมาแล้วมากมาย ของไทยเราก็มีเรื่อง เล็บครุฑ ที่เขียนมาตั้งแต่ผมยังไม่เกิดด้วยซ้ำ หรือแม้แต่ในหนังที่อิงเรื่องจริง เช่น Donnie Brasko ซึ่งออกมาหลายปีก่อนเรื่อง Infernal Affairs
แต่สิ่งที่ Infernal Affairs แตกต่างจากหนังเรื่องอื่นในตระกูลนี้คือ แม้เป็นหนังตลาด แต่มันยืนอยู่ใต้เงาของหนังอาร์ต หนังไม่เน้นการฆ่ากัน ฉากยิงอาจไม่เห็นการยิง อาจเป็นแค่เสียงปืน ที่สำคัญที่สุดคือ หนังใส่อารมณ์ความรู้สึก เลือดเนื้อมนุษย์เข้าไป เมื่อรวมกับบทที่แน่น เคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้มันโดดเด่นออกมาจากหนังอาชญากรรมทั่วไป
หลายฉากทำได้ตื่นเต้นโดยที่ไม่มีการปะทะกันจริง ๆ ฉากการสื่อสารผ่านรหัสมอร์สถือว่าฉลาด
หนังมีความรุนแรงมาก แต่กลับไม่เน้นความรุนแรง แต่เน้นที่การวางแผน การแก้เกม การหักเหลี่ยม การหักมุมซ้อนหักมุม บทเอาอยู่ ทำให้เรื่องสนุกและสด
พูดง่าย ๆ คือ เป็นงานที่รวมศิลปะ พล็อต การหักมุม การใช้อารมณ์ ลงตัว
โก้วเล้งมักชอบเล่าชีวิตชาวยุทธ์ในมุมธรรมดา มุมในระดับล่าง เรื่องนี้ก็เช่นกัน คนร้ายก็คุยเล่นกันได้ ในเรื่องทั่วไป ไม่จำเป็นต้องร้ายทั้งเรื่อง ความเป็นศัตรูกับความเป็นเพื่อน แยกกันไม่ออกชัด ส่วนหว่องกาไวชอบเล่นกับอารมณ์และโทนหนังแบบหม่น
เรื่องนี้ดูเหมือนจะรวมพล็อตที่ดีเข้ากับงานแบบโก้วเล้งและอารมณ์แบบหว่องกาไว
..............
Infernal Affairs ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนต้องสร้างภาคสองและภาคสาม
เช่นเดียวกับ The Godfather หนังประสบความสำเร็จอย่างสูงจนต้องเข็นภาค 2-3 ออกมา
และเช่นเดียวกับ The Godfather หนังภาคต่อของ Infernal Affairs ถือว่าทำได้ดี
และฮอลลีวูดยังนำไปรีเมกเป็นฉบับฝรั่ง The Departed โดย Martin Scorsese ผู้กำกับมือเซียนด้านหนังแนวนี้ The Departed ไปไกลขนาดได้รับรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
นี่ย่อมแสดงว่าโครงเรื่องและแนวเรื่องของงานชิ้นนี้อยู่ในเกณฑ์ดีมาก
Infernal Affairs ภาค 2-3 เพ่ิมและเสียบส่วนที่ไม่ได้เล่าในภาคแรก ซึ่งถือเป็นความสามารถของคนเขียนบทที่สามารถอุตส่าห์เสียบเรื่องเข้าไปได้ โดยที่ยังใช้ตัวละครชุดเดิม เล่าที่มาและเส้นทางชีวิตของแต่ละคน ทำให้เราเห็นอีกมุมหนึ่งว่า บางทีการเป็นเจ้าพ่อก็มาแบบโชคช่วย ไม่ได้ตั้งใจ จังหวะมันได้
ภาค 2-3 ด้อยลงกว่าภาค 1 บ้าง แต่ยังถือว่าดี และเมื่อรวมกันเป็นไตรภาค ก็ยังจัดว่าเป็นหนังที่มีเอกลักษณ์ และมาตรฐานสูงกว่าหนังแนวนี้จำนวนมากของฮอลลีวูด
Infernal Affairs ทั้งสามภาคชี้ให้เราขบคิดว่า แท้ที่จริงแล้ว ตัวตนของเราคือใคร มันสามารถแบ่งดี-ร้ายได้แยกกันเช่นนั้นหรือ และคำถามที่ว่า คนเราสามารถเปลี่ยนจากร้ายเป็นดีได้ไหม ไม่มีใครอยากเป็นร้าย แต่ในสถานะหนึ่ง สิ่งแวดล้อมหนึ่ง ต่อให้คนร้ายอยากกลับตัวก็เป็นไปไม่ได้ กลายเป็นคนใหม่
หนังใช้ห้วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับการที่ฮ่องกงคืนจากอังกฤษสู่จีน ชาวฮ่องกงก็มีคำถามว่า ตัวตนจะเปลี่ยนไปอย่างไร บางทีลัทธิการเมืองคนละขั้วก็อาจเข้าข่ายการขับเคี่ยวระหว่างตำรวจกับเจ้าพ่อ
เราจะแยกอย่างไรว่าโลกของตำรวจสะอาดกว่า หรือโลกของโจรมีแต่ความดำมืด ในเมื่อมันเป็นสีเทาปนกัน
ในท่อนหนึ่งของหนังภาคแรก เจ้าพ่อบอกลูกน้องว่า คนนับพันต้องตายเพื่อซีซาร์จะยิ่งใหญ่
ประวัติศาสตร์บันทึกว่า ท้ายที่สุดซีซาร์ก็ตายด้วยน้ำมือคนของตัวเอง
ขาวกับดำก็เช่นหยินกับหยาง ดูต่างกัน แต่มันต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวเสมอ แยกจากกันไม่ออก
10/10
ทั้งสามภาคฉายทาง Netflix
.............
วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์นี้ และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)0- แชร์
- 345
-

ผู้พิพากษา อักขรา ภิภาษะ นั่งบนบัลลังก์ สายตาคมประดุจเหยี่ยวกวาดไปทั่วศาล แล้วหยุดที่ทนายความ กฤษณ์ กีนตวน เอ่ยว่า "คุณกฤษณ์"
"ครับ"
"คุณเขียนในคำร้องนี้ว่า ขอผลัดการตัดสินไปก่อน"
"ใช่ครับ"
"คุณเป็นนักวิ่งผลัดด้วยหรือ?"
"เปล่าครับ ผมมีอาชีพเดียวคือทนายความ"
"แล้วทำไมจึงขอผลัดการตัดสิน?"
"เอ๊ะ! ผมเขียนผิดหรือครับ?"
"ผัดการตัดสินที่ถูกไม่มี ล ลิง"
"หรือครับ? ผมคิดว่าคำว่า ‘ผัด’ เกี่ยวข้องกับการทำอาหาร"
"ผัดไม่มี ล ลิง ใช้กับเวลาได้ด้วย เช่น อย่าผัดวันประกันพรุ่ง แปลว่า ขอเลื่อนเวลาไปครั้งแล้วครั้งเล่า หรือ 'ผัดเพี้ยน' แปลว่า ขอเลื่อนเวลาไป นอกจากนี้ ผัดไม่มี ล ลิง ยังใช้กับการทาหน้าด้วยแป้ง เรียกว่า ผัดหน้า"
"แล้ว ‘ผลัด’ ที่มี ล ลิง?"
"‘ผลัด’ ที่มี ล ลิง แปลว่า เปลี่ยนแทนที่ เช่น ผลัดเสื้อผ้า ผลัดเวร ผลัดใบ ไม่มีความหมายว่าเลื่อนเวลา หรือเลื่อนการตัดสิน"
"ขอบพระคุณที่ชี้แนะ"
"ไม่ต้องขอบคุณ ไปคัดลายมือมาร้อยบรรทัด"
"ผมขอความปรานี น หนู ให้ศาล 'ผัดผ่อน' ไม่มี ล ลิงด้วยครับ"
"อืม! ใช้คำว่า ปรานี และ ผัดผ่อน ได้ถูกต้อง อย่างนี้ลดโทษเหลือห้าสิบบรรทัด"
วินทร์ เลียววาริณ
24-10-252 วันที่ผ่านมา -

คนยุคนี้ตั้งนาฬิกาปลุกง่ายมาก สมาร์ทโฟนทุกเครื่องทำหน้าที่นี้ได้รวดเร็วและแม่นยำ
เรียกว่า wake-up call
คำว่า wake-up call นอกจากจะแปลว่า ‘ปลุกให้ตื่น’ แล้ว ยังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ หมายถึงสัญญาณเตือน ‘อันตราย’ ที่อาจกำลังจะมาถึง ยกตัวอย่างเช่น เห็นเพื่อนร่วมงานถูกไล่ออก ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาอัพเกรดตัวเองได้แล้ว มิเช่นนั้นอาจถูกเชิญให้ออกเหมือนเพื่อน
ไปซื้อของในตลาด แม่ค้าทักว่า “ตอนนี้ท้องกี่เดือนแล้วคะ?” ทั้งที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ก็ถือเป็น wake-up call ว่า ตัวเองอ้วนเกินไปแล้ว จนคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าท้อง ได้เวลาลดน้ำหนักแล้ว
อ่านข่าวนักศึกษาจบมาไม่มีงานทำ ก็คือ wake-up call บอกว่าต้องหาจุดแข็งของตัวเอง ไม่เช่นนั้นอาจหางานทำไม่ได้
บางครั้ง wake-up call ก็ค่อนข้างหนักหนาเช่น เป็นมะเร็ง ถ้าไม่ได้เป็นหนักมากจนรักษาไม่หาย หรือเพิ่งเป็นและรักษาได้ ก็ถือว่าเป็น wake-up call ที่ทำให้ต้องปรับปรุงวิถีชีวิตของตนเองใหม่
หากมองว่า wake-up call เป็นสัญญาณจากสวรรค์ มันก็เป็นสัญญาณจากสวรรค์จริง ๆ เพราะช่วยให้เราเลี่ยงพ้นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหากอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร คนที่เป็นมะเร็งหลายคนหายป่วยเพราะเปลี่ยนวิถีดำรงชีวิต และกลับมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ผมไปเรียนปริญญาโทเมื่ออายุสี่สิบ ก็เพราะมองเห็น ‘สัญญาณจากสวรรค์’ บ่อยมากว่ามนุษย์เงินเดือนอายุมากมักถูกบีบให้ลาออก ไม่ว่าจะเรียกว่า ‘เออร์ลี รีไทร์’ หรืออะไร จำเป็นต้องอัพเกรดตัวเอง หาหนทางสายที่สองรอไว้ก่อน
ผมอาจเรียนไม่จบก็ได้ หากไม่เจอ wake-up call ผลคะแนนในชั้นร่วงหล่นเกือบรั้งท้าย ทำให้เกิดสำนึกว่าเรียนเล่น ๆ อ่านแต่นิยายไม่ได้แล้ว
ปัญหาคือคนจำนวนมากมักรอให้เกิดแรงสะเทือนมาถึงตัวก่อนค่อยลงมือทำอะไรสักอย่าง นั่นคือการใช้ชีวิตอย่างประมาท ทำไมต้องรอให้เกิด wake-up call ขึ้นก่อนจึงเร่ิมขยับตัว? ลอง มองไปรอบตัวจะพบเห็น wake-up call ที่เกิดขึ้นกับคนอื่นมากมายนับไม่ถ้วน : นายรังสรรค์เป็นมะเร็งลำไส้ นายมาโนชเป็นเบาหวาน นางรัศมีเป็นโรคอ้วน นายพิเชษเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบเป็นอัมพฤกษ์ นายสถิตถูกรถชนเป็นอัมพาต ลูกนายกรณ์ติดเกม ลูกนางสุภาติดยา ลูกสาวนายโสภณท้องในวัยเรียน ฯลฯ
เราอาจสามารถเลี่ยงปัญหาทั้งหมดนี้ได้พ้นโดยสิ้นเชิงตั้งแต่วันนี้โดยใช้ปัญหาจริงของคนอื่น ๆ เป็น ‘สัญญาณจากสวรรค์’ ของตัวเอง หาทางป้องกันแต่เนิ่น ๆ ไม่ให้มันเกิดขึ้น
หลายคนดื่มเหล้าแล้วขับรถ หลายคนชอบใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างขับรถ บางคนชอบส่งข้อความระหว่างขับรถ หากดูสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากสองสามสาเหตุนี้ เราก็จะรู้ว่าควรทำอย่างไร
ถึงจะเป็นคนที่ไม่สนใจชีวิตตนเอง ว่าง ๆ ก็ลองไปเยือนโรงพยาบาลรัฐสักแห่ง เห็นคนป่วยไข้โรคต่าง ๆ มากมายหลายร้อยคน บางคนมีท่อหายใจคาอยู่ บางคนหายใจพะงาบ ๆ บางคนร้องโอย ๆ ก็อาจบรรลุธรรมเห็น wake-up call ที่ทำให้หันมาเอาใจใส่สุขภาพตัวเอง
เหล่านี้เป็น wake-up call ที่มิเพียงช่วยชีวิตเราได้ แต่อาจนำทางเราไปสู่ชีวิตที่มีคุณภาพและสุขสงบเต็มศักยภาพของเรา
มีแต่คนโง่ที่มองไม่เห็นหรือเพิกเฉยสัญญาณจากสวรรค์ และดำเนินชีวิตแบบประมาทต่อไป
ชีวิตเราเป็นของเรา เราเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว หากมันล้มเหลว ออกนอกลู่นอกทาง หรือพังพินาศ ก็เพราะสองเหตุผลเท่านั้น หนึ่งคือเราไม่รู้จริง ๆ สองคือเราตาบอด มองไม่เห็นสัญญาณจากสวรรค์รอบตัวเรา
วินทร์ เลียววาริณ
24-10-25จาก ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราว
31 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 6.1 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
เล่มเดี่ยว https://www.winbookclub.com/store/detail/137/ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราวโปรโมชั่นพิเศษชุด
https://www.winbookclub.com/store/detail/235/R4%20%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%2042 วันที่ผ่านมา -

วันนี้เป็นวันปิยมหาราช ตั้งแต่เด็กเรียนในโรงเรียนและทึ่งว่า พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์นี้ทรงทำเรื่องต่างๆ มากมาย เลิกทาส รถไฟ ไปรษณีย์ โทรเลข การประปา ปฏิรูปการปกครอง ฯลฯ
แต่ก็เป็นภาพกว้างๆ มองในมุมเด็ก
จนเมื่อศึกษาประวัติศาสตร์ไทยช่วงลัทธิล่าอาณานิคมของตะวันตก ก็เพิ่งรู้ว่าทรงทำเรื่องยากเย็นหลายอย่างที่ทำให้เมืองไทยยังรักษาเอกราชไว้ได้ เป็นเรื่องไม่ธรรมดาที่เรารอดเหยี่ยวนักล่าตะวันตกหลายตัวมาได้ หมิ่นเหม่ต่อการเสียกรุงครั้งที่สามอย่างยิ่ง
ในมุมของการเมืองโลก (geopolitics) เราฉลาดที่สร้างพันธมิตรรัสเซีย ในมุมของหมากรุก เราเดินหมากฉลาดที่ยอมเสียดินแดนบางส่วนเพื่อแลกกับเอกราชของทั้งชาติ (เสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต)
สยามจึงเป็นประเทศเดียวในถิ่นนี้ที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร นี่ไม่ใช่งานง่าย และเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง
คนรุ่นใหม่หลายคนที่ไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ท่อนนี้ ก็อาจมองต่างมุม ไม่เห็นความเสียหายของการเป็นเมืองขึ้น หรือกระทั่งเห็นความเท่ของการเป็นเมืองขึ้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นที่รักใคร่อย่างล้นเหลือของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ พระราชสมัญญานามว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช" มีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน
บันทึกของนายช่างเยอรมัน ลูอิส ไวเลอร์ ที่มาสร้างรถไฟไทย ในอนุทินส่วนตัวของเขาหลังจากได้ยินข่าวรัชกาลที่ 5 สวรรคต ดังนี้
(26 ตุลาคม 2453)
“ข่าวนี้สะเทือนใจผมมาก ในราชอาณาจักรเล็กๆ ของพระองค์ พระองค์ทรงปกครองดั่งบิดาที่ใส่ใจบุตร พระองค์ทรงรู้จักข้าราชการระดับสูงเป็นการส่วนพระองค์ทุกคน และเป้นพระมหากษัตริย์ที่พระทัยดีและปรารถนาดีต่อพวกเราชาวยุโรป พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา ด้วยเหตุนี้จึงทรงพยายามอยู่เสมอที่จะทรงหลีกเลี่ยงเรื่องราวทุกสิ่งที่อาจจะทำให้เรารู้สึกน้อยใจ พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความมีพระเมตตาและทรงมีความปรารถนาดีต่อตัวผม จนทำให้ผมเคยชินที่จะมองพระองค์เป็นเสมือนมิตรและผู้อุปถัมภ์ ถึงแม้พระองค์จะทรงรู้สึกนึกคิดแบบชาวสยามอย่างแท้จริง แต่พระองค์ก็ทรงเข้าพระราชหฤทัยและทรงตระหนักเห็นลักษณะนิสัยของชาวยุโรปได้อย่างถ่องแท้ อีกทั้งยังโปรดให้พวกเขามาช่วยทำงานเพื่อพัฒนาประเทศของพระองค์อีกด้วย ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงมีเหตุผลหลายประการที่จะทรงขุ่นเคืองชาวยุโรป...
"พระองค์ทรงสืบสันตติวงศ์ปกครองพระราชอาณาจักรอันยิ่งใหญ่บริเวณคาบสมุทรอินโดจีนมาจากสมเด็จพระบรมราชชนก และเพื่อนบ้านชาวยุโรปผู้ละโมบอยากครอบครองพื้นที่ได้ขโมยแผ่นดินของพระองค์ไปสามส่วน พวกเขายื่นคำขาดให้พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธยในสนธิสัญญาที่ดูหมิ่นพระเกียรติยศและศักดิ์ศรีของพระองค์ ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ของเอเชียผู้ซึ่งพระราชปณิธานของพระองค์เท่านั้นที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด แต่พระองค์ทรงสามารถข่มพระราชหฤทัยและทรงมีขันติธรรมอันเป็นคุณลักษณะที่ยิ่งใหญ่ จึงทำให้ทรงสามารถประกอบพระราชภารกิจอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศ ซึ่งย่อมมีผลดีกว่าการทรงปฏิบัติพระองค์แบบไม่โอนอ่อนผ่อนตาม แข็งกร้าวต่อศัตรูผู้มีอำนาจเหนือกว่า”
(จากหนังสือ กำเนิดการรถไฟในประเทศไทย ลูอิส ไวเลอร์ เขียน แปลโดย ถนอมนวล โอเจริญ และ วิลิตา ศรีอุฬารพงศ์)
เหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยของพระองค์คือการเปลี่ยนแปลงของเพื่อนบ้านสยาม สยามกลายเป็นเป้าหมายของการล่าอาณานิคมของยุโรป ทรงตระหนักว่าพระองค์ทรงมีหน้าที่ต้องรักษาอธิปไตยของชาติให้จงได้ โดยเปิดประตูสู่วัฒนธรรมยุโรป แต่ขณะเดียวกันก็รักษาความเป็นไทยไว้ ทรงเชื่อว่านี่เป็นหนทางของเรา
สมควรที่เราคนไทยยุคหลังจะเดินตามรอยนี้
วินทร์ เลียววาริณ
23 ตุลาคม 2568ป.ล. นอกเรื่องนิดหน่อย ผมกำลังเขียนนิยายนักสืบที่ใช้ฉากรัชกาลที่ 5 เพื่อเล่าประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในรัชสมัยนี้ เจตนาก็คล้ายการเขียน ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน คือเล่าประวัติศาสตร์ แต่เดินเรื่องด้วยตัวละครนักสืบ เขียนไปได้สองตอนแล้ว ยังน่าจะอีกนานกว่าจะเสร็จ
ตอนแรกจะลงในชุดรวมเรื่องสั้นนักสืบของสมาคมนักเขียนในปีหน้า
2 วันที่ผ่านมา -

ขอทูนขอเทิดพระนามไท พระคุณแนบไว้นิรันดร
2 วันที่ผ่านมา -

"คุณพุ่มรัก เราต้องการความช่วยเหลือจากคุณ"
"ถ้าจะขอยืมเงิน ไปไกลๆ เลย"
"เปล่า เรามีเรื่องด่วน"
"เรื่องอัลไล เอ๊ย! อะไร?"
"ไม่กี่ชั่วโมงก่อน เกิดเหตุโจรปล้นทรัพย์ที่พิพิธภัณฑ์ลูบ"
"เอ๊ะ! เรามีพิพิธภัณฑ์ลูบๆ คลำๆ ด้วยหรือ?"
"พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ที่ฝรั่งเศส พวกโจรบังอาจเอาบันไดพาดขึ้นชั้นสอง ตัดกระจกหน้าต่าง เข้าไปขโมย ได้ของมีค่าไปหลายชิ้น"
"ที่แท้พวกโจรเป็นแขกอินเดีย"
"ทำไมคุณพุ่มรักสรุปอย่างนี้?"
"อ้าว! ก็คุณบอกเองว่าพวกโจรบังอาจเอาบันไดพาดขึ้นชั้นสอง... บังก็คือแขก อาจคือชื่อ"
"นี่มันมุขแป้กนะ เปล่า ไม่ใช่แขกอินเดีย"
"ถ้าไม่ใช่พวกแขกอินเดีย เป็นพวกไหน?"
"เราไม่รู้ จึงต้องบากหน้ามาหาคุณ"
"โห! บากหน้านี่มันเจ็บนะ มีแผลเป็นด้วย"
"อุ๊ย! นี่ก็มุขแป้กนะ เราก็ไม่รู้ว่าเป็นพวกไหน?"
"ข้อยเดาว่าน่าเป็นฝีมือกลุ่ม Ocean's Eleven"
"แต่โจรมีสี่คน"
"ภาคนี้ชื่อว่า Ocean's Four"
"ตกลงคุณพุ่มรักไปได้มั้ย?"
"จะดีเรอะ ข้อยจะคุยกับพวกฝรั่งเศสรู้เรื่องหรือ ข้อยเว้าแต่อีสาน"
"เดี๋ยวหาล่ามให้"
"ล่ามอีหยัง ข้อยไม่ใช่นักโทษ แล้วจะไปยังไง?"
"ก็บินไป"
"เที่ยวบินชั้นหนึ่ง?"
"เปล่า ชั้นประหยัด"
"พักโรงแรมห้าดาว?"
"เปล่า โรงแรมสามดาว"
"มีอาหารอีสานให้กินตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่นไหม?"
"ไม่มี มีแต่อาหารฝรั่งเศส นม เนย ชีส"
"งั้นงานนี้ขอผ่านนะ"
"แต่ทั้งโลกไม่มีนักสืบคนไหนทำงานนี้ได้แล้ว ยู อาร์ เดอะ เบสต์"
""ทำไมไม่ใช้บริการ เชอร์ล็อค โหม?"
"เด๊ดไปแล้ว"
"ปัวโรต์?"
"เด๊ดเหมือนกัน"
"ทำไมไม่ใช้บริการ แจ็ค รีชเชอร์?"
"กลัวรีชเชอร์อัดโจรตายก่อน คุณพุ่มรักเหมาะกว่า เพราะเป็นคนสุภาพ"
"ทำไมไม่ใช้บริการเด็กตาทิพย์ เด็กเชื่อมจิต สะดวกกว่าเยอะ อยู่ที่เมืองไทย มองเห็นคนร้ายที่ฝรั่งเศสเลย"
"เดี๋ยวพวกสิทธิมนุษยชนจะหาว่าเราใช้แรงงานเด็ก"
ราตรีสวัสดิ์
วินทร์ เลียววาริณ
21-10-254 วันที่ผ่านมา
