-
วินทร์ เลียววาริณ2 ปีที่ผ่านมา
(ท่านสามารถคอมเมนต์เมื่อล็อคอินเข้าในระบบเว็บ โดยสมัครสมาชิก เพียงกรอกข้อมูลแค่ชื่อ อีเมลเท่านั้น)
[เรื่องเกือบส่วนตัว ตอน 5]
จุดตกต่ำ
จุดตกต่ำของการเรียนเริ่มต้นเมื่อวันหนึ่ง ครูประจำชั้น ป. 5 บอกนักเรียนว่า “วันนี้จะครูพาไปรู้จักห้องสมุด”
เพิ่งรู้ว่าโรงเรียนของเราก็มีห้องสมุด
ครูให้เด็กทุกคนทำบัตรประจำตัวห้องสมุด เพื่อที่จะยืมหนังสือเมื่อไรก็ได้ ในวันแรกนั้น ผมก็ยืมหนังสือไปหนึ่งเล่ม เป็นนิทาน กลับถึงบ้านก็เริ่มอ่าน และติดใจรสอักษรทันที
นับจากนั้นผมก็เป็นขาประจำห้องสมุดโรงเรียน ยืมหนังสือนิทานเรื่องอื่นๆ ต่อไป แล้วไล่อ่านหนังสือในห้องสมุด
ครั้งหนึ่งผมยืมเรื่อง ของดีในอินเดีย ของหลวงวิจิตรวาทการมาอ่าน เพื่อนๆ เห็นเข้าก็พากันหัวเราะ
ผมคงคบแต่เพื่อนทะลึ่ง
ขึ้นชั้น ป. 6 ปีการศึกษา 2511 ผมอยู่ห้อง ก. ครูประจำชั้นชื่อนายเชื้อ สนธิกุล
ปีนี้ผมหยุดเรียนถึง 21 วันจาก 460 วัน ในการสอบไล่ปลายปี ผมได้ที่ 6 คะแนน 88.10 เปอร์เซ็นต์
ผมไม่เคยได้ที่ 1 อีกเลยในชีวิต
ในชั้น ป. 6 นี่เอง เพื่อนคนหนึ่งชื่อ เอกดนัย ณ พัทลุง บอกผมว่า แถวสะพานลอย ก่อนถึงหาดใหญ่ใน มีห้องสมุดประชาชนอยู่ มีหนังสือเยอะ ผมสามารถไปยืมหนังสือจากที่นั่นได้
ผมก็แวะไปที่ห้องสมุดประชาชนหาดใหญ่ เวลานั้นยังเป็นห้องซอมซ่อ เก่าๆ หนังสือกองเต็มไปหมด ล้วนเป็นหนังสือที่ผมไม่เคยพบเห็นมาก่อน จำนวนมากเป็นนวนิยายที่ผมไม่เคยอ่านมาก่อน จำนวนนิยายในห้องนี้มีมากกว่าในห้องสมุดโรงเรียนหลายเท่า
ผมทำบัตรห้องสมุด แล้วยืมนวนิยายกลับบ้าน
ผมเลิกอ่านนิทานเด็กตั้งแต่นั้น อ่านแต่นิยายของผู้ใหญ่ และมันเปลี่ยนชีวิตผมตั้งแต่นั้น
นวนิยายชุดแรกๆ ที่อ่านเป็นงานของหลวงวิจิตรวาทการ อ่านแล้วจมตัวเองในอีกโลกหนึ่ง โลกที่ผมไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ในจักรวาล
ผมอ่านแบบบ้าคลั่ง เหมือนคนร่อนเร่กลางทะเลทรายแล้วพบน้ำกลางโอเอซิส
โอเอซิสห้องสมุดประชาชนหาดใหญ่ให้ยืมหนังสือได้วันละสองเล่ม ปิดวันอาทิตย์ ผมก็ใช้สิทธินั้นเต็มที่เสมอมา
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมอ่านนิยายวันละสองเล่ม ความตั้งใจจะอ่านทั้งสองเล่มทำให้ผมฝึกการอ่านเร็วไปโดยปริยาย
ผมทำการบ้านแบบผ่านๆ เรียนหนังสือพอให้เข้าใจ นอกเหนือจากนั้น ทุกลมหายใจคือนิยาย
ห้องสมุดเก่าอยู่ที่ตรงนั้นไม่นานก็ถูกรื้อเพื่อสร้างใหม่ โชคดีที่ไม่ปิดบริการ ห้องสมุดย้ายไปที่ชั้นล่างสนามกีฬาหาดใหญ่ชั่วคราว ห่างจากบ้านของผมราวห้ากิโลเมตร ผมก็ขี่จักรยานบากบั่นไปถึง
ผ่านไประยะหนึ่ง ห้องสมุดใหม่ก็สร้างเสร็จ สวยงาม ดูโอ่โถง ผมขี่จักรยานไปห้องสมุดทุกวันที่เปิด การไปที่นั่นต้องปั่นจักรยานขึ้นสะพานข้ามทางรถไฟ ไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับเด็กขี้โรค ผอมแห้งแรงน้อย กว่าจะปั่นถึงบนสะพานก็หอบเหนื่อย แต่ก็ทำโดยไม่เกี่ยง ท้ายจักรยานหนีบหนังสือสองเล่มไปคืน และหนีบอีกสองเล่มใหม่มาอ่านต่อ ทำอย่างนี้ทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์
ผมไปห้องสมุดทุกวันไม่ว่าฝนตกแดดออก ฟ้าร้องฟ้าผ่า ขอเพียงแต่ประตูห้องสมุดไม่ถูกลั่นดาน บรรณารักษ์จะต้องเห็นหน้าเด็กคนนี้แน่นอน
ผมอ่าน ผู้ชนะสิบทิศ ของยาขอบตอนอยู่ ป. 7 ฉากเซ็กซ์ในนิยายนี่อ่านตั้งแต่ก่อนขึ้นชั้นมัธยม
แล้วผมก็เผลอไปอ่าน เพชรพระอุมา
เพชรพระอุมา เป็นหนังสือที่ควรห้ามนักเรียนอ่านเด็ดขาด เพราะมันออกฤทธิ์แรงยิ่งกว่าเสพกัญชาร้อยต้นพร้อมกัน มันทำให้ไม่เป็นอันกินอันเรียน
อ่านนิยายห้องสมุดวันละสองเล่มไม่พอ ผมหันไปยืนอ่านฟรีที่ร้านแพร่วิทยาอีก เจ้าของร้านหนังสือคงเขม่นหน้าเด็กคนนี้ แต่ก็ไม่ได้ตะเพิดออกจากร้าน (กราบขอบพระคุณย้อนหลัง ชาตินี้ไม่วันลืมบุญคุณ)
ผมอ่านนิยายกวาดหมดห้องสมุด ตั้งแต่นวนิยายทั้งสั้นและยาวของหลวงวิจิตรวาทการ เช่น พานทองรองเลือด, กุหลาบเมาะลำเลิง, ห้วงรักเหวลึก ฯลฯ นวนิยายเดินป่า เช่น ล่องไพร ของ น้อย อินทนนท์ นิยายป่าของ ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ เพชรพระอุมา นิยายบู๊ของ พนมเทียน เศก ดุสิต ส. เนาวราช ฯลฯ
ตามด้วยนิยายจีนกำลังภายใน ประเดิมด้วย อสูรจอมราชันย์ ซึ่งตอนแรกอ่านไม่รู้เรื่อง แต่ก็ไล่อ่านจนรู้เรื่อง ผาโลหิต มัจจุราชคะนอง บ้ออ้วงตอ กระบี่ดาวรุ่ง พญามารเงิน ฯลฯ ตามมาเป็นพรวน
ผมอ่าน มังกรหยก ภาค 1 เล่มแรกหนาหนึ่งพันหน้าจบในคืนเดียว รุ่งขึ้นก็ไปยืมเล่ม 2 หนาพันหน้ามาอ่านต่ออย่างติดพัน เมื่ออ่านจบ ก็อ่านอีกรอบเพื่อให้ภูมิแน่น
บางวันเมื่ออ่านนิยายไม่ทัน ผมก็ยัดหนังสือเริงรมย์ลงในกระเป๋านักเรียน ไปเปิดอ่านตอนครูสอน เพื่อนหลายคนมองผมตาค้าง ไอ้เด็กเวรนี่อ่านนิยายขณะที่ครูสอนวิชา ช่างกล้าจริงๆ! นึกไม่ออกจริงๆ ว่า หากครูจับได้จะเป็นอย่างไร
วันหนึ่งบรรณารักษ์ถามผมเรียบๆ ว่า “นี่น้องไม่ต้องเรียนหนังสือหรือ?”
ผมอึ้งไปครู่ใหญ่ ตาละห้อยเหมือนหมาที่ถูกเจ้าของดุ แต่ก็ตากหน้าไปยืมต่อ
มาคิดดูตอนนี้ เหตุที่บรรณารักษ์ถามก็มีเหตุผล เพราะหากเราเป็นบรรณารักษ์ เห็นเด็กคนหนึ่งมายืมนิยายวันละสองเล่ม ย่อมเป็นห่วงว่าเด็กคนนั้นจะหมกมุ่นกับนิยายมากไปจนเสียการเรียน
แล้วสิ่งที่บรรณารักษ์เป็นห่วงก็เกิดขึ้นจริง
.........
ครั้นขึ้น ป. 7 หายนะก็มาเยือน ผลกรรมตามสนองทันตาเห็น ผมสอบได้ที่ 25 ของชั้น ตกต่ำที่สุดในประวัติการเรียนของผม
สำหรับคนเรียนแย่เสมอต้นเสมอปลาย อาจไม่เครียดนักเมื่อต้องยื่นสมุดพกให้พ่อแม่ แต่สำหรับคนที่เคยสอบได้ที่ 1 ต่อเนื่องกันสองปี คะแนนหล่นจากเลข 1 มาอยู่ที่เลข 25 ย่อมเป็นปรากฏการณ์พิสดารสะท้านปฐพี
พ่อผมมองดูตัวเลข 25 บนสมุดพกอยู่นาน พ่อคงประหลาดใจ ผมก็ประหลาดใจ ไม่นึกเลยว่าชีวิตนี้จะสอบได้เลขสองตัว
ครูประจำชั้น ป. 7 ก. ครูนิยม แสนทอง โรยเกลือบนบาดแผลซ้ำ โดยเขียนในสมุดพกว่า
“รู้สึกว่าระดับการเรียนตกต่ำลงกว่าเดิม
ขอให้กระตือรือร้นเข้าให้มาก
เห็นจะเล่นสนุกมากกว่าเรียน”ความรู้สึกตอนนั้นคือละอายใจ เหมือนขี้เมาถูกน้ำสาด
จ๋อยแดก! แล้วตื่นเลย
(ยังมีต่อ)
31- แชร์
- 1273
ววอ่านเพลินคับ อยากกลับไปอ่านนิยายอีก อารมณ์ที่จมไปกับตัวอักษรหายไปนานมากแล้ว
-
วันก่อนคุยเรื่องนิทานที่ผมเล่าใหม่คือ จีนกับใบมะขาม
วันนี้จะมาว่าถึงนิทานที่ผมแต่งเอง เป็นนิทานเสียดสีสังคม
คือ นิทานอีแสบ (กวน T ชื่อ นิทานอีสป)
วันนี้ขอนำนิทานอีแสบมาเล่าสักตอน ชื่อตอน หมาที่ลืมเงาทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่ง
กาลครั้งหนึ่งมีหมาไม่ธรรมดาตัวหนึ่ง... เหตุที่มันไม่ใช่หมาธรรมดา มิใช่เพราะมันมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนหมาตัวอื่น หากคือมันยุ่งทั้งวัน
เหตุที่มันยุ่งทั้งวันเพราะมันต้องการหาเงินมาก ๆ เหตุที่มันต้องการเงินมาก ๆ เพราะมันอยากรวย เหตุที่มันอยากรวยเพราะมันเคยเป็นหมายากจนมาก่อน มันจึงสัญญากับตัวเองว่า มันจะต้องร่ำรวยให้ได้ จะไม่ยอมตายอย่างหมาข้างถนนเป็นอันขาด
นับแต่วันนั้นมา มันก็ทำงานทั้งวันยันวัน บางครั้งก็ทำงานค่ำยันค่ำเพื่อเก็บเงิน หากินจนลืมวันลืมคืน ไม่มีเวลาแม้ส่องดูเงาตนเองในน้ำ
วันหนึ่งมันเดินผ่านลำธารสายหนึ่ง นึกอย่างไรไม่รู้ ก้มดูตัวเองในน้ำ พลันมันตะลึง เมื่อพบว่าในน้ำไม่มีเงาของมันเอง
มันยืนกลางแดด ก้มลงดูพื้นที่มันเหยียบ ก็ไม่เห็นเงาของมัน
มันถามกวางที่เดินผ่านมา "ท่านเห็นเงาของข้าบ้างไหม?"
กวางบอกว่า "ไม่เห็น"
มันถามหมูป่าที่เดินผ่านมา "ท่านเห็นเงาของข้าบ้างไหม?"
หมูป่าตอบอย่างเดียวกับกวาง
มันถามต้นหญ้าที่มันยืนอยู่ "ท่านเห็นเงาของข้าบ้างไหม?"
ต้นหญ้าตอบอย่างเดียวกับกวางและหมูป่า เป็นอย่างนี้ไปทุกครั้งจนมันเลิกถาม
มันไปหาลิงซึ่งเปิดสำนักงานนักสืบ ให้ช่วยสืบหาเงาที่หายไป
"ท่านเห็นเงาของท่านครั้งสุดท้ายเมื่อใด?"
"จำไม่ได้ หลายปีที่ผ่านมา ข้าทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูเงาตัวเอง"
"เงาของท่านมีหน้าตาอย่างไร?"
"ท่านถามทำไม? ในเมื่อเป็นเงาของข้าเอง รูปร่างหน้าตาของเงาก็ย่อมสะท้อนตัวข้าเอง"
"บางตัวไม่ชอบใช้เงาตัวเอง"
หมาตัวนั้นนึกไม่ออกว่าตนเองทำเงาหายที่ไหน
นักสืบบอกว่า "ในช่วงเวลาที่ข้าตามสืบ ท่านก็ใช้เงาของผู้อื่นไปพลางก่อน การไม่มีเงาติดตัวนี่ออกจะเป็นเรื่องที่ไม่สุภาพไปหน่อย"
หมาไปหาซื้อเงาที่ร้านขายเงา ผู้ขายกล่าวว่า "ร้านของเราไม่ได้ใหญ่ที่สุดในป่านี้ แต่มีเงาให้เลือกมากที่สุด เรามีเงาของช้าง เงาของแรด เงาของสิงโต..."
"เงาของหมามีไหม?"
"ท่านจะสวมเงาหมาไปทำไม ไม่มีใครอยากได้เงาหมากัน มีแต่อยากจะเปลี่ยนทั้งนั้น เอาเงาช้างดีกว่า ดูสง่ากว่ากันเยอะ"
"แต่เงาช้างนั้นใหญ่กว่าตัวข้ามาก เมื่อสวมเงาแล้วจะดูผิดส่วน"
"ผิดนิดผิดหน่อยจะเป็นไร ในเมื่อดูสง่างามกว่าเงาหมามาก"
หมาเดินออกจากร้านนั้นพร้อมกับเงาช้าง มันรู้สึกอึดอัดที่ต้องแบกเงาอันหนักอึ้ง แต่เมื่อสัตว์อื่นที่ผ่านทางมาชมว่าเงาของมันสง่ายิ่ง มันก็รู้สึกดีขึ้น
มันสวมเงาหนักอึ้งของช้างอยู่นาน จนวันหนึ่งมันก็แบกรับเงานั้นไม่ไหว มันตัดสินใจถอดเงาช้างทิ้ง และเดินทางค้นหาเงาของมันต่อไป
มันกลายเป็นหมาที่ไร้เงา...
มันเดินทางไปที่ร้านขายเงาและซื้อเงาใหม่
เงาใหม่ของมันเป็นเงาสิงโต คราวนี้เงาของมันเบากว่าเดิม แต่กระนั้นก็ใหญ่เกินร่างมัน แต่เมื่อสัตว์อื่นชมมันว่า เงาของท่านช่างงามสง่าเช่นเจ้าป่า มันก็ยอมทนสวมเงาที่น่าอึดอัดนั้นต่อไป
หมาตัวนั้นสวมเงาสิงโตอยู่นาน จนวันหนึ่งมันก็ทนไม่ได้ มันถอดเงาสิงโตทิ้งไป มันกลายเป็นหมาที่ไร้เงาอีกครั้ง
วันหนึ่งมันพบเงาของมันทิ้งอยู่ที่ริมทาง เก่าขาดวิ่น มันหยิบเงาขาดวิ่นนั้นขึ้นมาสวม แม้จะสวมสบายกว่าเดิม แต่เงาของมันที่ปรากฏบนพื้นดูไม่ดีเลย สัตว์อื่นล้วนหัวเราะเยาะเงาที่ขาดวิ่นของมัน
แต่มันก็สวมเงานั้นต่อไป...
เงาของมันพูดกับมันว่า "ท่านรังเกียจข้าหรือ? เพราะข้าเก่าและขาดวิ่น?"
"เพราะผู้อื่นบอกว่าข้าไม่ควรสวมเงาที่เก่าขาด"
"แต่ท่านรู้ไหมว่าข้าเก่าและขาดเพราะท่านไม่เคยดูแลข้า หลายปีมานี้ เราไม่ได้คุยกันเลย"
"ข้ามัวยุ่งกับงาน"
หลังจากนั้นมันก็คุยกับเงาของมันทุกวัน ไม่นานต่อมาเงาที่ขาดวิ่นของมันก็ค่อย ๆ คืนตัว จนในที่สุดก็กลายเป็นเงาที่สมบูรณ์"
.......................
จากนวนิยาย ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85
6 วันที่ผ่านมา -
นอกเหนือจากเว็บไซต์ผมแล้ว The Meb เป็นผู้จัดจำหน่ายงานอีบุ๊คของผม รวมทั้งเรื่องสั้นๆ ราคาประหยัดอีกจำนวนหนึ่ง
แจ้งข่าวสำหรับนักอ่านอีบุ๊ค ตั้งแต่วันที่ 8-12 พฤษภาคมนี้ The Meb ลดทุกเล่ม 10% จากราคาขาย
สำหรับงานของผม มีหลายเล่มที่ลดแบบ Flash sales คือลดขั้นต่ำ 30%
จำกัด 50 ดาวน์โหลดเท่านั้น
.........................
เล่มที่ร่วม Flash sales ได้แก่
ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน
ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม ๑
ฆาตกรรมจักรราศี
คดีล่าคนเจ้าชู้
ผมก็เป็นนักเขียนการ์ตูนเล่มละบาท (รวมนิยายภาพที่ผมวาด)
มังกรเซน
#ปล่อยให้ความขำพาไปใครสนใจก็เชิญนะครับ
วินทร์ เลียววาริณ
7-5-256 วันที่ผ่านมา -
เอาละ มาถึงตอนนี้เรารู้ว่าจักรวาลกำลังขยายตัว นี่ทำให้ในปี 1931 จอร์จส์ เลอเม็ทร (Georges Lemaître) นักบวชและนักฟิสิกส์ชาวเบลเยียม เสนอทฤษฎีว่าการที่ดาราจักรเคลื่อนออกจากกันแปลว่าจักรวาลกำลังขยายตัว และการที่จักรวาลขยายตัวย่อมชี้ว่าจักรวาลเคยหดตัวจนถึงจุดจุดหนึ่งที่เรียกว่า primeval atom (อะตอมแรกเริ่ม) จุดที่เวลาและที่ว่างปรากฏขึ้นจากความไม่มี
จอร์จส์เรียกความคิดของเขาว่า สมมุติฐานของอะตอมแรกเริ่ม (Hypothesis of the Primeval Atom) ซึ่งส่วนหนึ่งได้ความคิดมาจากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์
นี่ก็คือทฤษฎี บิ๊ก แบง
บิ๊ก แบง ชี้ว่าจักรวาลกำเนิดมาจากจุดรวมศูนย์หรือจุด ‘ไม่มี’ (singularity) เมื่อพลังงาน ที่ว่าง เวลา และสสารถูกสร้างขึ้น ขณะเกิด บิ๊ก แบง ที่ว่าง-เวลารวมเป็นหนึ่งเดียว เวลาจึงยังไม่มี ในสภาวะนี้ กฎของฟิสิกส์หายไป หรือไม่มีกฎของฟิสิกส์
กาลเวลาผ่านไป จักรวาลขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ เกิดดวงดาว ดาวเคราะห์ และดาราจักร
เล่าเรื่อง จอร์จส์ เลอเม็ทร สักนิด เลอเม็ทรเป็นทั้งบาทหลวงและนักฟิสิกส์ชาวเบลเยียม บวชเป็นพระในปี 1923 หลังจากจบปริญญาเอกด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
เลอเม็ทรเรียนทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ที่เคมบริดจ์ แต่เขาไม่ค่อยแน่ใจในโมเดลจักรวาลเสถียรของไอน์สไตน์ เขาก็ไม่แน่ใจค่าคงที่ cosmological constant ที่ไอน์สไตน์เสนอ เขาจึงพัฒนาความคิดเรื่อง primeval atom (อะตอมแรกเริ่ม) ซึ่งชี้ว่าจักรวาลมีจุดกำเนิดและไม่เสถียร
เลอเม็ทรถามตัวเองว่า จักรวาลจะเป็นอย่างไรหากมี “วันหนึ่งที่ไม่มีเมื่อวานนี้” (a day without a yesterday)
หาก a day without a yesterday มีจริง ก็แปลว่าจักรวาลมีจุดกำเนิด จักรวาลไม่ได้อยู่ในสภาพนี้มาแต่แรก มันเคยเป็น ‘ทารก’ มาก่อน
เลอเม็ทรเสนอไอเดียเรื่อง primeval atom ให้ไอน์สไตน์ฟัง ไอน์สไตน์บอกว่า “คณิตศาสตร์คุณเป็นเลิศ แต่การจับต้องฟิสิกส์ของคุณยังน่าเกลียดอยู่”
แม้ไอน์สไตน์ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีของเลอเม็ทร แต่ก็นับถือสติปัญญาของบาทหลวงรูปนี้ ครั้งที่ไอน์สไตน์เล็กเชอร์ทฤษฎีของเขาต่อผู้ฟังที่กรุงบรัสเซลส์ในปี 1933 ผู้ฟังคนหนึ่งถามไอน์สไตน์ว่า จะมีคนเข้าใจทฤษฎีของเขาจริง ๆ บ้างไหม
ไอน์สไตน์ตอบว่า “ที่เข้าใจแน่ ๆ คือเลอเม็ทร ที่เหลือไม่แน่ใจ”
เขายอมรับว่าเลอเม็ทรเก่ง แต่ยังไม่ยอมรับว่าจักรวาลเสถียรไม่เป็นจริง จนกระทั่งจำนนต่อหลักฐานของฮับเบิล
แล้วใครเป็นคนตั้งชื่อ บิ๊ก แบง ?
ก็คือคนที่ไม่เชื่อเรื่องจักรวาลขยายตัว - เซอร์ เฟรด ฮอยล์!
ฮอยล์ไม่ชอบใจในทฤษฎีขยายตัวนี้มาก ครั้งหนึ่งเขาสบถระหว่างออกรายการวิทยุของบีบีซี ในปี 1949 ว่า “this big bang idea...” (ไอ้ความคิด บิ๊ก แบง นี่) คำนี้ฮิตติดลมทันที!
คำถามต่อไปคือ หน้าตา บิ๊ก แบง เป็นอย่างไร?
ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ฮอลลีวูดมีส่วนช่วยทำให้คนทั่วไปสนใจวิทยาศาสตร์ขึ้น แต่ก็มีส่วนทำให้คนเข้าใจหลายเรื่องผิดๆ คนส่วนมากนึกภาพจักรวาลขยายตัวออกจากจุดรวมศูนย์ (singularity) ว่าระเบิดออกโดยมีเสียงดังตูม มีลูกไฟใหญ่แตกตัวออกอย่างรวดเร็ว แล้วกระจายเต็มพื้นที่ว่างคืออวกาศ แต่จริงๆ แล้ว จากการคำนวณ บิ๊ก แบง ไม่ใช่การเติมเต็ม ‘ที่ว่าง’ บิ๊ก แบง คือการสร้างที่ว่างจากความไม่มี!
ลองนึกถึงการอบขนมปังลูกเกดในเตาอบ ขนาดของขนมปัง (ที่ว่าง-อวกาศ) ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นด้วยความร้อน ลูกเกดที่เกาะบนขนมปังก็เคลื่อนออกห่างจากกัน แต่ลูกเกดมีขนาดเท่าเดิม ในที่นี้ลูกเกดก็คือดาราจักร หรือสิ่งที่ถูกกำหนดด้วยแรงโน้มถ่วง) ลูกเกดแต่ละเม็ดจะแยกห่างจากกัน
พูดง่ายๆ คือ ดาราจักรไม่ได้ขยายตัว ที่ว่างรอบดาราจักรต่างหากที่ขยายตัว!
คำถาม : หากจักรวาลขยายตัว อะไรอยู่ข้างนอกนั่น? คำตอบคือไม่มีข้างนอก! ข้างนอกคือความไม่มี!
ทุกๆ นาทีที่จักรวาลขยายตัวออกไป มันไม่ได้ขยายไปเติมที่ว่าง มันสร้างที่ว่างใหม่จากความไม่มี
‘ความไม่มี’ ไม่ใช่ ‘ที่ว่าง’ !
ความไม่มี (nothingness) คือความไร้ตัวตน ส่วนที่ว่างคือ space-time (กว้าง x ยาว x ลึก x เวลา)
ผมเปรียบเทียบ บิ๊ก แบง ในนวนิยายวิทยาศาสตร์ อัฏฐสุตรา ว่า หากสรรพสิ่งในจักรวาลเป็นน้ำในแก้วใบหนึ่ง ก่อนหน้า บิ๊ก แบง ยังไม่มีแก้วใบนี้ ‘แก้วใบนี้’ เกิดขึ้นมากับ บิ๊ก แบง แล้วสรรพสิ่งจึงกำเนิดภายในแก้วใบนี้ ตั้งแต่อะตอมไปถึงโมเลกุล ตั้งแต่เซลล์ไปถึงดาราจักร
บิ๊ก แบง เสนอว่าขนาดจักรวาลไม่ใช่เป็นนิรันดร์ เพราะมันเพิ่งเกิดในช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นท้องฟ้าจึงมืด ท้องฟ้าในอดีตกาล โดยเฉพาะช่วงแรกของการขยายตัวสว่างกว่านี้มาก เพราะทุกอย่างอัดอยู่ใกล้กันกว่านี้
คำถามต่อไปคือ บิ๊ก แบง มาได้ยังไง
มีนักวิทยาศาสตร์เสนอทฤษฎีทางเลือกว่า บิ๊ก แบง ไม่ใช่ต้นกำเนิดเวลา แต่เป็นรอยต่อระหว่างช่วงที่จักรวาลที่หดตัวช้าตัวลงกับจักรวาลที่ขยายตัวเร็วขึ้นๆ จะเป็นวงจรขยาย-หดๆ เรื่อยไปเป็นวัฏฏะ
บ้างว่า บิ๊ก แบง อาจเป็นการทะลุของจักรวาลอื่น เหมือนทรายที่ไหลจากท่อนบนของนาฬิกาทรายสู่ท่อนล่าง ผ่านรูเล็กๆ ซึ่งในกรณีนี้คือจุดซิงกูลาริตี หรืออาจเป็น ‘นาฬิกาทราย’ หลายเรือนต่อกัน โดยที่ ‘ทราย’ ไหลไปเรื่อยๆ แต่ทั้งหมดเป็นเพียงทฤษฎีที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้
ใครก็ตามที่คิดออก รับรางวัลโนเบลไปเลย
วินทร์ เลียววาริณ
7-5-25
..................................สนใจเรื่องนี้ หนังสืออ่านประกอบ
ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล https://www.winbookclub.com/store/detail/89/ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล
ปฏิบัติการผ่าสมองไอน์สไตน์
https://www.winbookclub.com/store/detail/240/ปฏิบัติการผ่าสมองไอน์สไตน์Shopee คลิกลิงก์ https://shope.ee/6KgvYw47A4?share_channel_code=6
อัฏฐสุตรา https://www.winbookclub.com/store/detail/68/อัฏฐสุตรา
6 วันที่ผ่านมา -
ไฟสัญญาณเข็มขัดนิรภัยสว่างวาบ ตามมาด้วยหน้ากากออกซิเจนห้อยลงมาทั่วเคบิน เสียงเครื่องยนต์ดังมาจากข้างนอก เครื่องบินสั่นสะเทือนเป็นระยะไปทั้งลำ คุณใจหายวูบ คุณรู้ว่าบางอย่างผิดปกติ เครื่องบินดิ่งลงไปราวกับปีกทั้งสองถูกเด็ดออก แรงสะเทือนเพิ่มขึ้น ตัวเครื่องบินเอียงไปมา ข้าวของร่วงหล่นจากชั้นเก็บ คุณเชื่อว่าคุณกำลังจะตาย
นานเท่านาน ความสั่นสะเทือนค่อยหายไป เครื่องบินรักษาระดับไว้ได้ตามเดิม ในที่สุดเครื่องบินก็แตะผืนดินโดยไม่แตกเป็นเสี่ยง ๆ คุณระบายลมหายใจยาว คุณรอดชีวิตมาได้
ทันใดนั้นคุณก็รู้สึกว่าวันที่เหลือในชีวิตของคุณคือวันฟรี คุณน่าจะเสียชีวิตแล้ว คุณรู้สึกว่าท้องฟ้าสดใสกว่าปกติ คุณอยากใช้เวลาที่เหลืออย่างมีคุณค่า คุณมองเห็นว่าชีวิตมีค่ากว่าที่คุณเคยนึกมาก่อน
เคยขึ้นเครื่องบินที่ตกหลุมอากาศหนัก ๆ ไหม? มันเป็นมรณานุสติที่ดี มันบอกว่าชีวิตเราบอบบางและชั่วคราวเพียงไร และคุณรู้สึกว่าชีวิตไม่เลวร้ายเท่าไร
เราอาจไม่นึกถึงคุณค่าของชีวิตจนเมื่อเราประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเฉียดตาย เมื่อรอดมาได้ เราจึงรู้สึกว่าชีวิตมีค่า
คนเฉียดความตายจำนวนมากบอกคล้ายกันว่า หลังรอดตายพวกเขารู้สึกเหมือนว่ามันเป็นสัญญาณจากสวรรค์ให้ใช้ชีวิตที่รอดมาได้อย่างมีค่า พวกเขารู้สึกเหมือนว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้น และส่วนมากก็เปลี่ยนวิถีชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น
ถ้าเช่นนั้นทำไมต้องรอให้เฉียดตายก่อนจึงจะเห็นคุณค่าของชีวิตเล่า? ทำไมไม่ฝึกการมองชีวิตอย่างมีคุณค่าทุกวัน เดี๋ยวนี้เลย?
เซนมีเทคนิคฝึกตายอย่างหนึ่ง โดยลองคิดว่า หลับคือตาย ตื่นคือเกิดการนอนหลับในแต่ละค่ำคืนคือห้วงยามสุดท้ายในชีวิต เมื่อคุณตื่นขึ้นมา ก็เท่ากับว่าคุณเกิดใหม่
ทุกคืนที่คุณเข้านอน ให้จินตนาการว่า ขณะจิตที่คุณหลับคือการสิ้นลมปราณ
วิธีคิดแบบนี้ทำให้คุณรู้จักปลง ปล่อยวางทุกสิ่งก่อนที่คุณจะหลับ ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดวันที่ผ่านมา คุณปล่อยวางเพราะคุณกำลังจะจากโลกไป ไม่มีประโยชน์ที่จะโกรธแค้น โศกเศร้า เสียใจ ดีใจอะไร เพราะเมื่อคุณหลับ คุณก็ได้ตายไปแล้ว
เวลาทั้งวันก็คือเหตุการณ์ทั้งชีวิต คือหนึ่งชั่วชีวิต เมื่อตายก็หมดภารกิจ หากคุณ ‘รอด’ ไปได้ ก็เท่ากับว่าคุณได้วันใหม่มาฟรี ๆ ที่เหลือทั้งชีวิตคือโบนัส เพราะความจริงคุณตายไปแล้วทุกวัน
และเมื่อคุณตื่น มันก็เป็นโบนัส คุณได้ชีวิตใหม่เป็นของแถม เหมือนสวรรค์ต่อวีซ่าอายุคุณไปอีกหนึ่งวัน
วิธีคิดแบบนี้ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตแต่ละวันอย่างรู้คุณค่า และไม่เสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ลดการยึดมั่น และที่สำคัญที่สุดคือเป็นอิสระ
ชีวิตมีค่าหรือไม่มีค่าอยู่ที่การกระทำของเรา และการกระทำของเราในแต่ละวัน จะดีหรือไม่ดีอยู่ที่การเห็นคุณค่าของชีวิต หากเรามองว่าเราเหลือเวลาเพียงหนึ่งวัน มันก็อาจจะทำให้เราใช้ชีวิตวันนั้นอย่างเต็มที่เต็มเปี่ยมขึ้น เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็ ‘ตาย’ แล้ว
และเมื่อวันนั้นเป็นวันตายของเราจริง ๆ เราก็ไม่กลัว เพราะเราฝึกตายอยู่ทุกวันแล้วด้วยเครื่องซิมูเลเตอร์แห่งจิต
และการตายจริงก็เป็นเพียงความตายอีกครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
วินทร์ เลียววาริณ
7-5-25
...........................จาก รอยยิ้มใต้สายฝน
35 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 5 บาทเศษ
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/139/รอยยิ้มใต้สายฝน6 วันที่ผ่านมา -
เรื่องจักรวาลขยายตัวนี้ มีหลักฐานจากดาราจักรเคลื่อนออกห่างจากกัน
และเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดทฤษฎีบิ๊ก แบง
ในปีแรกๆ ใครๆ ก็เชื่อว่าจักรวาลคงขยายตัวไปไม่นาน ก็หยุด บ้างก็ว่ามันคงขยายตัวไปจนหมดแรง แล้วถอยกลับ
นี่คือการมองแบบใช้สามัญสำนึก ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ใช้ไม่ได้
ผ่านไปหลายสิบปี นักดาราศาสตร์มองดูท้องฟ้าแล้วตกใจ ดาราจักรยังคงแยกตัวออกห่างจากกัน นอกจากจะไม่ช้าลงแล้ว ยังเร็วขึ้น
ผ่านไปร้อยปีหลังยุคฮับเบิล มันขยายตัวไปเร็วขึ้นทุกวัน
ก็มีคำถามว่าจักรวาลจะเคลื่อนออกไปเรื่อยๆ อย่างนี้อีกนานเท่าไร
คำตอบคือไม่รู้
ถามว่ามันขยายตัวยังไง ขยายตัวไปในพื้นที่ว่าง (space) ข้างนอกใช่ไหม?
นี่ก็เป็นการมองแบบสามัญสำนึก
คำตอบคือไม่น่าใช่ (ไม่ฟันธง แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าไม่ใช่)
มันขยายตัวไปในความไม่มี (nothingness)
ความไม่มีนี่มันเป็นนามธรรม (ต่างจากความไม่มีเงินเป็นรูปธรรม)
พูดง่ายๆ คือ เราเชื่อว่าจักรวาลกำลังสร้างพื้นที่ใหม่จากศูนย์
ใครสร้าง? ไม่รู้
สร้างไปทำไม? ไม่ทราบ
สร้างอีกนานไหม? ไม่รู้
แล้วรู้อะไรบ้าง?
รู้ว่าจักรวาลอาจจะสร้างเสร็จก่อนถนนพระราม 2
วินทร์ เลียววาริณ
6-5-257 วันที่ผ่านมา