ช่วงสิบกว่าปีนี้ นักอยากเขียนหลายท่านแวะเวียนมาสนทนากับผมอยู่เสมอ ทำให้รู้ว่ามีคนอยากเป็นนักเขียนมากจริง ๆ และหลายคนก็กลัวว่าจะไม่มีพื้นที่ให้นักเขียนใหม่

ผมกลับมองตรงข้าม ผมเห็นว่าบ้านเรายังขาดนักเขียนสายต่าง ๆ มากมาย การที่ดูเหมือนมีนักเขียนมากก็เพราะเราเฮกันไปเขียนงานที่ดังและขายได้ หรือเขียนตามโจทย์ทางการตลาด

บ้านเรายังขาดนิยายวิทยาศาสตร์ นิยายนักสืบ นิยายจารกรรม นิยายผจญภัย นิยายป่า นิยายหมอ นิยายทนายความ นิยายตำรวจ ฯลฯ

ไปเมืองนอกที เห็นชั้นในร้านหนังสือแต่ละตระกูลแน่นขนัดด้วยงานชนิดนั้น ๆ แข่งกันเอาเป็นเอาตายร้านหนังสือบ้านเราวางนิยายอยู่แค่ไม่กี่ตระกูลเท่านั้น ที่เหลือต้องใช้ลายแทงตามหา ชั้นสารคดีของเราก็มีแต่แก้กรรมและวิทยาศาสตร์เทียม เห็นแล้วอยากกลั้นใจตายคาร้านหนังสือ

ขอยืนยันว่ายังมีพื้นที่อีกกว้างขวางสำหรับนักเขียนใหม่ หากนักเขียนใหม่รู้ว่าชอบสายไหน ก็ฝึกฝนสายนั้นให้เชี่ยวชาญ ฝึกจนเป็นเซียน ก็จะกลายเป็นผู้นำทางการตลาดของสายนั้นไปทันที เพราะแทบไม่มีคู่แข่งเลย! ง่ายกว่าไปเขียนแย่งกับเขาด้วยเรื่องเหมือนกันหนึ่งล้านสองแสนสามหมื่นเท่า!

อย่าเขียนตามใจตลาด อย่าเฮกันไปเขียนตามใบสั่ง ไม่มีทางโตหรอก

อาจได้เงิน แต่ไม่ใช่นักเขียน innovative

เขียนตามใจตลาดก็จะเป็นเพียงเครื่องมือทางการตลาด ยากนักจะเป็นศิลปิน เขียนสายที่ตัวเองชอบให้ดีที่สุด เดินนำหน้า ไม่ใช่เดินตาม อาจสะดุดบ้าง แต่ในระยะยาวจะมั่นคงกว่ามาก

โลกหนังสืออาจโตขึ้นด้วยนักการตลาด แต่ความแตกต่างเกิดขึ้นด้วยนักเขียนที่เป็นหน่วยกล้าตายต่างหาก

วินทร์ เลียววาริณ
18 ตุลาคม 2567

ผู้อ่านหลายคนบอกว่า รักกันหนึ่งร้อยปี เป็นเรื่องรักที่ดีที่สุดที่ผมเคยเขียน แต่ก็มีคนแย้งว่า น่าจะเป็น จดหมายรัก มากกว่า

แม้ทั้งสองเรื่องจะจับประเด็นความรัก แต่จุดแตกต่างคือ รักกันหนึ่งร้อยปี เป็นดรามาแบบ emotional ขณะที่ จดหมายรัก เป็นงานเรื่องสั้นแนวหักมุมจบ (twist ending)

ผมเริ่มชีวิตนักเขียนด้วยเรื่องสั้นตระกูลนี้ เล่มแรกคือ สมุดปกดำกับใบไม้สีแดง ซึ่งได้รับรางวัลรวมเรื่องสั้นดีเด่น

ร้อยคม เป็นชุดที่สอง ตามมาด้วยชุดที่สามคือ แมงโกง

เรื่องสั้น จดหมายรัก อยู่ในชุด ร้อยคม

จัดเป็นงาน plot-based

การลดราคาไม่ได้เกิดขึ้นเพราะหนังสือขายไม่ออก แต่เพราะไม่มีโกดังเก็บแล้ว

ราคาปก 195.- หากซื้อในโปรโมชั่น combo set จะเหลือแค่ 117.-

หลังจบงานหนังสือ จะขายในราคาปกเท่าเดิม

สนใจอ่านรายละเอียดโปรโมชั่น https://www.facebook.com/photo?fbid=1140716554083701&set=a.208269707328395 

หนังสือที่มียอดพิมพ์สูงสุดของผมคือ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน เกินแสนเล่ม เป็นผลมาจากรางวัลซีไรต์

ตัวละครหลักสองคนในเรื่องนี้ คือ ตุ้ย พันเข็ม กับ ย้อย กฤษดาวินิจ วาดลวดลายบทบาททางการเมืองจนผู้อ่านขอให้เขียนภาค 2 ได้ไหม

ผมก็จัดให้

แต่การให้ตัวละครทั้งสองที่มีอายุมากแล้วในตอนสุดท้ายของเรื่องคือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มาวาดลวดลายในยุคใหม่ คงเป็นไปไม่ได้

จำเป็นต้องสร้างตัวละครใหม่ โดยอิงกับ ตุ้ย พันเข็ม กับ ย้อย กฤษดาวินิจ

เป็นที่มาของนวนิยายสองเรื่องคือ 16 องศาเหนือ กับ 17 องศาเหนือ

17 องศาเหนือ เป็นภาคขยายบทบาทของ ตุ้ย พันเข็ม เรื่องแนวทริลเลอร์ หักมุมสามสิบตลบ

16 องศาเหนือ เป็นภาคขยายบทบาทของ ย้อย กฤษดาวินิจ เป็นเรื่องแนวผจญภัยของลูกผู้ชาย หักมุมอีกสามสิบตลบ

ผ่านมาหลายปีหลังจากวางตลาดสองเล่มนี้ ผมยังไม่ได้เขียน ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ภาค 2 เพราะการเมืองยังไม่นิ่ง ไว้ถึงโอกาสค่อยเขียน

สำหรับ 16 องศาเหนือ มีที่มาว่าครั้งหนึ่งประเทศไทยเกือบถูกแบ่งออกเป็นไทยเหนือไทยใต้ที่เส้นขนาน 16 องศาเหนือ

ประเทศไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่สองตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง การร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่นและประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร ทำให้เมืองไทยตกเป็นเป้าการทิ้งระเบิด บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ข้าวยากหมากแพง คนไทยทุกข์ทนเหลือคณา

คนไทยกลุ่มหนึ่งพยายามกู้ชาติโดยทำงานใต้ดินต่อต้านญี่ปุ่น เพื่อให้ประเทศไทยไม่ต้องเสียเอกราชหลังสงคราม

นี่คือปฏิบัติการของ ย้อย กฤษดาวินิจ ในบทบาทจารชนเสรีไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และ 'เสือย้อย' หลังเหตุการณ์กบฏบวรเดช

16 องศาเหนือ  เข้มข้นด้วยรสชาติและสาระด้วยสไตล์การเล่าเรื่องแบบนวนิยายการผจญภัยของลูกผู้ชาย เข้มข้น เร้าใจ และหักมุม เช่นเดียวกับ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน

การลดราคาไม่ได้เกิดขึ้นเพราะหนังสือขายไม่ออก แต่เพราะไม่มีโกดังเก็บแล้ว

ราคาปก 320.- หากซื้อในโปรโมชั่น combo set จะเหลือแค่ 117.-

หลังจบงานหนังสือ จะขายในราคาปกเท่าเดิม

สนใจอ่านรายละเอียดโปรโมชั่น https://www.facebook.com/photo?fbid=1140716554083701&set=a.208269707328395