-
วินทร์ เลียววาริณ4 เดือนที่ผ่านมา
(ปีนี้ครบ 30 ปีภาพยนตร์เรื่อง Seven ผู้สร้างนำกลับมาฉายแบบ Re-release ท่านที่พลาดเรื่องนี้มาสามสิบปี ก็ดูได้ในโรงหนังตอนนี้นะครับ ส่วนท่านที่จะดูซ้ำเป็นรอบที่ 7 ก็เชิญตามอัธยาศัย งานของ เดวิด ฟินเชอร์ เรื่องนี้ กลายเป็นคลาสสิกไปแล้ว
นี่คือรีวิวเก่า นำมาลงซ้ำ)
.........................
ฆาตกรฆ่าต่อเนื่องจำเป็นต้องเป็นคนบ้าหรือไม่? ศาลเตี้ยเกี่ยวกับการเทศน์ธรรมได้หรือไม่? อะไรคือเส้นแบ่งระหว่างความดีกับความเลว? ในเมืองโสโครกที่เต็มไปด้วยคนบาป เราจำเป็นต้องอดทนกับคนบาปหรือไม่? โลกมีคนบริสุทธิ์จริงหรือ? ทำไมเราเรียกเหยื่อที่ถูกฆ่าว่า 'ผู้บริสุทธิ์' แม้ว่าเขาไม่ใช่คนดี?
Seven (บางทีสะกด Se7en) เป็นหนังอาชญากรรม แต่เข้าไปในพื้นที่ของปรัชญา และกระตุกต่อมคิด
ชื่อเรื่อง Seven หมายถึง seven deadly sins บาปทั้งเจ็ดในทางคริสต์ (แต่ไม่ได้จารึกในไบเบิล) ประกอบด้วย pride (ยโส), greed (โลภ), wrath (โกรธ), envy (ริษยา), lust (ใคร่), gluttony (ตะกละ) และ sloth (เกียจคร้าน)
คอนเส็ปต์หลักของเรื่องคือใช้ seven deadly sins เป็นแกนเดินเรื่อง บวกกับ 'คำพิพากษา' ที่ตัดสินโดยตัวละคร จอห์น โด
ลงโทษคนบาปด้วยการทำบาป
ตามปกติ ชื่อ John Doe เป็นนามที่ตั้งให้กับคนที่เราไม่รู้ว่าเป็นใคร ถ้าเป็นผู้หญิงเรียก Jane Doe ดังนั้นชื่อตัวละครนี้จึงเป็นสัญลักษณ์กลางๆ มันอาจเป็นใครก็ได้ที่เบื่อหน่ายโลกของคนบาป อาจเป็นคุณก็ได้
ตัวละคร จอห์น โด บอกว่า เรามองเห็นบาปทั้งเจ็ดในทุกมุมถนน แต่เราต้องอดทนกับมัน วันแล้ววันเล่า เราสามารถสร้าง 'Judgment Day' ด้วยมือเราเอง
เช่นเดียวกับชื่อกลางๆ John Doe ฉากของเรื่องก็เป็นกลางเช่นกัน เราไม่รู้ว่ามันเป็นเมืองอะไร อยู่ที่ไหนในโลก แต่เรารู้ว่ามันเป็นเมืองหมองหม่นอย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือฉากเมืองทั้งเรื่องฝนตก หม่นมัว มันเป็นเมืองสกปรก อัปลักษณ์ เต็มไปด้วยอาชญากรรม
มอร์แกน ฟรีแมน รับบทนักสืบอาวุโส วิลเลียม ซอมเมอร์เซ็ท แบรด พิตต์ รับบทนักสืบ เดวิด มิลล์ส และ เควิน สเปซีย์ รับบท John Doe ทั้งสามเป็นแกนหลักในการเล่าเรื่อง และทุกคนก็แสดงได้ดี
บทกระชับมาก สั้น ห้วน แต่เข้าใจ และชกเข้าเป้าอย่างรวดเร็ว เขียนบทโดย Andrew Kevin Walker (คนร่วมเขียนบท The Game และ Fight Club แต่ไม่ได้เครดิต) ได้รับเสนอชิง BAFTA Best Original Screenplay
บทพูดฉลาด และบางทีก็ขำในตอนที่ไม่ควรขำ เช่น ตอนที่มิลล์สด่า จอห์น โด
"You're no messiah. You're a movie of the week. You're a fucking t-shirt, at best."
ด้วยบทที่ดี ฉลาด ฉากดี โครงเรื่องดี ลำดับจังหวะเรื่องดี โทนเรื่องดี กระชับ ลงตัวแบบ milimalism เรื่องจึงลงตัวทุกอย่าง แม้ว่าจะมีฉากรุนแรง แต่ก็แสดงเท่าที่จำเป็น
นี่เป็นงานชิ้นที่สองของ เดวิด ฟินเชอร์ ถัดจาก Alien 3 พิสูจน์ว่าเขาคุมงานอยู่หมัด
และมันเป็นงานในแนวทางของเขา เห็นได้ว่าเขาทำหนังแนวนี้อีกหลายเรื่อง เช่น Fight Club, Zodiac, The Girl with the Dragon Tattoo, Gone Girl, Mindhunterตัวละครซอมเมอร์เซ็ทยกคำพูดของเฮมิงเวย์มาพูดในตอนท้ายว่า "'The world is a fine place and worth fighting for.' I agree with the second part."
โลกของ Seven ก็คือโลกของเรา เราจมอยู่ในเมืองที่เราเกลียด เราไม่ชอบเมืองที่เราอยู่ เราไม่ชอบระบบ แต่เรากลับอดทนอยู่กับมัน
เพราะบางทีโลกไม่เคยมีเมืองที่มีแสงสว่าง มีแต่เมืองที่หมองหม่น มืดเทา และฝนตกตลอดเวลา
10/10
ฉายในโรงภาพยนตร์
วินทร์ เลียววาริณ
มกราคม 20251- แชร์
- 62
-
ท่านรัฐมนตรีรักชาติกับคณะทำงานไปเยี่ยมโรงเรียนแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็บอกให้ผู้ช่วยพิมพ์รายงานเสนอร่างกฎหมายลดค่าใช้จ่ายของโรงเรียนทั้งหมด
"ค่าใช้จ่ายอาหารกลางวันเด็กสูงเกินไป จะกินดีไปหน่อยแล้ว หั่นทิ้งไป ค่าอินเทอร์เน็ตก็ไม่จำเป็น เด็กจะติดเน็ตเปล่าๆ ถ้าจะใช้ ก็ให้จ่ายกันเอง ส่วนคอมพิวเตอร์ไม่ต้องซื้อ สิ้นเปลืองงบประมาณเปล่าๆ ห้องสมุดก็ไม่ต้องปรับปรุง ตอนนี้ทุกอย่างเป็นดิจิตัล เด็กๆ ใช้หนังสือเป็นหมอนไม่ดีนะ เดี๋ยวคอเคล็ด"
วันต่อมาท่านรัฐมนตรีรักชาติไปเยือนเรือนจำ หลังจากเดินตรวจตราทั่วเรือนจำแล้ว ก็สั่งให้ผู้ช่วยพิมพ์รายงานเสนอร่างกฎหมายเพิ่มค่าใช้จ่ายของเรือนจำ
"อาหารที่นี่คุณภาพต่ำ หมายังไม่แดก นักโทษก็เป็นคนนะ เราต้องเพิ่มอาหารให้ดีขึ้นทั้งคุณภาพและปริมาณ ส่วนสัญญาณอินเทอร์เน็ต ก็ควรติดทั่วคุก ส่วนเตียงนอน ก็หาฟูกดีๆ มาหน่อย จะให้นอนบนพื้นแข็งๆ ได้ยังไง มันไม่ถูกต้องกับหลักฮิวมั่นไรท์ อ้อ! เครื่องทีวี ก็ขอให้ติดตั้งทั่วทั้งคุก เอาจอใหญ่สักร้อยนิ้ว ลำโพงดีหน่อย"
ผู้ช่วยถาม "ท่านครับ ทำไมเราจึงลดค่าใช้จ่ายของโรงเรียน แล้วปรับปรุงคุณภาพของคุกครับ?"
รัฐมนตรีรักชาติตบหัวผู้ช่วยหนึ่งที
"คุณนี่โง่บรรลัยเลย พวกเราอายุขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว แต่เรามีโอกาสสูงที่จะเข้าคุก"
วินทร์ เลียววาริณ
เล่าใหม่จากขำขันที่เคยได้ยินมา24-5-25
0 วันที่ผ่านมา -
เคยไหมที่นั่งทำงานอยู่ดีๆ นึกถึงเหตุการณ์เจ้านายตวาดใส่เมื่อ 2-3 ปีก่อนที่มาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ไปดูหนัง แต่สมองกลับคิดเรื่องคำพูดของเพื่อนที่ทำร้ายจิตใจเราเมื่อสิบปีก่อน
เดินเล่นในสวนสวย แต่ความคิดกลับพาเราไปโลกอื่น
มันเป็นเรื่องแปลกที่หลายความคิดปรากฏตัวโดยกะทันหัน มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มาโดยไม่ได้นึกถึงมันมาก่อน
ทำไมเป็นอย่างนั้น?
นี่เป็นอาการปกติของจิตที่ไม่ได้ฝึกสมาธิ ไม่เจริญสติ
คลิกลิงก์อ่านต่อได้เลยใน Blockdit https://www.blockdit.com/posts/67fbd5a2e2c7f2cd8aed306c
0 วันที่ผ่านมา -
โพสต์ดาราศาสตร์ 101 พูดถึงยูโรปา ดวงจันทร์ดวงหนึ่งของดาวพฤหัส ทำให้ต้องคุยเรื่องต่อไปนี้
ยูโรปาเป็นน้ำแข็งทั้งดวง แต่เชื่อว่าใต้น้ำแข็งหนาคือมหาสมุทร
เมื่อ 20 ปีก่อน (2548) ผมตีพิมพ์นิยายไซไฟชุด จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย ในเล่มมีเรื่องสั้นชื่อ สงครามยูโรปา ใช้ฉากดวงจันทร์ยูโรปา
ผมแต่งเรื่องให้มนุษย์ต้องการทรัพยากรพิเศษบางอย่างที่มีเฉพาะในมหาสมุทรของยูโรปา ผมแต่งเรื่องให้จักรวรรดิโลกจำต้องครอบครองดวงจันทร์ดวงนี้ ผลก็คือเกิดสงครามระหว่างมนุษย์กับชาวยูโรปา
ผมยังแต่งเรื่องให้สัตว์น้ำบนดวงจันทร์นี้มีสารเคมีบางตัวที่เหมาะกับสรีระมนุษย์ เป็นยาอายุวัฒนะอย่างหนึ่ง ตัวเอกเป็นทหารถูกส่งไปรบ และรักกับชาวพื้นเมืองยูโรปา แล้วหันไปต่อต้านกองทัพชาวโลก
นอกจากนี้ผมยังแต่งเรื่องให้มีการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมคนให้ร่างกายสามารถอยู่อาศัยในสภาวะของดวงจันทร์นี้ได้
พล็อตนี้เหมือนลอกเรื่อง Avatar และ Avatar : The Way of Water ของ เจมส์ คาเมรอน มาเลย
โชคดีที่ผมเขียนก่อนเรื่อง Avatar 4 ปี และก่อน The Way of Water 17 ปี ไม่งั้นคงเข้าข่ายลอก เพราะคงไม่มีใครเชื่อคนไทยคิดก่อน
กลับมาที่ยูโรปา ในเรื่อง 2010: Odyssey Two โซเวียตกับสหรัฐฯจับมือกันส่งยานไปดาวพฤหัส แต่พบว่ามียานอวกาศลำหนึ่งแซงไป
มันเป็นยานอวกาศของจีน ชื่อเซียน มุ่งหน้าที่ดาวพฤหัสเช่นกัน ยานเซียนนั้นแล่นไปเร็วมาก เพราะขนเชื้อเพลิงไปแค่เที่ยวเดียว
นักวิทยาศาสตร์จีนกะว่าจะเอาน้ำจากยูโรปาเป็นเชื้อเพลิงเที่ยวกลับ
ยานเซียนไปจอดที่ยูโรปา และถูกบางสิ่งบนยูโรปาทำลาย นักวิทยาศาสตร์จีนชื่อจางส่งสารไปที่ยานโซเวียต บอกว่ามีชีวิตบนยูโรปา แล้วก็ตายไป
เมื่อยานโซเวียตไปถึง พบว่าสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวเปลี่ยนดาวพฤหัสเป็นดวงอาทิตย์ เพื่อทำให้น้ำแข็งบนยูโรปาละลาย และกำเนิดชีวิตใหม่ที่นั่น
แล้วส่งสารสุดท้ายผ่านสมงกล HAL ไปยังโลกว่า "ทุกโลกเป็นของพวกท่าน ยกเว้นยูโรปา อย่าพยายามลงจอดที่นั่น"
แต่มนุษย์ก็คือมนุษย์ ส่งยานไปที่ยูโรปาอีกหลายลำ และทุกลำก็ถูกทำลาย
บางทีสิ่งเดียวที่สามารถเตือนมนุษยชาติได้ก็คือสิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาว
แต่สิ่งทรงภูมิปัญญาต่างดาวจะสามารถเตือนเราว่าอย่าสร้าง 'กสน' ได้ไหมหนอ
ป.ล. รูปที่นำลงมาเป็นรูปจริง เส้นสายบนดวงจันทร์ในรูปคือร่องลึกรอยแตกของน้ำแข็ง
วินทร์ เลียววาริณ
23-5-252 วันที่ผ่านมา -
สมัยก่อนเวลาเถ้าแก่ไปสู่ขอลูกสาวให้หนุ่มไหน พ่อแม่หญิงสาวจะถามไถ่เรื่องรายได้ของชายหนุ่มคนนั้นว่า มีเงินพอจะเลี้ยงดูลูกเมียไหม ความสามารถในการหาเงินเป็นมาตรวัดทางอ้อมว่าลูกสาวจะมีความสุขในชีวิตคู่
ความรักอย่างเดียวไม่ว่าจะดูดดื่มแค่ไหนก็ไม่พอ การกัดก้อนเกลือกินบั่นทอนความรักให้จืดจางได้ง่าย ๆ กิน ‘เกลือ’ บ่อย ๆ นอกจากไตจะพังแล้ว หัวใจพลอยไปไม่รอดด้วย เงินจึงเป็นมาตรวัด ‘ความสุข’ ไปโดยปริยาย
เคยได้ยินผู้หญิงพูดกันเล่น ๆ ไหมว่า “ฉันรักผู้ชายดี หลงผู้ชายเลว ชอบผู้ชายห่าม แต่ขอแต่งงานกับผู้ชายรวย!”
ในสเกลใหญ่ระดับประเทศ เราก็วัดความเจริญรุ่งเรืองของชาติที่รายได้เหมือนกัน มาตรนี้เรียกว่า GDP - Gross Domestic Product
จีดีพี หรือ จ.ด.พ. วัดความสำเร็จและความเจริญของชาติด้วยตัวเลขความเติบโตทาเศรษฐกิจโดยคำนวณจากมูลค่าตลาดของสินค้าและบริการที่ประเทศหนึ่ง ๆ ผลิตขึ้น เราใช้ จ.ด.พ. วัดมาตรฐานการครองชีพของประชากรในประเทศนั้น ๆ
ผู้นำประเทศต่าง ๆ มักบอกประชาชนให้เข้าใจโดยนัยว่า ค่า จ.ด.พ. ยิ่งสูง คุณภาพชีวิตยิ่งดี แต่ค่า จ.ด.พ. สูงไม่ได้มีความหมายอะไรนอกจากจะบอกว่าประเทศนั้นมีเงิน
ปัญหาคือ จ.ด.พ. ไม่สนใจว่าผลผลิตนั้นใช้ทรัพยากรของชาติใด ไม่แคร์ว่ากระบวนการได้ตัวเลขสูง ๆ ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือไม่ มันไม่ได้วัดว่าธรรมชาติเสื่อมโทรมลงเท่าไร ส่งผลกระทบต่อโลกในด้านลบแค่ไหน เช่น ปลดปล่อยธาตุคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศจนทำให้โลกร้อนมากน้อยเพียงใด หรือไก่ที่ยืนในกรงแคบ ๆ ตลอดชีวิตจะทนทุกข์ทรมานแค่ไหน
จ.ด.พ. จึงเป็นเพียงค่าทางตัวเงิน ไม่ใช่ค่าทางจิตใจ ไม่ใช่ค่าคุณภาพชีวิต มันไม่อาจวัดได้ว่าคนมีความสุขหรือไม่
เช่นเดียวกับระบบความเชื่อที่ผูกคำว่า ‘ศีลธรรม’ เข้ากับคำว่า ‘ศาสนา’ ระบบเศรษฐกิจก็ผูกคำว่า ‘รายได้’ เข้ากับคำว่า ‘ความสุข’ เราจึงได้ยินแต่คนพูดเรื่องเศรษฐกิจและการสร้างหนี้เพื่อ ‘ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ’ กู้แล้วกู้อีก ใช้หมดแล้วก็กู้ใหม่ ประเทศเราไม่เคยว่างเว้นจากหนี้สิน และกู้กันหนักมือขึ้น มีคนคำนวณว่า เราต้องใช้เวลาห้าสิบปีในการจ่ายหนี้ก้อนใหญ่ล่าสุดที่กู้มา
ว่าก็ว่าเถอะ เหล่านี้เป็นหนี้สินที่พอชำระคืนได้
แต่หนี้ที่สำคัญที่สุดซึ่งเราไม่มีปัญญาชดใช้คือความเสื่อมของธรรมชาติและความหมดสิ้นของทรัพยากร เราตัดป่าด้วยอัตราเร็วเหมือนว่าต้นไม้สามารถงอกคืนได้ภายในวันเดียว เราเอาของทุกอย่างมาจากธรรมชาติ ขุดน้ำมัน เหล็ก ทอง เพชร ฯลฯ แต่ไม่อาจชดใช้คืนให้ธรรมชาติ เพราะกระบวนการของธรรมชาติกินเวลานานกว่าอารยธรรมของมนุษยชาติ
มันก็คือการขโมยทรัพยากรจากลูกหลานของเรานั่นเอง ทุกครั้งที่ตัดป่าทำลายธรรมชาติ เปลี่ยนสภาพดินฟ้าอากาศให้วิปริต โลกอนาคตของลูกหลานเราก็หดแคบลง ลูกหลานเราเป็นคนที่รับกรรมจากการแข่งกันสร้าง GDP ของเราในวันนี้
และเมื่อน้ำมันหมดโลก ป่าเหี้ยนหายเมื่อไร จ.ด.พ. อาจย่อมาจาก ‘จนดีพี่’, ‘เจ๊งดีพี่’ และ ‘ เจ็บดีพี่’
GDP โดยตัวมันเองไม่ใช่เรื่องดีหรือเรื่องร้าย มันเป็นแค่ตัวเลข เหมือนตัวเลขในบัญชีธนาคารของเรา ตัวเลขเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรเลยจนกระทั่งเราเชื่อว่าต้องมีตัวเลขสูง ๆ จึงจะมีความสุข
เมื่อมองทุกอย่างเป็นตัวเงิน ก็ได้คำตอบแบบตัวเลข ดูเหมือนว่าเราพูดแต่เรื่องเศรษฐกิจ ไม่เคยพูดถึงเรื่องความสุขทางใจเลย
คนที่มีรายได้สูงอาจสามารถจับจ่ายได้มากกว่า คล่องตัวกว่า แต่ไม่ได้แปลว่ามีความสุขมากกว่า
หากมนุษยชาติต้องการจะเหลือโลกที่ลูกหลานเราพออยู่อาศัยได้อย่างมีความสุข และเหลือพื้นที่ให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ด้วย เราอาจต้องคิดไปไกลกว่าแค่ประกวดตัวเลข GDP เหมือนกับที่เราใช้ตัวเลขประกวดสิ่งอื่น ๆ ทั้งหลาย ตั้งแต่สัดส่วนนางงาม, ‘ความใหญ่ที่สุดในโลก’
บางทีเราควรหันไปแข่งขันตัวเลขของความสุขหรือ จ.ด.พ. หัวใจมากกว่า
จ.ด.พ. = จิตดีพี่
จ.ด.พ. = เจริญ(ทางใจ)ดีพี่
จ.ด.พ. = แจ่มดีพี่
เพราะ จ.ด.พ. ทางเศรษฐกิจหรือจะสู้ จ.ด.พ. ของความสุข
วินทร์ เลียววาริณ
22-5-25....................
บางท่อนจากหนังสือ รอยยิ้มใต้สายฝน
35 บทความกำลังใจ หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วโปรโมชั่นทางแพ็คเกจทาง Shopee
https://shope.ee/AKD4JG1XZy?share_channel_code=62 วันที่ผ่านมา -
The public have an insatiable curiosity to know everything, except what is worth knowing.
Oscar Wilde
3 วันที่ผ่านมา