• วินทร์ เลียววาริณ
    3 เดือนที่ผ่านมา

    จะเล่าต่อเรื่องรัฐประหารในประเทศไทย

    ดังที่เล่ามาแล้ว รัฐประหารในประเทศไทยครั้งแรกสุดคือ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ผู้ก่อการคือคณะราษฎร เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตย

    ครั้งที่ ๒ เมษายน ๒๔๗๖ พระยามโนปกรณ์นิติธาดาประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา

    ครั้งที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๗๖ พระยาพหลพลพยุหเสนา ยึดอำนาจจากรัฐบาลพระยามโนปกรณ์ฯ

    ครั้งที่ ๔ คือ กบฏบวรเดชที่เพิ่งเล่าจบไป

    วันนี้จะเล่ารัฐประหารครั้งที่ ๕ เมื่อสิงหาคม ๒๔๗๘ คือกบฏนายสิบ ผู้ก่อการไม่ใช่ทหารระดับสูง แต่เป็นทหารยศนายสิบ กองพันทหารราบที่ ๒ พยายามยึดอำนาจจากรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา

    เป็นปี พ.ศ. ๒๔๗๘ สองปีหลังกบฏบวรเดช หนึ่งปีหลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงสละราชย์ ทหารกลุ่มหนึ่งวางแผนก่อรัฐประหาร

    เวลานั้น พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี พ.อ. หลวงพิบูลสงครามเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พ.ต.อ. หลวงอดุลเดชจรัสเป็นอธิบดีกรมตำรวจ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ เป็นที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี

    แผนคือยึดกระทรวงกลาโหมเป็นฐานบัญชาการ ลอบสังหารบุคคลสำคัญจำนวนหนึ่ง แล้วคืนอำนาจให้รัชกาลที่ ๗ และคืนประเทศสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

    เหล่านายสิบว่างแผนจับบุคคลสำคัญทั้งฝ่ายทหารและการเมือง โดยจะนำรถรบสามคันบุกเข้ายึดวังปารุสกวัน ซึ่งเป็นที่พำนักของพระยาพหลพลพยุหเสนา และเป็นที่ทำการของสำนักงานเลขาธิการรัฐสภามาตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง

    ตามแผนจะเริ่มปฏิบัติการตอนตีสาม วันที่ ๕ สิงหาคม แบ่งกำลังไปควบคุมตัวผู้บังคับกองพันและนายทหารระดับสูงที่บ้านพัก หากมีการต่อต้าน ให้ใช้กำลังสังหารได้ทันที

    พระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นผู้เดียวที่ไม่อยู่ในรายการลอบสังหาร เพราะทหารชั้นผู้น้อยเคารพรัก เพียงจะจับไว้เป็นตัวประกันเท่านั้น

    หลังกบฏบวรเดช พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสะเทือนพระทัย สละราชย์ ทหารชั้นผู้น้อยกลุ่มหนึ่งประชุมลับในกองพันทหารราบที่ ๒ ตั้งอยู่ที่วังจันทรเกษม ในบังคับบัญชาของ พ.ต. หลวงประหารริปูราบ

    นายสิบจำนวนแปดคนในกองพันที่ ๒ คุยกัน เริ่มที่ ส.อ. ถม เกตุอำไพ กับเพื่อน คือ ส.อ. แช่ม บัวปลื้ม ส.อ. ตะเข็บ สายสุวรรณ ส.อ. เท้ง แซ่ซิ้ม ส.อ. กวย สินธุวงศ์ ส.อ. เข็ม เฉลยทิศ ส.ท. ม.ล. ทวีวงศ์ วัชรีวงศ์ ส.ท. แผ้ว แสงส่งสูง

    “คณะราษฎรไม่ได้ทำงานเพื่อประเทศชาติ”

    “แม้แต่ราษฎรยังกล้าฟ้องร้องในหลวง”

    “เราจะยึดอำนาจคืนให้พระมหากษัตริย์”

    “เราต้องใช้รถถัง แต่เราไม่มี”

    “เราต้องพึ่งกองพันทหารราบที่ ๓ ซึ่งมีกรมรถรบ ใครมีเพื่อนที่นั่นบ้าง?”

    ส.ท. ม.ล. ทวีวงศ์ วัชรีวงศ์ ว่า “ผมรู้จักนายสิบที่กองพันทหารราบที่ ๓ ซึ่งมีความคิดอ่านเหมือนกับเรา ผมอาสาไปเจรจา”

    ความคิดล้มล้างการปกครองจึงขยายวงไปยังกองพันทหารราบที่ ๓ ซึ่งมีแกนนำคือ จ่านายสิบสาคร ภูมิทัต กับ ส.อ. สวัสดิ์ มะหะหมัด

    พวกเขาพูดคุยแผนการในร้านอาหารที่นายทหารชั้นประทวนมักไปขลุกอยู่ด้วยกัน แผนการก่อรูปชัดเจนขึ้น พวกเขาลงรายละเอียดทุกจุด

    แต่ยุทธวิธีลอบสังหารทำให้สมาชิกบางคนไม่สบายใจ

    นายสิบรถรบคนหนึ่งได้นำความไปรายงานผู้บังคับการกรมรถรบคือ พ.ต. ทวน วิชัยขัทคะ หนึ่งในผู้ก่อการ พ.ศ. ๒๔๗๕ รายงานนั้นถูกส่งต่อถึงหลวงพิบูลสงครามและรัฐบาลทันที

    นายสิบที่นำความมาบอกอธิบายแผนว่า “เราจะนำรถถังออกมา ยึดสถานที่สำคัญ และลอบสังหารบุคคลสำคัญ”

    “ใครเป็นตัวการใหญ่ ใช่พระยาทรงสุรเดชหรือไม่?”

    “ไม่ใช่ครับ”

    “คุณกำลังบอกว่ามีแต่ทหารระดับนายสิบลงมือเองงั้นหรือ?”

    “ใช่ครับ”

    “ไม่มีนายทหารใหญ่อยู่เบื้องหลังจริงหรือ?”

    “ไม่มีครับ”

    นายกรัฐมนตรีและหลวงพิบูลสงครามเรียกประชุมนายทหารระดับสูงทันที สั่งการให้เฝ้าดูความเคลื่อนไหวของทหารชั้นประทวนกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด ในที่สุดเมื่อแน่ใจว่าทหารชั้นประทวนจะก่อการปฏิวัติจริง เบื้องบนก็ส่งทหารไปจับผู้ก่อการทั้งหมด ก่อนที่เหล่านายสิบจะลงมือ

    เวลาเที่ยงตรงของวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๘ พ.ต. หลวงประหารริปูราบ ผู้บังคับการกองพันทหารราบที่ ๒ เรียกประชุมนายสิบทั้งกองร้อยในห้องประชุม สั่งทหารจำนวนหนึ่งพร้อมอาวุธล้อมห้องไว้

    ผู้บังคับการกองพันสั่งจับนายสิบที่มีรายชื่ออยู่ ส่งทั้งหมดไปคุมขังที่กระทรวงกลาโหม เป็นนายทหารชั้นประทวน ๒๒ นาย พลเรือน ๑ คน

    ในการสอบสวน นายสิบที่ถูกจับทุกคนถูกถามเหมือนกันว่า “พระยาทรงสุรเดชเป็นหัวหน้าใช่หรือไม่?”

    ทุกคนตอบเหมือนกันว่า “ไม่”

    “ถ้าใช่ คุณจะถูกกันเป็นพยาน ไม่ต้องเข้าคุก”

    คำตอบก็ยังคงเป็น “ไม่”

    นายสิบทุกคนยกเว้น ส.อ. สวัสดิ์ มะหะหมัด ยอมรับสารภาพ

    ศาลพิเศษประกอบด้วยคณะกรรมการเจ็ดคน ใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนตัดสินคดี

    ในวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๘ ศาลพิพากษาตัดสินคดี

    ส.อ. สวัสดิ์ มะหะหมัด ต้องโทษประหารชีวิต เพราะเป็นคนเดียวที่ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง

    ส.ท. ม.ล. ทวีวงศ์ วัชรีวงศ์ ส.อ. เข็ม เฉลยทิศ ส.อ. ถม เกตุอำไพ ส.อ. เท้ง แซ่ซิ้ม ส.อ. กวย สินธุวงศ์ ส.ท. แผ้ว แสงส่งสูง ส.ท. สาสน์ คชกุล จ่านายสิบสาคร ภูมิทัต จำคุกตลอดชีวิต

    ส.อ. แช่ม บัวปลื้ม ส.อ. ตะเข็บ สายสุวรรณ และ ส.ท. เลียบ คหินทพงษ์ จำคุก ๒๐ ปี

    นายนุ่ม ณ พัทลุง ถูกตัดสินจำคุก ๑๖ ปี คนที่เหลือยกฟ้องพ้นข้อหา

    แต่เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้หรือ?

    สำหรับฝ่ายรัฐบาล เรื่องยังไม่จบ

    ฝ่ายรัฐบาลประชุมกัน

    “งานใหญ่ขนาดนี้ ไม่น่าเป็นไปได้ที่ทหารระดับนายสิบก่อรัฐประหาร โดยไม่มีทหารระดับสูงเป็นผู้บงการ”

    “คุณคิดว่า?”

    “ผมเชื่อว่าพระยาทรงสุรเดชเกี่ยวข้อง...”

    “ผู้ต้องหาไม่ได้เอ่ยชื่อพระยาทรงฯ”

    “พวกเขาอาจไม่ยอมซัดทอด”

    “เราไม่รู้ เราไม่มีหลักฐาน ไม่มีนายสิบสักคนเดียวที่ซัดทอดพระยาทรงฯ เขาอาจไม่เกี่ยวข้องเลยก็ได้”

    .........................

    ในรอยต่อของวันที่ ๑๑-๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ส.อ. สวัสดิ์ มะหะหมัดเลขหมายประจำตัวนักโทษ ช. ๔๕๓ ถูกคุมตัวจากบางขวางไปที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า หัวแหลมฟ้าผ่า สมุทรปราการ

    เพชฌฆาตเล็งปืนตรงระดับหัวใจของนักโทษประหาร แล้วลั่นไก

    มันเป็นการประหารชีวิตนักโทษการเมืองครั้งแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

    แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

    .........................

    จากชุด ประวัติศาสตร์ที่เราลืม

    ตอนนี้มีโปรโมชั่นสุดคุ้ม สั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6 

    สั่งทางเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/176/%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%20%E0%B9%91-%E0%B9%95%20+%20%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9 

    0
    • 0 แชร์
    • 54

บทความล่าสุด