-
วินทร์ เลียววาริณ27 วันที่ผ่านมา
ปี 2568 นี้ผมเขียนหนังสือมาได้ 40 ปีเต็มแล้ว (ไม่รวมนิยายภาพที่ทำตอนวัยหนุ่ม)
ผมเร่ิมเขียนหนังสือวรรณกรรมในปี 2528 แต่กว่าจะรวมเล่มครั้งแรกก็ผ่านไป 9 ปี (2537) ถือว่าค่อนข้างช้า แต่ผมไม่รีบร้อนเพราะไม่เคยคิดจะเป็นนักเขียน เขียนเพื่อความบันเทิงส่วนตัว เสร็จแล้วเก็บไว้ในลิ้นชัก
แต่เมื่อวันหนึ่งเผลอส่งงานไปเสนอนิตยสารและได้รับการตีพิมพ์ ก็ตามมาด้วยงานจำนวนหนึ่งซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในสนามต่างๆ มากพอจะรวมเล่ม ก็รวมเล่ม (ตามอัตตาของนักเขียนกระมัง!) แต่กระนั้นผมก็ตั้งใจจะเขียนหนังสือหลายเล่มให้เสร็จก่อนตีพิมพ์เล่มแรก เพื่อที่จะมีหนังสือไหลออกมาต่อเนื่องไม่หยุด
ดังนั้นผมเปิดตัวหนังสือครั้งแรกทีเดียวสองเล่ม (สมุดปกดำกับใบไม้สีแดง และอาเพศกำสรวล)
หลังจากหาเหาใส่หัวโดยผันตัวเป็นนักเขียนอาชีพ ความเครียดก็ตามมา ถ้าเขียนไม่ทัน ก็อดตาย ถ้าเขียนไม่ดีก็ตายเหมือนกัน เพื่อลดความเครียดจากแรงกดดัน แทบทุกเล่มจึงเขียนเสร็จก่อนตีพิมพ์ราวหนึ่งปี เพื่อให้มีเวลาพอขยับตัวหายใจได้บ้าง
40 ปีนี้เขียนไปแล้วร้อยกว่าเล่ม
ปริมาณขนาดนี้ถือว่ามากเกินความฝันแล้ว วันแรกที่จับปากกา ก็ไม่เคยคิดว่าจะมาไกลขนาดนี้
ความจริงถ้าจะเกษียณจริงๆ ก็ทำได้แล้ว หรือจะลดปริมาณงานลงเพื่อจะได้ไปเที่ยวเล่นมากขึ้นก็ได้ แต่ก็ยังทำงานด้วยอัตราเร็วเท่าเดิม เพราะยังสนุกกับงานอยู่ เป็น workaholic ขนานแท้ ซึ่งไม่แนะนำนักอยากเขียนรุ่นน้อง เพราะนี่เป็นชีวิตแบบ ‘no life’ หมกมุ่นอยู่กับงานเขียนทั้งวันทั้งคืน เป็น obsession ไปแล้ว
สงสัยคงมีโอกาสหัวใจวายตายคาโต๊ะทำงานแน่ (ชอบนะถ้าตายแบบนี้!)
เอาละ ตราบที่ก้านไม้ขีดยังพอมีเนื้อให้ไฟเลีย ก็ยังคงมีแสงสว่างอยู่ แต่คงจะหรี่ลงไปเรื่อยๆ ตามสัจธรรมของชีวิต
หวังว่าเมื่อไม้ขีดก้านนี้ร่วง บรรณพิภพก็ยังสว่างด้วยไม้ขีดไฟก้านอื่นๆ ต่อไป
..........................
วินทร์ เลียววาริณ
28-3-25จากอีบุ๊ค #ปล่อยให้ความเหงาพาไป
https://www.winbookclub.com/store/detail/227/ปล่อยให้ความเหงาพาไป
หรือที่ The Meb0- แชร์
- 13
-
หลวงพ่อชา สุภทฺโท เป็นพระป่านักปฏิบัติ เป็นผู้ก่อตั้งวัดหนองป่าพงในจังหวัดอุบลราชธานี มาตั้งแต่ พ.ศ. 2497 เมื่อพระมีชื่อมากขึ้น ก็มีคนมาเยือนวัดมากขึ้น ความใหญ่โตตามมาอย่างเลี่ยงไม่พ้น และเช่นเดียวกับวัดใหญ่ไม่น้อย มีฆราวาสเสนอมอบรถยนต์ให้หลวงพ่อชา
หลวงพ่อชาจึงเรียกประชุมสงฆ์ของวัดหนองป่าพง พิจารณาว่าสมควรรับยานพาหนะหรือไม่ ที่ประชุมสงฆ์ส่วนใหญ่เห็นว่า สมควรรับรถไว้ เพื่อความสะดวกเมื่อต้องเดินทางไปที่ใด อีกเหตุผลหนึ่งคือเมื่อพระเณรอาพาธ ก็สามารถพาส่งหมอทันท่วงที
หลวงพ่อชาถามว่า แล้วเราไม่อายชาวบ้านหรือ ชาวบ้านแถบนี้มีฐานะยากจน บ้างไม่มีแม้แต่เกวียน แต่ก็ตักบาตรเลี้ยงพระทุกวัน พระคือผู้สงบระงับ ต้องมักน้อยสันโดษ หน้าที่พระคือบำเพ็ญธรรม หลุดพ้นจากสิ่งปรุงแต่งให้มากที่สุด การมีรถยนต์เป็นเรื่องประหลาดพิกล
ที่ประชุมจึงเลิกคิดจะมีรถยนต์ประจำวัด
หลวงพ่อชาใช้ชีวิตเป็นพระนักธุดงค์ธรรม เดินป่าเดินเขาไปทุกที่ เดินทางไกล ๆ มาตลอดชีวิต รถยนต์มิเพียงเป็นส่วนเกิน ยังเป็นส่วนที่ทำให้ความเป็นพระขาดหายไป
ต่อมาโยมอีกรายหนึ่งขับรถมาทิ้งไว้ถึงที่กุฏิ ให้หลวงพ่อใช้ ท่านก็ประพฤติตนราวกับว่ารถยนต์คันนั้นไร้ตัวตน เพราะไม่สนใจไยดีรถยนต์คันนั้นเลย จนในที่สุดผู้ให้ก็ต้องรับรถคืนไป
หลวงพ่อชาใช้ชีวิตอย่างสันโดษโดยแท้ อาศัยอยู่ในกุฏิเก่า ไร้ข้าวของ มีแต่สิ่งของจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ใช้ชีิวิตเรียบง่าย ไม่รุงรัง ฉันข้าวมื้อเดียว ไม่เก็บสะสม ไม่มีเงินฝากในธนาคาร
เราไม่จำเป็นต้องเป็นพระระดับหลวงพ่อชา ก็สามารถสตรีมไลน์ชีวิตได้
นาน ๆ ทีควรมองตัวเองว่า เรารุงรังไปหรือไม่ ทั้งร่างกายและจิตใจ
ร่างกายรุงรังคือน้ำหนักเกิน โทรม โรคภัยสถิต
จิตใจรุงรังคือตะกรันของความโลภ ตัณหา ความอยาก เกาะหัวใจ
ขัดสนิมและตะกรันออกไปจากใจบ้าง
ใช้ชีวิตเรียบพอดี งดงาม ไม่รุงรัง
วินทร์ เลียววาริณ
24-4-25จาก ความสุขเล็ก ๆ ก็คือความสุข
57 บทความกำลังใจสั้นและยาว ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 3.3 บาท (ไม่คิดค่าส่ง) หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/165/ความสุขเล็ก%2520ๆ%20ก็คือความสุข
0 วันที่ผ่านมา -
เมื่อวานนี้เล่าว่า ผมเคยนำ แดน บราวน์ ไปกวนเล่นในเรื่อง ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85
ตอนนั้น แดน บราวน์ ดังมากจากเรื่อง The Da Vinci Code ยอดขายถล่มทลาย
นึกอิจฉา ก็กวนเขาเล่น
แน่นอน ผมไม่ได้ใช้ชื่อ แดน บราวน์ ตรงๆ
นี่คือสิ่งที่เขียน
(ท่อน 1 แนะนำไอ้แบน)
ข้าพเจ้ากวาดตาไปรอบตัว
"ตกลงยามไม่เห็นบุคคลแปลกหน้าที่มีพิรุธน่าสงสัยว่าเป็นผู้ขโมยหนังสือของผม?"
"ไม่เห็นครับ"
"ต้องมีสิ ไม่งั้นหนังสือของผมจะหายไปได้ยังไง"
สายตาของข้าพเจ้าหยุดที่ร่างหนึ่ง นอนหงายหลับบนม้านั่งยาว หน้าตาบ่งว่าเป็นชาวตะวันตก เสื้อผ้าดูไม่ออกว่าเก่าหรือสกปรก หรือทั้งเก่าทั้งสกปรก โมเลกุลเหล้าฟุ้งกระจาย
"มัน-เอ้ย!-เขาเป็นใคร?"
"ฝรั่งอเมริกันที่เพิ่งมาที่นี่ไม่นาน มัน-เอ้ย!-เขาอาศัยอยู่ ณ ห้อง B 613 ถัดจากห้องคุณไปหนึ่งห้อง"
"แล้วทำไมไม่นอนในห้องของตัวเอง?"
"ไอ้แบนบอกว่าในห้องร้อน ชอบข้างล่างมากกว่า เพราะเย็นดี"
"มัน-เอ้ย!-เขาชื่อไอ้แบนหรือ? ทำไม? หัวก็ไม่แบน"
"เพราะเจ้านี่กินเหล้าทีละแบน ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เมาแอ๋ทุกวัน แต่เจ้านี่นิสัยดี เมาแล้วไม่ขับ ใคร ๆ ก็ชอบหมอนี่"
"ไอ้แบนชื่อจริงว่าอะไร?"
"ดราวนี่ หรือ ดราวนั่น อะไรสักอย่าง อ้อ! ลืมบอกไป ไอ้แบนอยากพบคุณ"
"ทำไม?"
"ไอ้แบนอยากเป็นนักเขียน เมื่อผมบอกว่าคุณเป็นนักเขียนใหญ่ ไอ้แบนก็อยากมาขอสมัครเป็นศิษย์ของคุณ ผมบอกเขาว่าค่าครูวันละขวดก็พอ"
...................
(ท่อน 2 หลังจากตัวเอกตามล่ารหัสนิทานอีแสบ หรือ The Aesab Code)
เราสามคนนั่งกินอาหารมื้อสุดท้ายด้วยกันในพับผ่า บนโต๊ะวางสุราสามจอก
"นี่เป็นอาหารเย็นมื้อสุดท้ายของเรา"
ไอ้แบนหน้าหงอยลง "ใช่ The Last Supper..."
"อย่าคิดมาก เชิญร่ำดื่มให้เมามาย"
ไอ้แบนเปรยขึ้น "จอกเหล้าร้านนี้แปลกดี หน้าตาโบราณมาก เหมือน Holy Grail ความจริงเราสามคนก็เหมือนอัศวินสมัยโบราณสามนายที่ออกตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์"
"ใช่ และที่เราดื่มก็คือน้ำศักดิ์สิทธิ์หลายสิบดีกรี"
เราสามคนชนจอกและกรอก 'น้ำศักดิ์สิทธิ์' เข้าปาก
"คุณจะกลับอเมริกาพรุ่งนี้จริงหรือ?"
ไอ้แบนตอบ "ใช่อะ ผมตั้งใจจะเลิกเมา แล้วเริ่มต้นทำงานเสียที"
"เขียนนิยาย?"
"ใช่อะ แต่จนถึงวันนี้ผมยังคิดไม่ออกอะ ผมไม่รู้จะแปลงวัตถุดิบเป็นเรื่องได้ยังไง"
เขาสบตาข้าพเจ้า "พี่ครับ ผมเอาเรื่องผจญภัยของพี่ไปเขียนเป็นนิยายได้ไหม ใช้ชื่อ The Aesab Code ให้พี่เป็นพระเอก"
"นิยายฝรั่งเอาคนไทยเป็นพระเอก คงขายดีหรอกนะ! คุณจะเขียนนิยายทั้งทีก็ควรคิดใหม่ทำใหม่ คิดพล็อตจะยากอะไร?"
"ยากนะ ยากมั่กมั่ก"
"ไม่ยาก ลองมองไปรอบตัวคุณ ทุกอย่างที่คุณเห็นสามารถแปลงเป็นนิยายได้ทั้งสิ้น อย่างจอกเหล้านี่ก็เป็นวัตถุดิบในการแต่งนิยายได้"
"จริงอะ? ยังไงอะ?"
"หลายวันนี้เราพยายามคลี่คลายความลับของหนังสือโบราณ นิทานอีแสบ เรื่องรักของคนโบราณซึ่งเป็นต้นเหตุให้ ดา วินชี วาดภาพ โมนา ลิซา เมื่อกี้คุณเปรยว่า หน้าตาจอกเหล้าเหมือน Holy Grail และเราสามคนเหมือนอัศวินสมัยโบราณสามนายที่ออกตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ คุณก็เล่นเรื่อง Holy Grail เลยซี อ้อ! เมื่อกี้คุณเอ่ยคำว่า The Last Supper มันเป็นชื่อภาพวาดของ ดา วินชี ใช่ไหม?"
ชาวอเมริกันว่า "ใช่อะ เป็นรูปพระเยซูกินอาหารมื้อสุดท้ายอะ"
"งั้นคุณก็โยงเรื่องภาพ The Last Supper ที่คุณว่าเข้ากับจอกศักดิ์สิทธิ์ แล้วโยงเข้ากับงานของ ดา วินชี แล้วก็ใส่เรื่อง Golden Section เข้าไปได้เลย บอกว่ามันเป็นสัดส่วนศักดิ์สิทธิ์ มั่วให้เป็นรหัสลับแล้วอย่าลืมเอาคำศัพท์มาย้อนหลัง แล้วสร้างความหมายขึ้นมาใหม่ ยำ ๆ เข้าไป อย่างที่ผมเฉลยปริศนา นิทานอีแสบ น่ะ เทคนิคนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ถ้าคุณกล้าหน่อย ก็เล่นประเด็นแรง ๆ เลย อย่างศาสนาเป็นต้น คนเขาชอบอ่านประเด็นชวนทะเลาะกัน..."
ยามเสริม "อย่างเรื่องพระมีเมียเป็นต้น"
"แล้วขยายความโคตรของ ดา วินชี ด้วย"
"โคตร ดา วินชี? The Da Vinci Code?"
พลันนัยน์ตาของไอ้แบนเป็นประกาย อุทาน "โอ! มายก๊อด... น่าสนใจมั่กมั่ก... ผมรู้แล้วละว่าจะเขียนนิยายเรื่องอะไร อิ อิ หุ หุ อ้อ! แล้วผมต้องมีนามปากกามะ?"
"ไม่จำเป็น"
"แต่ชื่อจริงของผมน่ะไม่ค่อยเข้าท่าอะ"
ข้าพเจ้าถามเขา "คุณชื่อจริงว่าอะไรครับ?"
"ผมชื่อ ดราวนี่ อะ แต่เพื่อน ๆ ชอบเรียกผมว่า The Drowned อะพวกมันประชดที่ผมจมตัวเองกับเหล้า พอมาถึงเมืองไทย ราวกับนัดกันไว้ คนไทยก็เรียกผมว่า ไอ้แบน เพราะผมกินเหล้าทีละแบนอะ ฉะนั้นชื่อของผมตอนนี้ก็คือ Drowned Ban"
"ดราวน์ แบน... ชื่อประหลาด โดยเฉพาะหากเป็นชื่อนักเขียน"
"แต่ทำไงได้อะ? ชื่อหนึ่งวงเหล้าเมืองนอกตั้งให้ อีกชื่อหนึ่งก๊วนเหล้าเมืองไทยตั้งให้ ทั้งสองก๊วนมีความหมายต่อผมยิ่ง"
"ไม่ยาก ชื่อไม่เพราะก็ลองผวนกลับดู อาจดีขึ้นนะ"
เขาทำปากขมุบขมิบผวนคำตามคำแนะนำของข้าพเจ้า สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นยิ้มระรื่น จับมือข้าพเจ้าเขย่าเป็นการใหญ่ แล้วชูสองมือขึ้นฟ้า
"โอ! ขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ผมมาเมาและเจอพี่ที่เมืองไทยนี่ อิ อิ หุ หุ อะ อะ..."
ยามบ่น "ไอ้ ดราวน์ แบน มันบ้าไปแล้ว ท่าทางมันดีใจเหมือนนักเขียนที่ขายหนังสือได้สักแปดสิบล้านเล่ม"
..........................
ต่อมาไอ้แบนก็ขายหนังสือได้ 80 ล้านเล่มจริงๆ ส่วน ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85 ยังคงขายไม่ออก
วินทร์ เลียววาริณ
23-4-25.........................
ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85
นวนิยายรัก + อิงประวัติศาสตร์ + ไซไฟ + ล้อเลียน + เสียดสีการเมืองสาย ธารี เป็นโกสท์ไรเตอร์ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักเขียนที่มีชื่อเสียงหลายคน วันหนึ่งเขาเดินชนหญิงสาวคนหนึ่งที่หัวมุมถนนและหลงรักเธอทันที เขาเชื่อมั่นว่า เขาเคยพบกับเธอมาก่อน
สาย ธารี สืบพบว่าหญิงสาวคนที่เขาหลงรักแรกพบ เกี่ยวข้องกับหนังสือนิทานโบราณเล่มหนึ่งที่ตีพิมพ์โดยหมอบรัดเลย์ ชื่อ นิทานอีแสบ ยิ่งเขาคลี่ปริศนาแห่ง นิทานอีแสบ ลึกเท่าใด ก็ยิ่งค้นพบความลับของเขากับเธอ ทั้งสอง ‘เคย’ รักกันมาก่อนในหลายๆ โลก จักรวาลประกอบด้วยมิติต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน เธอคนที่เขารักเป็นหนึ่งใน ‘เธอ’ จำนวนล้านๆ คนในโลกมิติต่างๆ ที่ซ้อนทับกัน
ความรักของเขากับเธอในโลกมิติต่างๆ เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์โลกตั้งแต่โบราณ เช่น การยาตราทัพข้ามโลกของเจ็งกิสข่าน, อเล็กซานเดอร์มหาราช, การรุกกรุงธนบุรีของอะแซหวุ่นกี้, จิตรกรรมของ ดา วินชี, ความลับกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ. 2310, ลายแทงขุมทรัพย์โบราณ, ความลับของเลข 5 กับ 8 ไปจนถึงปริศนากลุ่มดาวราศีธนู, หลุมดำ และการย้ายข้ามมิติในจักรวาล
เป็นนวนิยายที่นำเรื่องต่างๆ มายำ - อำ - เสียดสี และกวน teen อย่างที่สุด! โดยมีความรักเป็นเครื่องปรุง
ความเห็นของผู้อ่านทั่วประเทศ :
"เป็นงานทดลองที่เล่นได้หลากหลายและมันส์ที่สุด"
"เรื่องที่ยำและแต่งสีเติมกลิ่นเยอะสะปานนี้ แท้จริงแล้วคือการตกตะกอนความคิดชั้นเยี่ยมเท่าที่เห็นมา"
"ขอบอกว่า 'โดนนนน' "
"ชอบมาก ๆ เล่มนี้ เสียดสี แดกดันได้มันสมใจจริง ๆ"
"เป็นนวนิยายแนวจิก กัด ยำ อำ ซึ้ง กวนประสาท และฮากรึ่ม ๆ… ใครที่ชอบนิยายที่อ่านไป งงไป อึ้งไป รับรองว่าต้องชอบค่ะ"
"เป็นงานเขียนเชิงทดลองที่ยอดเยี่ยมและไม่เคยมีใครคิดแบบนี้มาก่อน"
"มีอารมณ์ขันและมุขตลกแบบกวนส้นเท้าอื่น ๆ ที่พบได้ทั่วไปในหนังสือเล่มนี้"
"บอกได้เลยว่าเล่มนี้เป็นนิยายที่เสียดสี แดกดัน ประชดประชันสังคมมนุษย์ที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา ยิ่งอ่านยิ่งงง และยิ่งสนุกไปในเวลาเดียวกัน"
"สอดแทรกประเด็นสังคมที่อ่านแล้วก็ทราบได้ทันทีว่า 'โกหก' แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่ออ่านแล้วก็รู้สึก 'สะใจ' "
"สนุกจริง ๆ ค่ะ อ่านแล้วแบบ... เฮ้ย คิดได้ไง"
"เป็นนิยายที่ชอบมาก ๆ ในรอบหลายปี ออกแนวยอกย้อน ยึกยือ อ่านเองดีกว่าครับ"
"สนุกมาก ๆ ค่ะ อ่านแล้วได้อารมณ์แบบกึก ๆ กัก ๆ ขำ ๆ แปลก ๆ แต่ชอบนะ คิดได้ไง"
"กวนมากอ่ะ แต่โคตรชอบ เรื่องนี้ยกให้ว่าจินตนาการเขาสุด ๆ ไปเลย"
"คุณวินทร์เขียนเรื่องนี้ได้เยี่ยม จินตนาการสุดยอด"
"ฮามาก"
"สนุกดี คุณวินทร์แต่งได้เสียดสี ประชด และสมเป็นเรื่องแนวทดลองที่สามารถจับเอาทุกอย่างมาเกี่ยวกันได้อย่างหมดจดและงดงามมากค่ะ"
"จับแพะชนแกะกันเละเทะเลยครับ ถ้าจะอ่านเอามันส์ละก็ แนะนำครับ..."
"ชอบมาก ๆ ค่ะ อ่านแล้วแบบว่า... เค้าคิดได้ไงเนี่ย... 555"
"อ่านเอามันจริง ๆ ค่ะ สากกะเบือยันเรือรบสไตล์วินทร์"
"ชอบมากกกกกกกกกกกกก เจ๋งมากคิดได้ไงไม่รู้"
1 วันที่ผ่านมา -
ลงเรื่อง ฟ. ฮีแลร์ และบทอาขยาน “วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล" แล้ว หลายคนเข้าใจว่า ฟ. ฮีแลร์ เป็นผู้แต่งบทนี้
จากข้อมูลหลายแหล่ง โดยเฉพาะของ รศ. ดร. สุภาพร คงศิริรัตน์ อาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ชี้ว่า ฟ. ฮีแลร์ไม่ได้แต่งบทนี้
บทอาขยานที่นักเรียนในสมัยก่อน (รวมทั้งผม) เรียน มาจาก ดรุณศึกษา เล่ม 3 เนื้อความว่า
“วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล
ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามาจงตั้งเอากายเจ้า เป็นสำเภาอันโสภา
ความเพียรเป็นโยธา แขนซ้ายขวาเป็นเสาใบนิ้วเป็นสายระยาง สองเท้าต่างสมอใหญ่
ปากเป็นนายงานไป อัชฌาสัยเป็นเสบียงสติเป็นหางเสือ ถือท้ายเรือไว้ให้เที่ยง
ถือไว้อย่าให้เอียง ตัดแล่นเลี่ยงข้ามคงคาปัญญาเป็นกล้องแก้ว ส่องดูแถวแนวหินผา
เจ้าจงเอาหูตา เป็นล้าต้าฟังดูลมขี้เกียจคือปลาร้าย จะทำลายให้เรือจม
เอาใจเป็นปืนคม ยิงระดมให้จมไปจึงจะได้สินค้ามา คือวิชาอันพิสมัย
จงหมั่นมั่นหมายใจ อย่าได้คร้านการวิชา...............
พึงสังเกตว่า ในบท 'วิชาเหมือนสินค้า' นี้เขียนว่า "สองเท้าต่างสมอใหญ่"
แต่ในดรุณศึกษาฉบับแรกของ ฟ. ฮีแลร์ ใช้ว่า "สองเท้าต่างสมอไม้"
และชื่อเรื่องของฉบับ ฟ. ฮีแลร์ ก็ไม่ใช่ 'วิชาเหมือนสินค้า' แต่คือ 'ยานนาวาวิเศษ'
ในยุคที่ ฟ. ฮีแลร์ เข้ามาสยามนั้น เป็นปลายรัชกาลที่ 5 มีเรือกลไฟแล้ว และใช้สมอเหล็ก มีแต่เรือสำเภาไทยยุคต้นรัตนโกสินทร์จึงใช้สมอไม้ผูกด้วยหิน
ในฉบับแรกนั้น ฟ. ฮีแลร์ ได้วงเล็บตอนท้ายบทว่า "ของบุราณ" ให้เครดิตว่าบทนี้เป็นงานเก่า ยกมาพิมพ์ใหม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าใครแต่ง
แล้วใครเป็นคนแต่งบทอาขยานนี้กันแน่?
เมื่อสืบค้นดูก็พบว่าคนแต่งคือ หมื่นพรหมสมพัตสร (นายมี) กวีและจิตรกรในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่งบทประพันธ์ไว้มากมาย
และหลักฐานก็ชัดเจนว่า “วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล" อยู่ในบทที่ 41 ของหนังสือ ศรีสวัสดิวัตร เชื่อว่าแต่งช่วงที่นายมีบวชเป็นพระในวัดพระเชตุพนฯ แต่งมาสอนเด็กวัด
ก็ว่าตามหลักฐานนะครับ
วินทร์ เลียววาริณ
23 เมษายน 25681 วันที่ผ่านมา -
คำเตือน ใครที่ยังไม่ได้ดู The Last of Us Season 2 Episode 2 อย่าอ่านบทความนี้หลังเส้นประและคอมเมนต์เด็ดขาด เพราะมีสปอยเลอร์ระดับทำให้เสียอรรถรสในการชม 100%
เตือนแล้วนะ
...................................................
The Last of Us S2 E2 จบตอนแบบหักมุมคาดไม่ถึง ถึงขั้นอึ้ง-ทึ่ง-เสียว
ไม่คาดว่าคนเขียนบทกล้าหาญหักทิศหักอารมณ์คนดูแบบนี้
แต่ก็เชื่อว่าคนเขียนบทระดับ Chernobyl คงมีเหตุผล และคงต้องตามต่อไปเพื่อดูว่าจะเล่าเรื่องต่อไปยังไง
ผมไม่ได้เล่นเกม เข้าใจว่าในเกมตัวละครคนนี้ตายใช่ไหมครับ
นี่เพิ่งตอน 2 นะ คุณพี่เล่นแบบนี้เลย นึกว่ากำลังดูเรื่อง GoT ที่ฆ่าตัวละครเป็นว่าเล่น
รอดูกันต่อไป
1 วันที่ผ่านมา -
ชีวิตทั้งหลายในโลกมีธาตุคาร์บอนเป็นฐาน ประสานกับธาตุอื่น ๆ เรียงร้อยประกอบเป็นชีวิตต่าง ๆ ขึ้นมา ทั้งนี้เพราะธาตุคาร์บอนซึ่งมีมากมายบนโลกสามารถเกาะเกี่ยวร้อยรัดกับธาตุอื่น ๆ ได้ง่าย เราจึงเรียกชีวิตบนโลกว่า Carbon-based Life
เมื่อสิ่งมีชีวิตตายไป ซากร่างสลายตัว คาร์บอนก็หวนกลับสู่แผ่นดิน ผ่านระยะเวลานานหลายพันหลายหมื่นปีด้วยพลังความร้อนและแรงอัดใต้พิภพ มันก็กลายเป็นถ่านหินดำและน้ำมันฝังใต้ดิน รอคนขุดขึ้นมาใช้เป็นเชื้อเพลิง
การเผาถ่านหินและน้ำมันจึงคืนคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ เป็นที่มาของภาวะโลกร้อน เพราะคาร์บอนในชั้นบรรยากาศมากเกินไป
คุณค่าของสสารต่าง ๆ ในโลกมักถูกกำหนดโดยปริมาณของมัน กรวดทรายไร้ค่าเพราะมีมากเกินไป ถ่านหินราคาถูกกว่าเพชรเพราะมันมีปริมาณมหาศาล แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือค่านิยมความงาม เรามีค่านิยมว่าสิ่งที่ดำสกปรก แตกร่วนง่าย ย่อมมีค่าน้อยกว่าผลึกวัตถุที่ส่งประกายแวววาว
นักปราชญ์อุปมาคนชั่วกับถ่านหิน เพราะถูกมันตอนร้อนจะลวกมือ จับต้องตอนเย็นมือก็สกปรก
แม้ว่าคุณค่าของสสารเป็นสิ่งสมมุติและมายาที่เราสร้างขึ้นมา แต่เรามักเปรียบคุณสมบัติของสสารสองสิ่งนี้กับคุณสมบัติของคน คนที่แข็งแกร่งย่อมถูกเทียบกับเพชรเพราะมันเป็นสสารที่แกร่งที่สุดในโลก ส่วนคนที่มีลักษณะอย่างถ่านดำอ่อนด้อยกว่า
เราทุกคนโดยพื้นฐานเป็นถ่านดำไร้ค่า แต่เราสามารถเพิ่มคุณค่าเป็นเพชร ผ่านการศึกษา การเรียนรู้ การทำงานหนัก การไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
ย่อมมีคนแย้งว่า เราไม่อาจเปรียบมนุษย์เป็นเพชรกับถ่านหิน เพราะมันเป็นคนละชาติตระกูลกัน เสมือนลูกมหาเศรษฐีพันล้านกับลูกคนยากจน โอกาสไม่เท่ากัน อนาคตก็ย่อมต่างกันราวฟ้ากับเหว
การมองแบบนี้เท่ากับยอมรับชะตากรรมแห่งชีวิตโดยไม่โต้แย้ง เนื่องจากคนส่วนใหญ่มองแบบนี้ จึงยากอย่างยิ่งที่จะขจัดวงจรอุบาทว์ต่าง ๆ ออกไปจากสังคม เพราะหลายคนเชื่อไว้ก่อนแล้วว่า “ทำไม่ได้”
แล้วผิดหรือที่คิดอย่างนี้? ถ่านก็คือถ่าน เพชรก็คือเพชร ถ่านจะกลายเป็นเพชรได้อย่างไร?
คนที่ถามอาจจะประหลาดใจอย่างสูงถ้ารู้ว่าถ่านหินกับเพชรก็คือสิ่งเดียวกัน มีกำเนิดมาเหมือนกัน ทั้งสองเป็นธาตุคาร์บอนเดียวกันทุกประการ เกิดมาจากเศษซากชีวิตที่ตายไปแล้วทับถมกันในดินเหมือนกัน ข้อแตกต่างที่ทำให้คาร์บอนก้อนหนึ่งเป็นถ่าน อีกก้อนหนึ่งกลายเป็นเพชรอยู่ที่ทั้งสองผ่านความลำบากในชีวิตต่างกัน
ถ่านเกิดจากการทับถมของซาก Carbon-based Life ใต้ผิวโลกนาน แต่เพชรคือถ่านที่อยู่นานกว่า ถูกพลังความร้อนและแรงอัดหนักหน่วงกว่า มันต้องทนรับแรงอัดของโลกนานต่อเนื่องนับพันนับหมื่นปี จนในที่สุดมันก็เรียงอะตอมต่างออกไป กลายเป็นรูปลักษณ์ของเพชร
และเมื่อผ่านการเจียระไนครั้งสุดท้าย มันก็ก้าวถึงขีดสูงสุดของชีวิตมัน
ดังฉะนี้ถ่านสกปรกก็สามารถเปลี่ยนรูปเป็นเพชรได้ หากมันทนความร้อนและแรงอัดต่อไปไม่ย่อท้อ
คนเราก็สามารถเปลี่ยนตัวเองจากถ่านดำเป็นเพชรด้วยความร้อนและแรงอัด
ความร้อนคือไฟความคิด ไฟสร้างสรรค์
แรงอัดคือการฝึกฝน การทำงานหนัก ความอุตสาหะ ความอดทน การชนปัญหา
สองสิ่งนี้รวมกันสามารถเปลี่ยนมนุษย์คนหนึ่งจากถ่านดำเป็นเพชรวาว เป็นสิ่งแข็งแกร่งที่สุดในปฐพี
ใช่ เราทุกคนกำเนิดเป็นถ่านดำ เปราะบาง เกลื่อนกลาดแผ่นดิน แต่มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเพชรหายาก
น่าเสียดายที่บางคนพบความลำบากแล้วท้อถอย โดยไม่รู้ว่าหากอดทนอีกนิดเดียว อะตอมแห่งชีวิตก็จะเรียงตัวเป็นเพชร!
เราจะเลือกเป็นถ่านดำต่อไปหรือพยายามเปลี่ยนตัวเองเป็นเพชร หากถ่านดำที่ไม่มีสมอง คิดไม่ได้ สามารถเปลี่ยนสถานะเป็นเพชรแท้ได้ ทำไมเราซึ่งมีสมอง สองมือ สองแขน สองขา จะทำเช่นนั้นไม่ได้
ความแตกต่างอยู่เพียงที่เราจะรับความร้อนและแรงอัดแห่งชีวิตได้เพียงไร และเราจะยอมทนรับความร้อนและแรงอัดแห่งชีวิตหรือไม่
เพราะในการเปลี่ยนถ่านเป็นเพชรไม่มีทางลัดและมนตร์วิเศษ ต้องใช้ความร้อนและแรงอัดมหาศาลทางเดียวเท่านั้น
...
จากหนังสือ #รอยยิ้มใต้สายฝน ซื้อตรงจากนักเขียนได้ที่
https://www.winbookclub.com/store/detail/139/รอยยิ้มใต้สายฝน1 วันที่ผ่านมา