• วินทร์ เลียววาริณ
    1 วันที่ผ่านมา

    ไม่เพียง แดน บราวน์ ที่ถูกนำมากวนเล่น นักเขียนโก้วเล้งก็ยังโดน

    นี่คือแซมเปิ้ล

    โลก # 000,000,022

    ข้าพเจ้านั่งที่เก้าอี้ไม้ริมหน้าต่างร้านพับผ่า มองผู้คนเดินผ่านไปมา

    ข้าพเจ้ารินไวน์แดงใส่จอก หยิบหนังสือ มาเฟียก้นซอย ของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ขึ้นมาอ่าน

    นอกจากข้าพเจ้าที่นั่งประจำตำแหน่งแล้ว ยังมีลูกค้าอีกคนหนึ่งที่ปักหลักดื่มและอ่านเงียบ ๆ ที่อีกมุมหนึ่งของผับเช่นกัน ผ่านไปหลายวันและหลายสบตา เราก็ร่วมโต๊ะเดียวกัน

    แขกแปลกหน้าเอ่ย "ผมเห็นคุณอ่านหนังสือและจิบสุราไปด้วย ช่างเป็นภาพที่สวยงามเสียนี่กระไร"

    "เมาอะไรก็มิสู้เมาเหล้ากับอักษรในเวลาเดียวกัน"

    "หาคนที่รู้คุณค่าของหนังสือดีและสุราดียากนัก"

    "ท่าทางคุณถ้าไม่เป็นกวี ก็ต้องเป็นปัญญาชน"

    "ผมชื่อโก้วเล้ง ผมเป็นนักแต่งนิทาน"

    "ผมชื่อ สาย ธารี ผมเป็นนักเขียน"

    "ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดน่าปีติไปกว่าการร่ำดื่มเมรัยรสเลิศกับอ่านหนังสือดี"

    "น่ายินดีที่พบหนอนหนังสือที่นิยมสุรา"

    "หากเป็นสมัยโบราณ เราสองต้องกรีดเลือดสาบานเป็นพี่น้องกัน"

    "สาบานด้วยเหล้าก็เพียงพอ มิสมควรกรีดเลือด มันเจ็บ"

    ข้าพเจ้าถามเขา "คุณมาจากเมืองจีน?"

    "ใช่"

    "คุณเดินทางมาไกลเพื่ออ่านหนังสือในร้านเหล้าเล็ก ๆ ที่นี่หรือ?"

    "เดินทางมาแค่นี้ไม่ถือว่าไกล บรรพบุรุษของผมเดินทางไกลกว่านี้อีกหลายร้อยเท่า"

    "บรรพบุรุษของคุณ?"

    "ผมสืบเชื้อสายมาจากนักแต่งนิทาน ฮันส์ แอนเดอร์เซน"

    "อัศจรรย์ยิ่ง ฮันส์ แอนเดอร์เซน เป็นคนจีน?"

    "ไม่น่าแปลก คนจีนทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่การประดิษฐ์กระดาษ ดินระเบิด ฟุตบอล ไปจนถึงการค้นพบอเมริกา"

    "ฟุตบอล? ตลกน่า! ส่วนอเมริกามิใช่โคลัมบัสเป็นผู้ค้นพบหรอกหรือ?"

    "หามิได้ ชาวจีนเอาถุงหนังมาเตะนานก่อนหน้าชาวยุโรป ส่วนอเมริกานั้น ท่านอำมาตย์เจิ้งเหอไปทัวร์เล่นนานก่อนโคลัมบัส จะเห็นว่าจีนรู้จักโลกตะวันตกเป็นอย่างดีมานานแล้ว สมัยเมื่อทางสายไหมเชื่อมจีนกับยุโรปนั้น ชาวจีนนาม มาร์โค โปโล ก็เดินทางไปทัวร์ที่ยุโรป..."

    "ว้าย! มาร์โค โปโล ก็เป็นคนจีนด้วยหรือ?"

    "อ้าว! คุณไม่รู้หรอกหรือ มาร์โค โปโล เป็นชาวฮั่น แซ่หม่า หรือแต้จิ๋วออกเสียงว่า เบ๊ แปลว่าม้า ชื่อจริงว่า หม่าโปโหล ตระกูลของเขาเลี้ยงม้าในราชสำนัก รู้เรื่องม้าดีเยี่ยม เมื่อไปถึงยุโรป พวกฝรั่งเรียกเขาว่า มาร์ค โปโล พวกอิตาเลียนเรียกเขาว่า มาร์โค โปโล"

    "ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง"

    "ชื่อเมืองหม่าเก๊า หรือที่พวกคุณรู้จักในชื่อ มาเก๊า ก็มาจากชื่อของเขา ส่วนในยุโรปชื่อ โปโล ของเขายังกลายเป็นกีฬาเกี่ยวกับม้า และยังเป็นยี่ห้อสินค้าแฟชั่นตราม้า..."

    "แล้ว ฮันส์ แอนเดอร์เซน..."

    "ใจเย็น ๆ หม่าโปโหลตั้งรกรากที่ยุโรปพักหนึ่งก็เบื่อ จึงออกเดินทางไปทั่ว ครั้งหนึ่งเขาผ่านพื้นที่ที่ปัจจุบันคือเดนมาร์ก ถูกโจรร้ายสิบกว่าคนรุมชิงทรัพย์ที่ชายป่า หม่าโปโหลฆ่าโจรตายไปหลายคน แต่น้ำน้อยก็แพ้ไฟ เขาตกเป็นเบี้ยล่าง ถูกฟันหลายแผล เลือดโทรมร่าง แต่ก็ยังสู้ต่อไป ชั่วขณะหนึ่งเขาล้มลง โจรคนหนึ่งเงื้อดาบจะฟันเขา พลันลูกธนูดอกหนึ่งแล่นมาปักอกโจรตายคาที่ หม่าโปโหลลุกขึ้นมา เห็นลูกธนูยิงออกมาจากป่าไม่หยุด ร่างโจรล้มลงตายจนหมดสิ้น...

    "หลังจากนั้นเขาเห็นม้าตัวหนึ่งทะยานออกจากที่นั้นไป หม่าโปโหลต้องการขอบคุณคนแปลกหน้าผู้นั้น จึงขี่ม้าตามไป จนม้าแซงม้าของคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ คนแปลกหน้าสวมชุดคลุมหน้าดำ แต่ม้าของคนแปลกหน้านั้นแซงม้าของเขาไปราวลมพัด หม่าโปโหลควบม้าไล่ตาม ทั้งสองจึงประลองแข่งม้าไปโดยปริยาย ผลัดกันนำหน้า เมื่อม้าทั้งสองไปถึงยอดเขา ก็น้ำลายฟูมปาก หมดแรง ม้าของคนแปลกหน้าล้มลง ร่างของคนแปลกหน้ากระเด็นตกลงไป ผ้าที่ปิดหน้าหลุดออก เขาตะลึงงันเมื่อพบว่า คนที่ช่วยชีวิตเขาเป็นสตรีนางหนึ่ง เมื่อม้าบาดเจ็บ ทั้งสองจำเป็นต้องผ่านราตรีนั้นด้วยกันบนยอดเขา คืนนั้นจันทร์ลอยเด่น อากาศเย็นยะเยือกชวนฝัน ทั้งสองก็รักกัน"

    "รักกันเร็วปานนั้น?"

    "แน่ละ ในเมื่อนางงามเพียงนั้น ชายใดในโลกจะฝ่าพ้นด่านนางงามได้ นางนั้นชื่อ รตี"

    "รตี?" ข้าพเจ้าพึมพำ "...ทำไมคุณรู้ละเอียดนัก?"

    "เรื่องนี้หม่าโปโหลบันทึกเอาไว้ในสมุดนิทานของเขา"

    "หม่าโปโหลก็ชอบเล่านิทาน?"

    "แน่ละ นักเดินทางในสมัยนั้นต้องฝ่าฟันพื้นที่ต่าง ๆ การเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง ย่อมช่วยสร้างความสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านให้ดีขึ้น นั่นหมายถึงอาหารและที่พักแรม"

    "ถูกของคุณ"

    "อย่างไรก็ตาม ในยุคนั้นการมีสัมพันธ์สวาทกับชาวตะวันออกเป็นเรื่องต้องห้าม หม่าโปโหลถูกจับขังคุก เพื่อนคนหนึ่งจึงหาทางแก้ปัญหาโดยไปปรึกษาหลวงพ่อ หลวงพ่อให้ยาพิเศษมาหนึ่งขวด เป็นยาที่กินเข้าไปแล้วจะตายชั่วคราว กล่าวคือ ชีพจรหยุดเต้น ตัวเย็นแข็งทื่อเหมือนศพจริง เมื่อผ่านสี่สิบแปดชั่วโมงไปแล้ว จะฟื้นเป็นปกติ"

    "เป็นตัวยาพิสดารจริง"

    "เพื่อนคนนั้นติดสินบนยามในคุกให้นำยาไปให้หม่าโปโหล ขณะเดียวกันก็ส่งคนไปแจ้งความลับนี้แก่นางรตี หม่าโปโหลกินยานั้นก็ 'ตาย' ไปชั่วคราว คนคุกจึงนำศพของเขาออกมาจากคุกไปที่กระท่อมร้างแห่งหนึ่งซึ่งเป็นจุดนัดพบ แล้วก็กลับไป นางรตีไปที่จุดนัดพบ พบร่างไร้ชีวิตของหม่าโปโหล จึงฆ่าตัวตายไปด้วยความทุกข์ระทมระทวย"

    "อ้าว! ทำไมนางไม่รู้ว่าเขาตายชั่วคราว?"

    "คนส่งข่าวนั้นเป็นอัลไซเมอร์ ขี้หลงขี้ลืม เขาแค่บอกให้นางไปพบคนรักที่จุดนัดหมาย แต่ไม่ได้บอกเรื่องยาลึกลับ"

    "ทำไมชุ่ยอย่างนี้?"

    "ชีวิตจริงของเราก็ชุ่ยอย่างนี้แหละ ผ่านไปสี่สิบแปดชั่วโมง หม่าโปโหลฟื้นขึ้นมา เห็นศพรตีก็เสียใจ เขาก็ฆ่าตัวตายด้วยความทุกข์ระทมระทวยไปอีกคน"

    "คุณมีกระดาษทิชชูไหม?"

    "ตำนานนั้นเล่าสืบต่อกันมาจนไปถึงแผ่นดินอังกฤษ ภายหลังมันก็จุดประกายให้นักเขียนรุ่นหลังคือ เชกสเปียร์ แต่งเรื่อง โรเมโอกับจูเลียต ชื่อ หม่าโปโหล เพี้ยนเป็น โรเมโอ ส่วน รตี เพี้ยนเป็น จูเลียต"

    "หม่าโปโหล เพี้ยนเป็น โรเมโอ น่ะพอทน แต่ รตี เพี้ยนเป็น จูเลียต นี่มันคนละเรื่องเลยนะ"

    "อย่าคิดมากน่า ประวัติศาสตร์บิดเบี้ยวแค่นี้ไม่เท่าไหร่ นักการเมืองบ้านคุณสัญญาบิดเบือนความจริงมากกว่านี้หลายเท่า"

    "อุ้ย! เจ็บ!"

    "ตอนที่หม่าโปโหลติดคุกนั้น นางรตีให้กำเนิดทารกคนหนึ่ง แต่เนื่องจากนางกลัวว่าทางการจะพรากเด็กไปจากนาง จึงมอบทารกนั้นให้ญาติคนหนึ่งรับเป็นลูกบุญธรรม เมื่อนางตายไป เด็กคนนั้นถูกส่งเข้าโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า พวกเขาเรียกเด็กชายคนนั้นว่า ฮั่น'ส วอนเดอร์ สัน (Han's Wander Son) แปลว่าลูกชายพเนจรของชาวฮั่น ภายหลังตัว W ตกหล่นหายไป กลายเป็น Hans Anderson ภาษาเดนนิชสะกดว่า Andersen ก็คือ ฮันส์ แอนเดอร์เซน นักเล่านิทานที่มีชื่อเสียงคนนั้น"

    "ตำนานของคุณเหลือเชื่อยิ่งนัก"

    "ไม่เหลือเชื่อไปกว่าคอร์รัปชั่นประชานิยมบ้านคุณหรอก"

    "อุ้ย! เพนฟูล!"

    (ยังมีต่อ)

    0
    • 1 แชร์
    • 26

บทความล่าสุด