-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
บทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/67fbd373c90b9fdd22b6a46d
0- แชร์
- 4
-
ผมดื่มชาเขียวเป็นประจำ และเลี่ยงการดื่มนอกบ้าน เพราะพบว่าบางร้าน สีเขียวของชาดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ
เวลาผ่านรถเข็นผลไม้ เห็นฝรั่งกับมะม่วงที่ปอกเปลือกแล้วสีเขียวแสบตา ก็สงสัยว่าจะไม่ใช่เขียวธรรมชาติ
ชาจีนก็ดื่ม แต่ไม่ถี่เท่าชาเขียว
ชาข้าวก็ชอบ เป็นชาจากญี่ปุ่นเหมือนกัน
ผมไม่ค่อยดื่มชาเย็น แต่ในฤดูร้อนปีนี้ ก็ดื่มชาดำเย็นไปหลายแก้วเหมือนกัน
ผู้อ่านชอบดื่มชาไทยไหมครับ? ถ้าดื่ม วันนี้คงเห็นข่าวมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เผยผลทดสอบสีในเครื่องดื่มชานมไทย
ผลการตรวจพบสีสังเคราะห์ในชาไทยทุกยี่ห้อ ที่เรียกว่า Sunset Yellow FCF บางยี่ห้อตัวเลขสูงมาก
ผมไม่ค่อยชอบคำว่าสังเคราะห์หรืออะไรที่ไม่ใช่ของธรรมชาติ ฟังแล้วอารมณ์อยากดื่มหายไปกว่าครึ่ง
Sunset Yellow FCF เป็นสารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้นมา ใช้ในอาหาร มีหลายแบบ เช่น Yellow 5 และ Yellow 6 เป็นสารเคมีเดียวกัน แต่ให้สีต่างกัน
บางประเทศในโลกสั่งห้ามการใช้สารชนิดนี้ เช่น เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ห้ามสาร Yellow 5 แต่หลายประเทศยังอนุญาตให้ใช้อยู่
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุญาตให้ใช้ Sunset Yellow FCF ในอาหารและเครื่องดื่มได้ ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ใช้ในปริมาณ 0-4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (น้ำหนักตัว) ต่อวัน
ถามว่าแล้วมันก่อมะเร็งไหม คำตอบคือยังศึกษาอยู่ มีการศึกษาหลายปีก่อนว่ามันส่งผลต่อเด็กที่เป็น ADHD
โดยรวมถ้าดื่มในกำหนดของ อย. ก็น่าจะปลอดภัย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ถือทางมัชฌิมาปฏิปทาดีกว่ากระมังครับ
วินทร์ เลียววาริณ
27-4-250 วันที่ผ่านมา -
เอเฮ โดเก็น หรือ โดเก็น เซนจิ (แปลว่า อาจารย์เซนโดเก็น) เกิดในตระกูลขุนนางเมื่อปี ค.ศ. 1200 บิดาทำงานในวัง ตายไปตอนเขาอายุเพียงสองขวบ แม่ตายอีกห้าปีถัดมา การเป็นเด็กกำพร้าแต่เล็กทำให้เขามองเห็นสัจธรรมของความไม่เที่ยงมาตั้งแต่เล็ก
เมื่ออายุสิบสองเขาไปอยู่กับลุงผู้เปิดโลกธรรมให้เขา เขาตัดสินใจบวชสายนิกายเทียนไท่ที่ภูเขาฮิเอ สถานที่เดียวกับที่ เอไซ เซนจิ เคยไปศึกษา
เขาขบคิดและตั้งคำถามว่า สัทธรรมปุณฑริกสูตร บอกว่า มนุษย์ล้วนเกิดมาพร้อมธรรมชาติแห่งพุทธะ การแสวงหาการรู้แจ้งโดยการฝึกจึงไม่ใช่ทางที่ถูก ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ทำไมพระพุทธะในแต่ละยุคที่รู้แจ้งแล้วจึงต้องแสวงหาการรู้แจ้งและฝึกฝนทางวิญญาณเพื่อให้ไปถึงสภาวะนั้น? หากทุกคนมีธรรมชาติดังกล่าว ทำไมเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกินที่จะได้มา?
ไม่มีใครตอบเขาได้ ดังนั้นเขาจึงดั้นด้นค้นหาคำตอบจากอาจารย์อื่น ๆ ในที่สุดเขาก็พบจากอาจารย์โคอินแห่งวัดอนโจ
เจ้าอาวาสวัดอนโจกล่าวกับเขาว่า "หากเจ้าจะรู้คำตอบนี้จริง ๆ ก็มีแต่ต้องไปเรียนที่เมืองจีน นั่นคือต้นกำเนิดของเซน"
"เช่นนั้นศิษย์ก็จะไปเมืองจีน"
"เจ้ามิจำเป็นต้องเดินทางไปถึงเมืองจีน เนื่องจากมีอาจารย์ชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งเคยไปศึกษาเซนในเมืองจีนมาก่อน และมาตั้งวัดในญี่ปุ่นนี่เอง"
"ท่านผู้นั้นคือใคร?"
"เอไซ เซนจิ แห่งวัดเคนอิน"
ดังนั้นเขาจึงเดินทางไปหา เอไซ เซนจิ ที่เกียวโต และพบว่าอาจารย์เอไซเป็นผู้นำเซนสายรินไซเข้ามาญี่ปุ่นก่อนเขาเกิดเพียงเก้าปี
ในวัยเพียงสิบสี่ปี เขาเรียนกับอาจารย์เอไซอย่างขะมักเขม้น เอไซ เซนจิ บอกเขาว่า "การคิดถึงธรรมชาติของพุทธะก็เป็นความคิดปรุงแต่ง เพราะคำว่า 'ธรรมชาติแห่งพุทธะ' ก็คือการคิดแบบทวินิยม"
ได้ยินแล้ว เขาก็เริ่มเข้าใจ แต่เขาก็รู้ว่ายังไม่สมบูรณ์
โดเก็นเรียนกับ เอไซ เซนจิ ได้เพียงปีเดียว อาจารย์ก็มรณภาพ เขาศึกษาเซนต่อกับศิษย์ของ เอไซ เซนจิ คนหนึ่งนาม เมียวเซ็น นานอีกแปดปี เขาสนิทสนมกับอาจารย์คนใหม่ผู้นี้มาก
ในวัยยี่สิบสาม เขากับอาจารย์เมียวเซ็นตัดสินใจเดินทางไปเมืองจีนพร้อมกันเพื่อศึกษาเซนเพิ่มเติม
โดเก็นไปเรียนเซนที่วัดเซนจีนซึ่งเน้นการเรียนจากโกอาน เขาไม่แน่ใจนักว่านี่เป็นวิธีที่ถูกต้อง
สองปีต่อมาโดเก็นไปเรียนเซนสายเส้าต้งที่ภูเขาเทียนต้งที่หนิงโป อาจารย์คนใหม่ของเขาคือเทียนถงหรูจิ้ง (1163-1228) วิธีการคิดของอาจารย์เทียนถงหรูจิ้งแตกต่างจากอาจารย์อื่น ๆ ที่เขาเคยพบ
โดเก็นฝึกฝนทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือหนาว เขาบอกว่า "ถ้าศิษย์ไม่ฝึกขณะที่ร่างกายยังแข็งแรง จะมีร่างกายเอาไว้ทำไม?"
อาจารย์เทียนถงหรูจิ้งสอนให้เขาปลดปล่อยกายและใจเป็นอิสระ อาจารย์มีวิธีการสอนต่างไปจากคนอื่น ด้วยประโยคที่ตราตรึงใจเขาไปนานชั่วชีวิตคือ "จงสลัดกายและใจออกไป"
หลักของอาจารย์คือ "การศึกษาวิถีทางที่แท้ก็คือการศึกษาตัวเอง การศึกษาตัวเองก็คือการลืมตัวตนของตัวเอง การลืมตัวตนของตัวเองก็คือการรู้แจ้งจากทุกสิ่งในจักรวาล การรู้แจ้งจากทุกสิ่งในจักรวาลก็คือการสลัดกายและใจออกไปจากตัวเองและคนอื่น แม้แต่ร่องรอยของการรู้แจ้งก็ถูกปิดทิ้งไป แล้วชีวิตที่รู้แจ้งจะเดินต่อไปตลอดกาล"
ส่วนที่ยากที่สุดของการรู้แจ้งคือการปล่อยวางความคิดปรุงแต่งและความคิดสำเร็จรูปทั้งหลาย
การปลดปล่อยการและใจก็เช่นการวางผลไม้ในตะกร้าก้นรั่ว หรือการเทน้ำใส่ในถังที่มีรูรั่ว เมื่อรู็ตัวว่าก้นถังรั่ว ใส่เท่าไรก็ไม่มีทางเต็ม
วันหนึ่งเขาได้ยินอาจารย์เทียนถงหรูจิ้งดุศิษย์คนหนึ่งที่เผลอหลับว่า "การฝึกซาเซนก็คือการละวางทั้งกายและจิต เจ้างีบแบบนี้จะบรรลุอะไรได้"
บัดนั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่า ซาเซนไม่ใช่แค่การนั่งนิ่ง ๆ แต่เป็นการเปิดเผยตัวตนของตน หมดซึ่งทวินิยม และด้วยประโยคนี้ โดเก็นก็บรรลุธรรม
โดเก็นมองเห็นว่า ฟืนที่ก่อไฟมิได้กลายเป็นเถ้า ชีวิตก็มิได้กลายเป็นความตาย เช่นเดียวกับฤดูหนาวมิได้กลายเป็นฤดูใบไม้ผลิ ทั้งนี้เพราะทุก ๆ ชั่วขณะของเวลาเป็นช่วงยามของมันเอง
และนี่คือที่มาของศิษย์โดดเด่นที่สุดของของ เอไซ เซนจิ คือ เอเฮ โดเก็น ผู้ไม่เดินตามเส้นทางของอาจารย์ และเป็นคนวางรากฐาน โซโต เซน ในญี่ปุ่น
วินทร์ เลียววาริณ
27-4-25................................
จาก มังกรเซน และ Mini Zen (เซนฉบับการ์ตูน)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วมังกรเซน Shopee คลิก https://shope.ee/2VUCymbmSh?share_channel_code=6
เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/244/Mini%20Zen%20คู่%20Mini%20Tao
0 วันที่ผ่านมา -
(ต่อจากตอนที่แล้ว https://www.facebook.com/photo?fbid=1275520810603274&set=a.208269707328395)
หลังจากหมดไวน์แดงไปอีกหนึ่งขวด โก้วเล้งถามข้าพเจ้า "คุณสายเขียนอะไร?"
"เขียนตามใบสั่ง ผมเป็นนักเขียนผี เพราะหากเขียนในชื่อของผม มักขายไม่ออก จึงไม่มีใครอยากตีพิมพ์งานของผม"
"ผมเองเขียนนิทานมาหลายปีแล้ว แต่ไม่มีใครยอมตีพิมพ์ บรรณาธิการบอกว่าภาษาของผมสั้น ห้วน เป็นปรัชญาเกินไป เด็กอ่านไม่รู้เรื่อง"
"งั้นคุณน่าจะเปลี่ยนไปเขียนเรื่องแนวอื่น อย่างนิยายกำลังภายในแบบใหม่"
"อย่างไรครับที่เป็นแบบใหม่?"
"คุณก็อาจสร้างตัวละครที่สมจริง เล่นอะไรแรง ๆ เลย เช่นอาจสร้างตัวละครที่มีทั้งด้านดีและไม่ดีในคนเดียวกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเก่งเกินไปก็ได้ อาจสร้างตัวละครที่เหมือนอย่างผม ขาไม่ดี..."
"ขาคุณสายเป็นอะไร?"
"ผมเหยียบตะปูแล้วไม่รักษา คุณอาจให้พระเอกของคุณขาไม่ดีอย่างผม เดินลากเท้าทีละก้าว... อ้อ! เขาบ้ากินหมูแผ่น... เอางี้! ผมว่าให้เป็นโรคลมบ้าหมูด้วยจะแรงกว่า แต่ฝีมือดาบของเขาไวมาก ฟันฉับเดียว แมลงวันที่บินผ่านขาดเป็นสองท่อน มันเปื้อนเลือดตกลงมาแบบสโลว์โมชั่นเหมือนเกล็ดหิมะที่ลอยลงมาช้า ๆ"
"หิมะเปื้อนเลือด... หิมะแดง! จอมดาบหิมะแดง!"
"คุณเห็นภาพใช่มั้ย?"
"โอ! เยส! ตุ้ย! ใช่! เป็นความตายที่งดงามมาก"
"จะเห็นว่าตัวละครที่เป็นแบบแอนตี้ฮีโร่มีสีสันกว่าตัวละครแบบเดิม ๆ"
"งั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องให้พระเอกเป็นคนหนุ่มหล่อเหลา"
"ถูกต้อง อาจเป็นพวกจอมยุทธ์ขี้เมา อายุมากขึ้นมาหน่อย เป็นขี้เมาอย่างผมกับคุณ แต่ปามีดแม่นเป็นบ้า ผมเคยเห็นใครคนหนึ่งสลัดมีดสั้นออกจากหนังสือแม่นระดับตัดแมลงวันที่บินห่างสองวาขาดสองท่อน รู้แล้ว เอางี้... ตัวละครนี้ชอบอ่านหนังสือและฝึกฝนมีดสั้นไปพร้อมกัน เขาอ่านมากและไปสอบเอนทรานซ์ในเมืองหลวงได้ที่หนึ่ง เอาเป็นที่สองก็แล้วกัน เดี๋ยวจะเก่งเกินไป"
"ทำไมใช้มีด ไม่ใช้ดาบหรือกระบี่?"
"คนใช้ดาบเยอะแล้ว เอาเป็นจอมมีดดีกว่า มีดสั้นเล็ก ๆ ดูธรรมดา แต่มีฤทธิ์มาก"
"เขาชื่ออะไร?"
"เขาเป็นคนที่อบอุ่นมาก ถ้าเป็นคนไทย ผมจะตั้งชื่อเขาว่า คิมหันต์ แปลว่าฤดูร้อน เป็นคิมหันต์ที่ชอบลี้จากความรัก"
"ลี้คิมหันต์ แต้จิ๋วออกเสียงว่า ลี้คิมฮวง เชิญว่าต่อไป"
"เขาร่อนเร่ไปทั่วยุทธจักร เพราะ..."
ข้าพเจ้านึกถึงหญิงสาวที่อยู่ในใจ "...ผู้หญิงคนหนึ่ง งดงามยิ่ง"
"ถ้างดงามมาก ทำไมเขาจึงจากเธอมา?"
"ชายชาตรีมีบ้างพึงกระทำ มีบ้างมิพึงกระทำ เขาจากมาเพราะอกหักจากผู้หญิงคนนั้น เขาอกหักเพราะหลีกทางให้เพื่อน"
"ทำไม? เพื่ออะไร?"
"ชายชาตรีมีบ้างพึงกระทำ มีบ้างมิพึงกระทำ ทั้งนี้เพราะเพื่อนคนนั้นเคยช่วยชีวิตเขาไว้ และบอกเขาว่าหลงรักผู้หญิงคนเดียวกับที่เขารัก เขาไม่มีทางเลือกนอกจากลาจากสตรีที่รักมาอย่างเศร้าสลด"
"โรแมนติกสิ้นดี"
ข้าพเจ้าสำลักเหล้า ไอโขลก
"อา! รู้แล้ว เขามักใช้มีดสั้นแกะสลักแท่งไม้เป็นใบหน้าของหญิงคนนั้นขณะที่ไอโขลก และซดเหล้าแทนยาแก้ไอ ทั้งไอแค้ก ๆ และไอเลิฟยู เธออยู่ในใจของเขามาตลอด"
"น้ำตาผมใกล้ไหลแล้ว"
ข้าพเจ้ายื่นกระดาษทิชชูให้โก้วเล้ง
ลูกค้าฝรั่งคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ ๆ เอ่ยแทรกขึ้นว่า "ขออภัย ผมขอแนะนำตนเอง ผมชื่อ มาริโอ พูโซ ผมบังเอิญได้ยินคุณทั้งสองคุยกัน คุณยังพอมีทิชชู เอ้ย! พล็อตเหลือให้ผมบ้างไหม?"
"คุณจะเอาพล็อตไปทำไม?"
"ผมเป็นนักแต่งนิทาน..."
"แปลกนะ แถวนี้มีแต่นักแต่งนิทาน"
"ผมเองก็เบื่อเขียนนิทานให้เด็กอ่านแล้ว อยากเขียนแบบโหด ๆ มั่ง"
ข้าพเจ้าเหลือบมองหนังสือที่อ่านค้างอยู่ มาเฟียก้นซอย ของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์
"คุณก็อาจสร้างตัวละครที่เป็นเจ้าพ่อ แบบคนแก่ ๆ ใจดี แต่คิดอ่านลึกซึ้ง..."
ข้าพเจ้าสำลักไวน์ ไอเสียงแหบ
"เขาเป็นเจ้าพ่อที่มักยื่นข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ เสียงของเขาแหบพร่าเหมือนคนใกล้หมดลม แต่ให้ตายเถอะ กลับมีอำนาจเหลือเกิน แกมีลูกชายสามคนชื่อ ซอนนี่ พงษ์, เฟรด บุญมา และ ไมเกิ้ล ล้วน..."
โก้วเล้งกับ มาริโอ พูโซ มองตากัน แล้วต่างคนต่างง่วนกับการจด
.....................................
จาก ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85
นวนิยายรัก + อิงประวัติศาสตร์ + ไซไฟ + ล้อเลียน + เสียดสีการเมือง1 วันที่ผ่านมา -
เมื่อวานนี้มีข่าวหมอดูพม่าคนหนึ่งถูกทางการจับ ข้อหาทำนายผ่าน TikTok ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวในพม่า ในวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา
เป็นหมอดูที่กล้าฟันธงวันเกิดแผ่นดินไหวด้วย สร้างความแตกตื่นต่อชาวบ้านที่เชื่อหมอดู (คนดูคลิปนี้สามล้านคน)
เทคโนโลยีในปัจจุบันยังไม่สามารถทายการเกิดแผ่นดินไหวล่วงหน้า ดังนั้นหากหมอดูรายนี้ทายถูก ก็สมควรรับรางวัลโนเบลไปเลย
วันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมาไม่เกิดอะไร ไม่มีแผ่นดินไหวที่พม่า
ไม่รู้ว่าเขาถูกจับเพราะทำนายผิด ทำให้ชาวบ้านวุ่นวาย หรือเพราะทางการไม่ชอบเรื่องหมอดู
แต่ที่แน่ๆ คือหมอดูคนนี้ทายไม่ได้ว่าตนเองจะถูกจับ
เคี้ยกเคี้ยก
วินทร์ เลียววาริณ
26-4-251 วันที่ผ่านมา -
ในปี 1983 ตอนที่ผมยังใช้ชีวิตที่อเมริกา มิวสิก วิดีโอ ชุดหนึ่งเกือบทำให้โลกแตก คือ Thriller ของ ไมเคิล แจ็คสัน กำกับโดย จอห์น แลนดิส (คนกำกับ An American Werewolf in London, Twilight Zone: The Movie)
จุดเด่นของ มิวสิก วิดีโอ นี้คือการใช้ธีมหนังสยองขวัญ นักร้องนักเต้นเป็นซอมบี้ ให้ภาพที่พิลึก เป็นส่วนผสมของดนตรีไพเราะกับภาพสยองขวัญ มีความสดใหม่
แล้วเราสามารถทำหนังที่โยงดนตรีเข้ากับองค์ประกอบสยองขวัญได้ไหม? คำตอบคือหนังเรื่อง Sinners ที่เพิ่งเข้าโรง
Sinners รวมดนตรีบลูของคนผิวสีเข้ากับเรื่องแวมไพร์ แต่ไปไกลกว่านั้นคือผูกเข้ากับเรื่องความเป็นพลเมืองชั้นสองของคนผิวสีในสหรัฐฯ ในยุคที่สถานสาธารณะทั้งหลายแบ่งเป็นส่วนคนผิวขาวกับคนผิวสี
ดังนั้นมองในมุมหนึ่ง Sinners เป็นหนังสยองขวัญ มองอีกมุมหนึ่ง มันเป็นหนังสะท้อนสังคม
หนังเต็มไปด้วยความรุนแรงและเลือดสาด ภาพสยองขวัญปรากฏเป็นระยะ แต่หากมองข้ามตรงนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือการอุปมา สะท้อนและเสียดสีสภาพสังคมอเมริกายุคนั้น ความย้อนแย้งของเสรีภาพในรัฐธรรมนูญกับการเหยียดสีผิว ความรุนแรงของกลุ่ม Ku Klux Klan กับความรุนแรงของแวมไพร์
นี่ก็คือความสดใหม่ของหนัง
หนังมีกลิ่นของ From Dusk till Dawn + Django Unchained + Get Out มันดีกว่าสองเรื่องแรก แต่สู้ Get Out ไม่ได้
และเป็นหนังที่เมื่อดูจบแล้ว เราอาจจำแวมไพร์ไม่ได้ เพราะในโลกของการเหยียดสีผิว มนุษย์นั้นร้ายกว่าแวมไพร์8.5/10
ฉายในโรงภาพยนตร์วินทร์ เลียววาริณ
25-4-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
(มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)
2 วันที่ผ่านมา