-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
บางช่วงในสมัยหนุ่ม ๆ ผมเคยคิดออกบวช ธุดงค์ไปเรื่อย ๆ เพื่อหาทางหลุดพ้น หรือค้นพบความจริงแห่งชีวิต ตามมรรคาของนักบวชในอดีต
ความเป็นคนคิดมากและฟุ้งซ่านทำให้สมองโลดแล่นไปเรื่อย คิดว่าน่าจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความจริงสูงสุด’ ซึ่งเมื่อเรารู้ จะเข้าใจสรรพสิ่งในจักรวาล เผลอ ๆ อาจเข้าใกล้สภาวะนิพพานไปโน่น
เคยได้ยินคนไม่น้อยคิดอย่างเดียวกัน แสดงว่าเราได้รับการปลูกฝังมาจนมีความเชื่อว่าหนทางของการหลุดพ้นคือการออกบวชอย่างเดียว
ความคิดปลีกวิเวกกลางป่าเขานี้ค่อย ๆ เลือนหายไปในกาลเวลา เมื่อศึกษาศาสตร์ต่าง ๆ กว้างขึ้น มองโลกกว้างขึ้น ทำให้เกิดความคิดใหม่ว่า การแสวงหาน่าจะเป็นเรื่องภายใน ไม่เกี่ยวกับการออกไปข้างนอก จะอยู่ในป่า อยู่กลางเมือง ถ้าจะพบก็พบ ไม่ต้องเข้าป่า หรือต้องอยู่คนเดียว มีครอบครัว ก็แสวงหาได้
จิตรกรมือหนึ่งสามารถใช้กระดาษสกปรกวาดภาพวิจิตรตระการตาได้ ไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษขาวสะอาดและสีราคาแพงจากต่างประเทศ ประติมากรมือเยี่ยมสามารถเสกรูปปั้นงดงามจากดินโคลนสกปรก ไม่จำเป็นต้องพึ่งหินอ่อนเนื้อดีจากยุโรป
ความสามารถที่จะพบ-สร้างอยู่ภายในตัวเรา ไม่ใช่ภายนอก
มีตัวอย่างมากมายจากนักบวชในอดีตที่พบว่า ยิ่งแสวงหายิ่งไม่พบ เพราะสิ่งแรกที่ควรทำคือละวางความคิดที่จะค้นพบเสียก่อน
ทางเซนบอกว่า เมื่อพบพระพุทธ ให้ฆ่าพระองค์เสีย
หมายความว่าอย่าคิดแสวงหาสภาวะแห่งพุทธะ (ความตื่นรู้)
เพราะการตั้งเป้าหาคำตอบสูงสุดเพื่อหลุดจากการยึดติด ก็คือการยึดติดอย่างหนึ่ง
ผมจึงชมชอบท่านเล่าจืื๊อ ปรมาจารย์ลัทธิเต๋าเป็นพิเศษ ท่านเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่เรื่องมาก เป็นอาแป๊ะแก่ ๆ ที่เราเห็นแถวเยาวราช ว่าง ๆ ก็ขี่ควายเล่น ดื่มน้ำชาหัวเราะสบายใจ แต่เข้าใจธรรมลึกซึ้ง
ท้องฟ้ากลางป่ากับกลางเมืองก็ท้องฟ้าฝืนเดียวกัน ความแตกต่างอยู่ที่เราเงยหน้าขึ้นมองหรือเปล่า
บางทีแค่สามารถทำความเข้าใจว่าชีวิตเป็นอย่างนี้ และใช้ชีวิตให้ดีที่สุด หากมีครอบครัว ก็มีหน้าที่รับผิดชอบ เมื่อหิวก็กิน เมื่อง่วงก็นอน
บางทีวิถีชีวิตของมนุษย์ที่แท้อาจจะง่ายกว่าที่เราคาดหวังและวาดภาพไว้
วินทร์ เลียววาริณ
27-6-25........................
จาก บางครั้งเราก็ลืมรักตัวเอง
90 บทความกำลังใจสั้นๆ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 2 บาท+ (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/147/บางครั้งเราก็ลืมรักตัวเอง0- แชร์
- 24
-
หลังหนังเรื่อง No Time to Die ออกฉาย เจ้าของแฟรนไชส์ 007 ขายสิทธิบัตรทั้งหมดให้ค่าย Amazon แต่ยังกั๊กเรื่องอำนาจคุมความคิดสร้างสรรค์ จนเมื่อปีก่อนก็ยอมปล่อยมือทุกประการ ให้ Amazon มีอำนาจเต็มที่ด้านความคิดสร้างสรรค์
ดูจากผลงานก่อนๆ ของ Amazon ชาวโลกไม่แน่ใจว่า เจมส์ บอนด์ ในมือ Amazon จะเน่าไหม ค่ายใหม่นี้จะตักตวงผลประโยชน์จากสายลับ 007 เป็นหนัง ซีรีส์ เกมโชว์ ลิเก ลำตัด รำวง ฯลฯ ไหม
อาทิตย์นี้น่าจะมีข่าวดีคือ Amazon เลือก เดอนิ วิลเนิฟ มากำกับ 007 ตอนใหม่
เดอนิ วิลเนิฟ เป็นมือดีคนหนึ่งในยุทธจักร ทำได้ทั้งหนังบู๊ หนังไซไฟ หนังดรามา เครดิตของเขาได้แก่ Incendies, Prisoners, Enemy, Sicario, Arrival, Blade Runner 2049, Dune 1-2 ล้วนเป็นงานเกรด A
ดังนั้นชาวโลกเชื่อมั่นว่า 007 ตอนใหม่น่าจะออกมาดี
ข่าวว่าวิลเนิฟเป็นแฟนหนังชุดนี้ และอยากทำ 007 โดยเคารพต้นฉบับดั้งเดิมของ เอียน เฟลมมิง
ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้แค่ไหน แต่บอกตรงๆ ว่าเชื่อมือวิลเนิฟ
ความจริงอยากดู Rendezvous with Rama ฝีมือของเขาก่อนนะ แต่ 007 จะมาก่อนก็ได้
ขออย่างเดียวอย่าเปลี่ยนใจมากำกับหนังเรื่อง 'รักร้าวที่ชายแดนเขมร' ก็แล้วกัน ผมไม่ชอบดูหนังน้ำเน่าเศร้าขมขื่น
วินทร์ เลียววาริณ
28-6-250 วันที่ผ่านมา -
ในชีวิตเราทุกคน ย่อมมีสักครั้งหรือหลายครั้งที่เจอเรื่องที่เราไม่น่าให้ความสำคัญ แต่มันค้างคาในใจเราถ้าไม่จัดการ เหมือนหมากลางถนนที่ถูกรถชน จะช่วยมันหรือไม่ช่วย
พบท่อน้ำประปารั่วริมถนน จะโทร.ไปแจ้งทางการหรือไม่
นี่คือบทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์อ่านได้
0 วันที่ผ่านมา -
หนังเกี่ยวกับการแข่งรถที่ใช้ฉากคือสนามแข่งรถมีมากมาย เช่น Days of Thunder, Rush, Ford v Ferrari, Ferrari ฯลฯ
ส่วนหนังชุด Fast & Furious ไม่น่าเข้าข่าย นั่นเป็นหนัง เจมส์ บอนด์
หนังแบบนี้ใช้ฉากเดิมๆ คือการแข่งขันบนสนามแข่งรถ การประลองความเร็ว เครื่องยนต์ระเบิด การเปลี่ยนยางล้อ ฯลฯ
ดังนั้นความแตกต่างอยู่ที่เนื้อเรื่องและการนำเสนอมุมมองของการแข่งขัน
ในเมื่อมันเป็นหนังแข่งขัน มันมีองค์ประกอบของความสนุกอยู่แล้ว ไม่ต่างจากหนังกีฬาอื่นๆ เช่น หนังนักมวย คนดูพร้อมลุ้นเอาใจช่วยตัวเอก
แต่ท้ายที่สุดก็วัดด้วยเนื้อเรื่องและสาระ
F1 เดินเรื่องด้วยพล็อตธรรมดา ตัวละครแบน ดรามาตามสูตรสำเร็จ แต่ดูสนุก ฉากแข่งรถดี มีลุ้นตลอด แต่โดยรวมไม่มีอะไรใหม่ พล็อตสู้การแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรีไม่ได้
จัดเป็นหนัง feel good ที่ดูแล้วน่าจะสบายใจกว่าดูคลิปลับจากเพื่อนบ้าน
ถ้าจะดูก็ดูในโรงใหญ่ เอ็ฟเฟ็กต์น่าจะกระหึ่มกว่า แต่ถ้าจะข้ามผ่าน ก็ไม่ได้เสียโอกาสอะไร เพราะอีกไม่นานก็ฉายทางช่อง Apple
7.5/10
ฉายในโรงภาพยนตร์วินทร์ เลียววาริณ
27-6-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
(มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)
1 วันที่ผ่านมา -
บทความเรื่องสงครามยูเครน (Not one inch eastward) มีสองความเห็นที่น่าสนใจ จึงต้องเขียนขยายความ เช่นเคย ผมเขียนด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ข้อหนึ่งคือทำไมรัสเซียยึดไครเมีย ข้อสองคือ ยูเครนเป็นรัฐอิสระ ย่อมมีสิทธิ์ที่จะกำหนดทิศทางประเทศมิใช่หรือ
ว่าเรื่องไครเมียก่อน
ไครเมียเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ในปี 1954 ครุสชอฟผู้นำโซเวียตยกให้อยู่ในความดูแลของยูเครน
ปูตินยึดไครเมียในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2014 ก่อนหน้านั้นเกิดเหตุเดินขบวนขับไล่รัฐบาลยูเครนที่โปรรัสเซีย ที่เรียกว่า The Revolution of Dignity (หรือ Euromaidan) ตายไปไม่น้อย
ในช่วงชุมนุม วุฒิสมาชิกสหรัฐฯสองคนคือ Chris Murphy และ John McCain ไปให้กำลังใจผู้ชุมนุม แม็คเคนบอกผู้ชุมนุมว่า "We are here to support your just cause, the sovereign right of Ukraine to determine its own destiny freely and independently. And the destiny you seek lies in Europe."
เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ Victoria Nuland ก็ไปเยี่ยมผู้ประท้วงเช่นกัน (ฉากนี้คล้ายๆ ทูตสหรัฐฯชวนเด็กบ้านเรากินชีสเค้ก และพวกทูตยุโรปชอบมาเยี่ยมบางกลุ่มในบ้านเรา)
หากเราเป็นปูติน จะอ่านเหตุการณ์นี้ว่าอย่างไร ก็ต้องอ่านว่าสหรัฐฯ "มันมาแล้ว!"
การชุมนุมขับไล่ประธานาธิบดียูเครนที่โปรรัสเซียสำเร็จลุล่วง ปูตินสั่งยึดไครเมียในเดือนนั้นเอง
เอาละ ตรงนี้มีสองมุมมอง สองฝั่ง
ฝั่งหนึ่งว่าปูตินวางแผนจะยึดไครเมียคืนมานานแล้ว เพียงรอหาโอกาสเหมาะๆ ที่จะยึด ปูตินเห็นว่าไครเมียเดิมเป็นของรัสเซีย พลเมืองของไครเมียส่วนใหญ่เป็นรัสเซีย ครุสชอฟพลาดอย่างแรงที่ยกให้ยูเครน เมื่อเกิดเหตุจลาจลในยูเครนครั้งนี้ ก็ฉวยโอกาสยึดไครเมียคืนสู่แผ่นดินแม่
อีกฝั่งหนึ่งว่าการขับไล่ผู้นำยูเครนออกจากประเทศสำเร็จต่างหากที่เป็นต้นเหตุของการยึดไครเมีย เพราะรัสเซียมองว่าผู้นำกลุ่มใหม่โปรตะวันตก เดี๋ยวก็จะเข้า EU ต่อด้วย NATO เป็นอันตรายในการดำรงอยู่ (existential threat) ของรัสเซีย
ถามว่ายึดไครเมียผิดไหม ตามหลักสากล ก็ย่อมผิดแน่นอน แต่จะว่าไปแล้วก็อาจผิดน้อยกว่าการที่สหรัฐฯส่งกองทัพเรือไปโค่นราชวงศ์ฮาวาย แล้วยึดฮาวายเป็นรัฐที่ 50 ของตน เพราะพลเมืองไครเมียส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย อ๋อ! ใช่ สหรัฐฯก็มีความสามารถก่อรัฐประหารและยึดครองแผ่นดินอื่นเหมือนกัน!
.........................................
มาถึงข้อสอง ยูเครนเป็นรัฐอิสระ ประชาชนย่อมมีสิทธิ์ที่จะกำหนดทิศทางประเทศ หรือตามคำของแม็คเคน เป็น "sovereign right of Ukraine to determine its own destiny freely and independently" จริงไหม?
โดยหลักสากล ก็จริงอีกนั่นแหละ แต่โลกเราไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เสรีภาพก็มีขอบเขตและผลที่ตามมา (consequence)
มันไม่ได้อยู่ที่ชาวยูเครนเลือกใช้สิทธิ์เสรีภาพอย่างไร มันมีอีกปัจจัยคือ เพื่อนบ้าน (รัสเซีย) คิดอะไรกับการเลือกใช้สิทธิ์เสรีภาพของพวกเขา ถ้ารัสเซียคิดว่าเสรีภาพของยูเครนที่จะเข้า NATO คืออันตรายในการดำรงอยู่ของเขา ก็บุกยูเครน
NATO เป็นองค์กรทางทหาร ไม่ใช่สมาคมพ่อค้า การเป็นสมาชิก NATO แปลได้อย่างเดียวว่าพร้อมรบกับรัสเซีย ในมุมมองของรัสเซีย หากยูเครนเป็นสมาชิก NATO ก็หมายถึงมีอาวุธปรมาณูมาจ่อชายแดน
ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยเหตุการณ์แบบนี้ เช่น การปฏิวัติร่ม (Umbrella Revolution หรือ Umbrella Movement) ที่ฮ่องกงในปี 2014 นักศึกษาย่อมมีสิทธิเดินขบวนต้านรัฐ แต่ consequence คือจีนมองว่ามันเป็น existential threat ของตน
ไม่ว่าสหรัฐฯและอังกฤษสนับสนุน Umbrella Movement อย่างที่จีนเชื่อหรือไม่ จีนมองเหตุการณ์นี้ด้วยโหมดเดียวคือมันเป็น existential threat และมีทางเลือกเดียวเท่านั้นคือปราบ
นี่ก็คือเหตุผลเดียวกับเหตุการณ์เทียนอานเหมิน ถามว่าฆ่าคนชุมนุมผิดศีลธรรมไหม ก็ย่อมผิด ผิดกฎหมายนานาชาติไหม ก็ผิดแน่นอน แต่ในมุมมองของผู้นำจีน เห็นว่าฆ่านักศึกษาไปสักแสนคนแลกกับความสงบของประเทศที่มีพลเมืองพันกว่าล้าน เป็นราคาที่เขายอมจ่าย เขาไม่ได้มองที่ผิดหรือถูก เขามองที่เกมในภาพรวม
หากคิดว่ามีแต่ประเทศจีนที่ทำ 'เรื่องแย่ๆ' อย่างนี้ ก็คิดใหม่ได้ ในปี 1962 คิวบาก็ใช้สิทธิเสรีภาพอนุญาตให้โซเวียตไปตั้งฐานจรวดขีปนาวุธที่นั่น สหรัฐฯไม่ได้มองว่ามันเป็นเสรีภาพ แต่มองว่ามันเป็น existential threat เพราะที่ตั้งของคิวบาจ่อคอหอยสหรัฐฯ เคนเนดีก็ส่งเรือรบไปล้อมคิวบา และเตรียมรบทันที (สร้างเป็นหนังเรื่อง 13 Days) 13 วันนั้นโลกเฉียดสงครามโลกครั้งที่ 3 มากที่สุดครั้งหนึ่ง โชคดีที่โซเวียตประเมินแล้วว่าไม่คุ้ม ก็ยอมถอนฐานยิงจรวด
สมมุติว่าวันพรุ่งนี้ชาวไต้หวันนึกอยากแสดงเสรีภาพ อนุญาตให้สหรัฐฯขนขีปนาวุธไปตั้งฐานที่ไต้หวัน คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น? จีนก็จะถล่มไต้หวันทันที ไม่มีทางเลือกอื่น ต่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 จีนก็จะทำ
ยูเครนก็คล้ายกัน มันตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ถ้าผู้นำยูเครนอ่านเกมไม่ออก หรือมีตั้งธงไว้ก่อนว่าจะทำอะไร ประเทศก็พังได้ ดังที่ปรากฏ
ดังนั้นมันไม่ใช่สิทธิเสรีภาพของประเทศหนึ่งว่าจะทำอะไรก็ได้ ผู้นำประเทศต้องรู้ด้วยว่าอะไรคือ consequence ของทุกการตัดสินใจ โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโลก
นี่บอกว่าการเมืองระหว่างประเทศมองด้วยสายตา "ถูก" หรือ "ผิด" หรือ "เสรีภาพ" ไม่ได้ หมากรุกการเมืองไม่มีศีลธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
ครั้งหนึ่งมีคนถามประธานาธิบดีนิกสันว่า พวกล็อบบี้ยิวที่คุมรัฐสภาสหรัฐฯมีจริงไหม นิกสันตอบเต็มปากเต็มคำว่า มีจริง พวกนี้ต้องการคุมนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ เพื่อให้คุ้มครองอิสราเอล แต่หน้าที่ของผู้นำสหรัฐฯต้องให้ความสำคัญของพลเมืองสหรัฐฯก่อน และถ้านโยบายนั้นบังเอิญตรงกับอิสราเอล ก็ถือว่ามีประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่เอาประโยชน์ของอิสราเอลก่อน
การเป็นผู้นำประเทศจึงต้องรอบรู้ อ่านเกมหมากรุกระหว่างประเทศให้ออก อ่านเกมผิด บ้านเมืองก็พัง
วันสองวันนี้จะมีการชุมนุมขับไล่รัฐบาล 'ขายชาติ' ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผู้อ่านรู้ไหมว่าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ของอะไร ก็คือเหตุการณ์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยกทัพไปตีฝรั่งเศสที่อินโดจีน เพื่อชิงดินแดนไทยที่เสียไปในสมัยรัชกาลที่ 5 คืนมา เพราะเมื่อเกิดสงครามโลก ฝรั่งเศสอ่อนแอ เป็นเวลาเหมาะ
แต่เมื่อไทยเดินหมากผิด ไปประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร เราก็ถูกถล่มด้วยระเบิด หลังสงครามเราก็ต้องยกดินแดนคืนฝรั่งเศสอีกที ยังดีที่เราไม่สิ้นชาติ
เดินหมากผิดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน
วินทร์ เลียววาริณ
27-6-251 วันที่ผ่านมา -
วันนี้เพื่อนของผมถามว่า เขียนเรื่องการเมืองโลกเรื่อง xxx แล้วยัง ผมตอบว่าเขียนไม่ได้ เพราะในเรื่องที่เขาว่านั้น ผมไม่รู้จริง และผมไม่อยากเขียนแบบ speculation
speculation คือคาดคะเน ตั้งทฤษฎีโดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานชัดแจ้ง
ช่วงหลังนี้ผมเผลอตัวไปเขียนบทวิเคราะห์การเมืองโลกอยู่หลายตอน ทั้งที่ไม่ใช่พื้นที่ที่ผมอยากทำเท่าไรนัก ผมชอบเขียนนิยายมากกว่า
ในความเห็นของผม การเขียนบทวิเคราะห์การเมืองโลกมีสองแบบ
แบบแรกผมเรียกว่า speculation คือรับข้อมูล ข่าวสาร แล้วมาตั้งทฤษฎีว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั่วโลกมีนักวิเคราะห์แบบนี้มากมาย อ่านและฟังสนุกดี แต่จริงไม่จริงเราไม่รู้ ถูกบ้างผิดบ้าง ขึ้นกับผู้ตั้งทฤษฎีมีประสบการณ์มากแค่ไหน แต่บางทีคนมีประสบการณ์ก็พลาดได้ เป็นเรื่องธรรมดา
แบบที่สองคือ เสนอบทเรียนทางประวัติศาสตร์ ก็คือสิ่งที่ผมพยายามทำ
เท่าที่ผ่านมา สิ่งที่เรียกว่า 'บทวิเคราะห์การเมืองโลก' ที่ผมเขียนมักอ้างอิงประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง มีหลักฐานจริง แล้วใช้หลักฐานข้อมูลเหล่านี้มาพยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
สำหรับแบบที่สองนี้ ผู้อ่านต้องขบคิด วิเคราะห์ด้วยเวลาอ่าน เพราะผมก็อาจพลาดตอนโยงได้เหมือนกัน
ตอนผมเขียนนวนิยาย ปีกแดง เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนนั้น เป็นครั้งแรกที่ผมต้องรีเสิร์ชข้อมูลประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศจำนวนมหาศาล และเรียนรู้ว่า ในเรื่องหนึ่งๆ มีหลายมุม (perspective) ถ้ามีอคติล่วงหน้า ก็จะพลาดมุมอื่นที่อาจจะถูกต้อง
การเขียนนวนิยายยังพอกล้อมแกล้มในเรื่องข้อมูลไม่ตรงหรือมีอคติได้บ้าง แต่หากเป็นสารคดี ข้อมูลต้องเป๊ะ ไม่งั้นมันก็เป็นแค่ speculation และถ้าเราไม่รู้ว่ามันคือข้อมูลจริงหรือ speculation เราก็จะพลาดความจริงได้ง่าย
ผู้อ่านจึงต้องอ่านข่าวสารและบทวิเคราะห์ให้ออกว่า มันเป็น speculation หรือไม่ แล้วคิดต่อไป จึงจะมองเห็นภาพได้ชัดขึ้น และทำให้เรามองแต่ละเหตุการณ์ได้ลึกขึ้น
speculation นั้นสนุกกว่า ทั้งการเสพและการถก แต่ต้องระวังนิด เพราะมันอาจทำให้ความคิดเราเขวได้
วินทร์ เลียววาริณ
26-6-252 วันที่ผ่านมา