-
วินทร์ เลียววาริณ0 วันที่ผ่านมา
นวนิยาย สี่ภพ แม้เป็นเรื่องกำลังภายใน แต่อิงประวัติศาสตร์
ก็เดินตามรอยท่านปรมาจารย์กิมย้ง คืออิงนิยายกับฉากเหตุการณ์จริง
เรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์สองท่อน คือยุคท่านตั๊กม้อกับยุค กุบไล ข่าน ระยะห่างกัน 800 ปี
ยุคท่านตั๊กม้อเล่นประวัติของวัดเส้าหลิน เซน
ส่วนยุค กุบไล ข่าน เล่นประวัติศาสตร์ของมองโกล การแตกหน่อชิงอำนาจของลูกหลาน เจ็งกิส ข่าน ที่โยงไปถึงซ่งใต้ (ฮั่น) โครยอ (เกาหลี) ญี่ปุ่น และภาคตะวันตกคือก๊กอิลข่าน เปอร์เซีย
แน่นอนต้องรวมฉากสงครามแบกแดด ยุทธนาวีกับญี่ปุ่น ยุทธนาวีซ่งใต้
แค่รีเสิร์ชทั้งหมดนี้ก็แทบตายแล้ว
นี่คือส่วนของประวัติศาสตร์
ในส่วนวิทยายุทธ์ต่างๆ นั้นออกแบบให้อิงกับคอนเส็ปต์หลัก เกี่ยวข้องกับจักรวาล
ถึงจะยาก แต่การเขียนก็เป็นไปด้วยดี จนวันหนึ่งผมวางพล็อตวิชาหนึ่งที่เกี่ยวกับหลุมดำ ผู้สำเร็จวิชานี้มีพลังดูด เรียกว่าวิชาตะวันดำ
สำหรับคนที่ไม่เคยอ่าน Cosmology 101 หลุมดำก็คือดวงอาทิตย์ที่ดูดเข้าหาตัวเอง
ดังนั้นตั้งชื่อว่า 'ตะวันดำ' ก็มีเหตุผล
เขียนเสร็จแล้วนึกขึ้นมาได้ว่า กิมย้งก็เคยเขียนถึงยอดวิชาดูดดาวในเรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักร สามารถดูดลมปราณจากคู่ต่อสู้
งานเข้าแล้วมั้ยล่ะ
สาบานว่าไม่ได้ลอก พล็อตมาจากคอนเส็ปต์หลักของเรื่อง (จักรวาล) จริงๆ
นี่ไม่ใช่จุดเดียว หลายซับพล็อตคิดมาแล้ว นึกได้ว่ากิมย้งเคยเขียนมาแล้ว
ก็ได้แต่ถอนใจ เพราะไม่ว่าจะคิดพล็อตพิสดารอะไร ก็พบว่าปรมาจารย์กิมย้งคิดมาก่อนแล้ว!
ซือแป๋ท่านกวาดพล็อตหมดจากยุทธจักรเลยจริงๆ มิน่าล่ะ เขียนแค่ 15 เรื่องก็เลิก
งานชิ้นนี้จึงเป็นงานบูชาครูมากกว่า เป็น nostalgia work
วินทร์ เลียววาริณ
5-8-25(ภาพประกอบไม่ทราบชื่อจิตรกร)
อ่านรายละเอียดงานชุดนี้ได้ที่ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1348523389969682&set=a.208269707328395
ตอนนี้พิมพ์จริงแล้ว
สั่งซื้อ คลิก https://www.winbookclub.com/store/detail/254/4%20%E0%B8%A0%E0%B8%9E
ในหน้า pre-order สามารถคลิกอ่านตัวอย่าง 2 บทได้ฟรี
1- แชร์
- 19
-
ขอแจ้งต่อผู้สั่งซื้อว่า เราไม่ได้ใช่เครื่องตอบอัตโนมัติ จะตอบลูกค้าทีละรายซึ่งใช้เวลา บางท่านอาจไม่ได้รับคำยืนยันทันที ก็รอสักนิด เราตอบทุกคนแน่นอน
สำหรับผู้อ่านที่ยังไม่รู้ นี่คือหนังสือใหม่ พ้นจากสภาวะ pre-order เป็นพิมพ์จริงแล้ว
เราจะสรุปยอดคนที่เข้าร่วมโครงการเติมหัวใจใส่ห้องสมุดจนถึงศุกร์นี้ อาทิตย์หน้าจะส่งงานเข้าโรงพิมพ์
................................
รายละเอียดหนังสือ
ชื่อเรื่อง : สี่ภพ (เป่ย หนาน ตง ซี)
ประเภท : นวนิยายจีนกำลังภายใน + ไซไฟ
ขนาดหนังสือ : 13.5 x 18.5 ซม.
ขนาดกล่อง : ประมาณ 14 x 19 x 10.5 ซม.
สไตล์งาน : สไตล์เรโทร จำลองสไตล์การออกแบบและขนาดเหมือนนิยายจีนกำลังภายในสมัย 50 ปีก่อน จัดเป็นงานบูชาครูและช่างสมัยก่อน
- หนึ่งชุดประกอบด้วยหนังสือ 6 เล่ม (นวนิยาย 5 เล่ม สารคดีเบื้องหลัง 1 เล่ม) หนาเล่มละ 320 หน้า รวม 1,920 หน้า บรรจุในกล่อง box set กระดาษแข็งพิมพ์ลายจอมยุทธ์
- มีลายเซ็นนักเขียนทุกเล่ม 1
- อาจมีหนังสือแถมให้ ถ้ากล่องที่บรรจุมีพื้นที่พอ
- น่าจะได้รับหนังสือราวกลางเดือนกันยายน 2568
- ราคา pre-order 2,200 บาท (รวมค่าส่งแล้ว)
* จำหน่ายราคานี้จนถึง 31 สิงหาคม 2568 หลังจากนั้นจะจำหน่ายตามราคาปก 2,400 บาท ต้องโอนเงินภายในกำหนด *
- สั่งซื้อที่เว็บเท่านั้น คลิก https://www.winbookclub.com/store/detail/254/4%20%E0%B8%A0%E0%B8%9E
- ผู้จอง pre-order ต้องกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ชื่อ /ที่อยู่จัดส่ง /โทร. / อีเมล และแนบหลักฐานการโอนไปที่ namol113@gmail.com มิฉะนั้นเราจะไม่รู้ว่าเป็นลูกค้าคนไหน
ป.ล. อ่านที่มาของโครงการนี้ได้ที่ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1348523389969682&set=a.208269707328395
0 วันที่ผ่านมา -
นิยายจีนกำลังภายในที่แปลเป็นไทยนั้น สร้างมรรคาใหม่หลายอย่างให้วงการ
เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง
เช่น เสียงหัวเราะเคี้ยกเคี้ยก
เสียงหัวเราะเคี้ยกเคี้ยกเป็นสำนวนเฉพาะของนักแปลไทย เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง ผมจึงคิดจะแต่งเรื่องให้มีที่มาของเสียงเคี้ยกเคี้ยก
อีกวลีหนึ่งคือ "อกอวบอูมแฝงพลังดีดสะท้อน"
คำนี้อ่านมาห้าสิบปีแล้วยังฝังหัว
ผมจึงบอกซือแป๋ น. นพรัตน์ ว่า จะใส่ "อกอวบอูมแฝงพลังดีดสะท้อน" ในเรื่องอย่างแน่นอน
แปลว่ามีฉากเซ็กซ์หรือ?
คงไม่ถึงขนาด Fifty Shades of Gray
นี่ก็เดินตามรอยปรมาจารย์กิมย้งที่ไม่เขียนฉากเซ็กซ์แบบโจ๋งครึ่ม
แกบอกว่า แต่แตะก็หยุด
เข้าใจตรงกันแล้วนะว่า สี่ภพ มีฉากสู้กันชุลมุน แต่ไม่มีฉากชุลมุนบนเตียง
วินทร์ เลียววาริณ
7-8-25อ่านรายละเอียดงานชุดนี้ได้ที่ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1348523389969682&set=a.208269707328395
https://www.facebook.com/winlyovarin/posts/pfbid0gfTmtjbPjd6BaGuoy4gRMabaMGXoHMhXPsZahps8zMNVH8Efk8zXus7Tpjm8PH5Kl
ตอนนี้พิมพ์จริงแล้ว สั่งซื้อ คลิก https://www.winbookclub.com/store/detail/254/4%20%E0%B8%A0%E0%B8%9E
ในหน้า pre-order สามารถคลิกอ่านตัวอย่าง 2 บทได้ฟรี
0 วันที่ผ่านมา -
ชีวิตก็เช่นเดียวกับการออกแบบห้อง ชีวิตเราแต่ละคนประกอบด้วย ‘เครื่องเรือน’ หลายชิ้น
ตลอดชีวิตเราเปลี่ยน ‘เครื่องเรือน’ ไปเรื่อย ๆ บางชิ้นประณีต บางชิ้นธรรมดา บางชิ้นมีลวดลายมาก หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง บางคนไม่เคยเปลี่ยนเครื่องเรือนเลยตลอดชีวิต ชีวิตบางคนมีพื้นที่ให้วางเครื่องเรือนมากชิ้นกว่า บางชีวิตมีพื้นที่ให้วางได้น้อยชิ้น
การเปลี่ยนหรือสลับเครื่องเรือนบ้างก็ทำให้ห้องแห่งชีวิตแปลกตาน่าสนใจขึ้น
หลายคนใส่เฟอร์นิเจอร์มากมายเข้าไปในห้องชีวิต เพียงเพื่ออวดคนอื่นหรือสนองอีโก้ของตัวเองว่าตนเองประสบความสำเร็จ จึงมีปัญญาจัดหา ‘เฟอร์นิเจอร์’ มาเต็มห้อง แต่เหล่านี้คือเปลือก เอาไว้หลอกตัวเอง
บ้านที่ดีที่สุด รถที่ดีที่สุด หากมีปัญญาหามาเพื่อสนองหน้าที่ใช้สอยในชีวิตก็เป็นเรื่องดี แต่หากมีเพื่อแสดงฐานะของตน ก็สะท้อนว่าใครคนนั้นอาจไม่มีค่า จึงต้องใช้วัตถุช่วย
ความงามของชีวิตขึ้นอยู่กับว่าเราใส่เฟอร์นิเจอร์อะไรเข้าไป เราไม่จำเป็นต้องให้ทุกชิ้นส่วนในชีวิตของเราสมบูรณ์ เพอร์เฟ็กต์อลังการ เพราะชีวิตที่ดีไม่ใช่การรวมกันของทุกส่วนที่ดีทุกชิ้นเสมอไป ชีวิตประกอบด้วยความสำเร็จ ความล้มเหลว ความผิดพลาด การเรียนรู้ องค์ประกอบชิ้นที่ ‘เลวร้าย’ ก็มีประโยชน์ถ้าวางถูกที่ ถูกเวลา ดูภาพรวมแล้ว ชีวิตนั้นก็ดูดี จังหวะถูกต้อง
องค์ประกอบควรหลากหลาย ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งแพงที่สุด ก็สามารถเป็นชีวิตที่ดีได้ ความทุกข์ก็มีประโยชน์ต่อชีวิต หากมันอยู่ในตำแหน่งและจังหวะที่เหมาะสม
เครื่องเรือนแห่งชีวิตที่เราใส่เข้าไปคือการศึกษา ทักษะ ประสบการณ์ อารมณ์ขัน ความเมตตา แต่เครื่องเรือนที่ควรเอาออก เช่น นิสัยรักการพนัน อบายมุข นิสัยดูถูกคน ฯลฯ
ชีวิตเราประกอบด้วยเครื่องปรุงต่าง ๆ แห่งชีวิต ทั้งที่ดีมาก ดีปานกลาง ไปจนถึงไม่ค่อยดี แต่รวมกันแล้วอาจลงตัวได้ ถ้ารู้จักวางตำแหน่งให้ถูก และจัดองค์ประกอบลงตัว คนยากจนก็มีชีวิตที่งดงามได้
เพราะความงดงามเกิดขึ้นจากความเรียบง่าย พอดี
และเพราะความงดงามอยู่ในหัวใจ ไม่ใช่ฐานะ
วินทร์ เลียววาริณ
8-8-25จาก รอยยิ้มใต้สายฝน
35 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 5 บาทเศษ
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/139/รอยยิ้มใต้สายฝน
https://s.shopee.co.th/8Ke0htOJcm0 วันที่ผ่านมา -
ช่วงนี้มีสงครามทุกมุมโลก เสนาธิการทหารต้องคิดล่วงหน้าว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากศัตรูบุกกะทันหัน หรือ ฯลฯ
ในห้องยุทธการ นักการทหารมักทำการสมมุติสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ (worst-case scenario) เช่น หัวรบนิวเคลียร์ของฝ่ายตรงข้ามกำลังวิ่งข้ามทวีปมาหาพวกเขาในเวลายี่สิบวินาที หรือคนร้ายจับประธานาธิบดีไปเป็นตัวประกัน ฯลฯ
จะว่าไปแล้วหนังฮอลลีวูดจำนวนมากเขียนเรื่องโดยใช้ฐาน 'สถานการณ์สมมุติที่เลวร้ายที่สุด' นวนิยายหลายเรื่องก็ใช้หลักนี้ นักเขียนบางท่านเคยแต่งเรื่องให้ตัวละครขับเครื่องบินชนอาคาร นานหลายปีก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์ 9-11 ที่สหรัฐอเมริกา
ในห้องประชุมธุรกิจไม่น้อย มีการถามถึงสถานการณ์สมมุติที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดกับบริษัทเป็นระยะ ๆ เพื่อที่จะได้เตรียมตัวป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้น หรือลดทอนความรุนแรงของมันหากเลี่ยงไม่พ้น
worst-case scenario ของธนาคารอาจคือการที่ลูกค้าถอนเงินทั้งหมดจากธนาคาร
worst-case scenario ของกรุงเทพมหานครอาจเป็นน้ำท่วมทั้งเมือง
worst-case scenario ของสถานีดับเพลิงอาจคือไฟไหม้สถานีดับเพลิง
ฯลฯ
การสมมุติ worst-case scenario นี้เป็นการมองโลกในแง่ร้ายแบบดี ช่วยทำให้เราไม่ประมาท และประเมิน-วางแผนตอบโต้วิบัติด้วยสติ
วิบัติภัยสึนามิเมื่อไม่นานมานี้เป็นข้อพิสูจน์ว่า การปฏิเสธ worst-case scenario โดยความเชื่อที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่เคยเกิดขึ้น หรือความน่าจะเป็นต่ำมาก นำมาซึ่งราคาที่ต้องจ่ายแพงมหาศาล
ในการดำเนินชีวิตวันต่อวันของปัจเจกบุคคล หากเราลองพิจารณาดูว่าอะไรที่เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นกับเรา จะพบว่าวิบัติสมมุติของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
สิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับคนคนหนึ่งอาจเป็นการตกงาน ของอีกบางคนอาจเป็นความตายของคนที่รัก, สอบเอนทรานส์ไม่ติด, แฟนทิ้ง, ไม่มีเงินซื้อข้าวสารกรอกหม้อ, บ้านถูกยึด, ลูกติดยา ไปจนถึงการผ่อนรถยนต์ราคาสิบล้านบาทไม่สำเร็จ ฯลฯ
เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น ก็ลองคิดต่อว่า 'ราคา' ของมันแพงแค่ไหน
ราคาที่แพงที่สุดของการผ่อนบ้านไม่สำเร็จ คือถูกยึดบ้าน ไปจนถึงติดคุก หรือตายในคุก
ราคาที่แพงที่สุดของการถูกแฟนทิ้งคือ อกหัก ไปจนถึงตรอมใจตายคารูปถ่ายแฟน ฯลฯ
โดยทั่วไปราคาที่แพงที่สุดของทุกสถานการณ์คือ ความตาย เพราะเมื่อเราตายไปแล้ว ก็คงไม่มีใครตัดหัวเหม็น ๆ ของเราไปปักไว้กลางเมือง หรือโคลนนิ่งเราขึ้นมารับกรรมต่ออีกห้าร้อยปี
หลายคน - เมื่อกำลังพานพบสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด - จึงเอ่ยคำว่า "อย่างมากก็แค่ตาย (โว้ย!)" ความวิตกทุกข์ร้อนก็อาจทุเลาลงบ้าง
ที่ตลกก็คือ ยิ่งเตรียมพร้อมรับมือกับมัน เจ้าวิบัติสมมุตินี้มักไม่มาเยือนจริง ๆ ! วินทร์ เลียววาริณ
7-8-25....................
จาก รอยเท้าเล็ก ๆ ของเราเอง
หนังสือเสริมกำลังใจ 46 บทความ 175 บาท เรื่องละ 3.8 บาท
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/108/รอยเท้าเล็กๆ%20ของเราเอง%20เวอร์ชั่น%202
เซ็ทโปรโมชั่นพิเศษ https://www.winbookclub.com/store/detail/235/R4%20%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%204
Shopee https://shope.ee/Vj8bA8a4u?share_channel_code=60 วันที่ผ่านมา -
ภพสุดท้าย เป็นเรื่องสั้นไซไฟที่ผมเขียนนานมาแล้ว
พิมพ์ครั้งแรก : UPDATE ฉบับที่ 111 สิงหาคม 2538 รวมเล่มอยู่ในชุด เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว
เป็นเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ผสมปรัชญาพุทธ
ลองอ่านดู
........................
เบื้องแรกนั้นมีแต่ความมืดมิด ดำสนิทเช่นคืนไร้ดาว ว่างเปล่่าเหมือนห้วงอวกาศที่เวิ้งว้าง พร่ามัวเหมือนความฝันอันยาวนาน แต่ในความอนธกาลเบื้องหน้า ปรากฏแสงสว่างระยิบระยับขึ้นเลือนราง เชื่องช้าคล้ายกินเวลานานชั่วกัลป์ เหมือนการเดินทางผ่านอุโมงค์ยาวหลายหมื่นโยชน์ที่ไม่มีวันจบสิ้นแต่เขารู้ว่ามันกำลังจะก่อตัว เช่นเดียวกับที่มันเคยถือกำเนิดขึ้นและดับลงเป็นวัฏจักรมาหลายหมื่นหลายแสนปี เขาจะเป็นส่วนหนึ่งของมัน เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งจักรวาล อีกครั้งที่เขากำลังเกิดใหม่ อีกครั้งเขากำลังเปลี่ยนเปลือกที่จะกลายเป็นอาณาจักรใหม่ของเขา เปลือกที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดเคยคาดถึง
แสงสว่างเบื้องหน้าเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่นานก็หรี่ลงอีก รอบตัวเขาเป็นเมือกชื้นของชีวิต ชีวิตใหม่จะมีรูปแบบใด เขาไม่รู้ อย่างน้อยเขายังไม่อยากรู้ในตอนนี้ ปล่อยให้ธรรมชาติและกาลเวลาคลี่คลายเป็นคำตอบเองดีกว่านานเท่านานที่เขารับรู้การก่อตัวอย่างช้า ๆ นั้นภายใต้ความอบอุ่นประหนึ่งในครรภ์มารดา จิตไร้นิวรณ์ เปี่ยมความปีติ เมื่อเขาค่อย ๆ กลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกใหม่ที่น่าตื่นเต้น
ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง เขาเคยได้ยินประโยคนี้มาก่อน เมืิ่อครั้งที่เขายังคงรูปลักษณ์เดิมนานมาแล้ว เวลาที่ผ่านไปนานขนาดนี้พิสูจน์สัจธรรมข้อนี้อย่างชัดเจนที่สุด ตอนนี้เขาเข้าใจนัยแห่งโลกและจักรวาล ถูกแล้ว สำหรับเขาตอนนี้ ไม่มีสิ่งใดในโลกที่อยู่ค้ำฟ้า แม้แต่ความรัก เขารู้ตั้งแต่วันแรกที่กระโจนเข้ามาในวังวนแห่งภพชาติอย่างถาวร เธอก็รู้ แต่มันเป็นหนทางที่เขาเลือกเดิน ณ บัดนี้เธอเป็นเพียงความหลัง แต่รักนั้นเป็นนิรันดร์ น่าแปลกที่กาลเวลาเลื่อนไหลมานานขนาดนี้ เขายังระลึกถึงภพแรกนั้นได้ ความรักโง่ ๆ ของชายโง่คนหนึ่งที่มอบให้กับผู้หญิงนาม มาริตา
มาริตา! เขายังจำชื่อนี้ได้ดีแม้สรรพสิ่งเดิมสูญสิ้นหมดแล้ว...
...................................
เขารู้จักมาริตาครั้งแรกในมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์เมื่อปี ค.ศ. 2094 เขาเป็นตัวอย่างศึกษาของนักศึกษาแพทย์กลุ่มหนึ่งรวมทั้งเธอด้วย อำนาจพิเศษบางอย่างที่เขาเป็นเจ้าของทำให้ชีวิตเขาวนเวียนอยู่กับห้องทดลอง ชายหนุ่มใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยและศูนย์วิทยาศาสตร์มากกว่าที่บ้านของเขาเสียอีก
บ่ายวันนั้นเขานั่งกลางห้องประชุม รายล้อมด้วยนักศึกษาแพทย์ภาควิชาจิตวิเคราะห์กว่าสี่สิบคน ข้างกายเขาคือศาสตราจารย์นากิฟ หัวหน้าภาควิชาจิตวิเคราะห์ ท่านเป็นอาจารย์วิชานี้ ตลอดหลายปีนี้เขาเป็นตัวอย่างทดลองให้วิชาของท่าน ศาสตราจารย์นากิฟเป็นผู้ที่เป็นคนค้นพบความสามารถของเขามาตั้งแต่แรกเกิดที่โรงพยาบาลแพทย์ศาสตร์แห่งนี้ เขามีความรู้สึกผูกพันกับท่านเหมือนพ่อกับลูก
"นี่คือชายหนุ่มคนที่ผมเอ่ยถึงในภาคบรรยายเมื่อเช้านี้..." เสียงศาสตราจารย์เอ่ยขึ้นราบเรียบขณะแตะไหล่เขา มือซึ่งผ่านประสบการณ์ทางด้านนี้มาอย่างโชกโชนแข็งแรง อบอุ่น และมีพลัง น้ำเสียงกังวานของท่านเอ่ยอย่างไม่เร่งร้อน
"...เขามีอำนาจจิตพิเศษกว่าตัวอย่างทดลองใด ๆ ที่พวกคุณเคยอ่านหรือเคยพบมาจากที่ไหนในโลก เขาจะเป็นตัวอย่างทดลองที่เราจะศึกษาตลอดภาคการศึกษานี้ สิ่งแรกที่เขาจะแสดงให้เราดูในวันนี้ก็คือการทดลองพลังจิตมนุษย์ในขั้นสูงกว่าที่พวกคุณเคยอ่านมาจากที่ไหน ๆ "
เขาจำรายละเอียดการทดลองในบ่ายนั้นได้หมด ตอนแรกเป็นการเคลื่อนย้ายวัตถุจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง เริ่มต้นจากการเพ่งสายตาจับที่วัตถุที่ต้องการเคลื่อนย้ายซึ่งเป็นการใช้พลังจิตขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงการย้ายมันโดยไม่ต้องเพ่ง หากแต่เพียงหลับตานึกถึงมันเท่านั้น จากนั้นเขาก็ย้ายตัวไปอีกห้องหนึ่ง และบังคับวัตถุนั้นให้เคลื่อนที่ โดยมีกำแพงคอนกรีตหนาหกนิ้วกั้นขวางอยู่ ผลลัพธ์ออกมาเช่นเดิม พลังจิตของเขาสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุที่ทำการทดลองนั้นโดยไม่มีอะไรมาสะดุด การทดลองสุดท้ายในวันนั้นเป็นการบังคับให้วัตถุนั้นลอยตัวเคลื่อนที่ในอากาศ ซึ่งเป็นการทดลองที่เขาเคยแสดงให้ศาสตราจารย์ดูมาก่อนหลายครั้ง
ชั่วขณะหนึ่งก่อนการทดลองสุดท้ายนั้นจะเริ่ม เขาชะงักวูบเมื่อสายตาของเขาจับอยู่ที่นักศึกษาสาววัยยี่สิบกว่า คิ้วโก่ง ตาคม ร่างสูงโปร่ง ผมยาวเกล้าขึ้นขับเน้นใบหน้าที่ไม่ได้ประทินผิวนั้นสวยขึ้น สายตาทั้งสองประสานกันแวบหนึ่ง พลันในใจเขารู้สึกฟุ้งซ่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อถึงเวลาทดลอง เขาหลับตาและเริ่มงาน รู้สึกว่าพลังจิตมั่นคงขึ้น สายตาทุกคู่แลเห็นวัตถุนั้นลอยขึ้นจากพื้นช้า ๆ ทันใดนั้นจิตอันหนักแน่นก็ถูกภาพหนึ่งชำแรกเข้ามา ทำไมเขาหวนกระหวัดนึกถึงหญิงสาวผู้นั้นในเวลานี้? วัตถุทดลองชิ้นนั้นตกลงมาอย่างแรง ตั้งแต่ทำการทดลองมาหลายร้อยครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขาดสมาธิไปชั่วคราว
ท่านศาสตราจารย์เอามือแตะไหล่เขา ยิ้มน้อย ๆ และกระซิบ "คุณเป็นอะไรวันนี้? ดูเหมือนคุณไม่สามารถรวบรวมพลังจิต..."
"ขอโทษครับ ท่านศาสตราจารย์..." เขาเอ่ย นึกละอายที่ปล่อยให้ความหลงใหลในรูปภายนอกหญิงสาวที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก ทำให้การทดลองนี้ไม่ได้ผล "...ผมจะลองใหม่"
เขาตั้งสติใหม่ หลับตา เร่งพลังจิตแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในใจเขามีภาพวัตถุนั้น เขารู้สึกสบายเหมือนกำลังพักผ่อนอยู่บนเตียงนอนอ่อนนุ่ม ไม่นานเขาเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ ที่หน้าจอโทรทัศน์วงจรปิดถ่ายทอดภาพจากอีกห้องหนึ่งเห็นวัตถุชิ้นนั้นลอยเหนือพื้นราวสองฟุตวนขึ้นลงไปมา ในที่สุดเขาบังคับให้มันลอยลงมานอนสงบกับพื้นอย่างนิ่มนวล ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ เสียงลมหายใจทุกคนในห้องคล้ายขาดหายไปครู่ใหญ่
ท่านศาสตราจารย์นากิฟเอ่ยขึ้น น้ำเสียงแจ่มใส "นี่เป็นตัวอย่างพลังจิตที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยทดสอบมา เขาสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุทั้งที่หลับตาและอยู่ไกลออกไป"
แต่เขาไม่ได้ตั้งใจฟัง สายตาของเขาประสานดวงตาของหญิงสาวคนนั้น เมื่อเลิกชั้นเรียน ร่างสูงโปร่งนั้นก้าวมาปรากฏร่างขึ้นเบื้องหน้า เธอเอ่ยขึ้น "สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมาริตา..."
...................................
ในความมืดปรากฏแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันกินเวลานาน อาจเป็นหลายปี หรือหลายสิบปี เขาไม่แน่ใจและไม่ใส่ใจ ทุกอย่างเคลื่อนคล้อยตามวิถีของมันสวยงามและหมดจด เป็นธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ อย่างช้า ๆ เขารู้ว่าตัวเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของเปลือกอันใหม่ ทุกขณะจิตที่ผ่านไปคือการเรียนรู้อันยิ่งใหญ่ แสงอาทิตย์จากระบบดาวที่เขาไม่รู้จักสาดเข้ามาบาง ๆ อบอุ่นสบาย เหมือนบรรยากาศในห้องทดลองของมหาวิทยาลัย แต่ ณ จุดที่เขาสถิตย์อยู่นี้ห่างจากสถานที่นั้นหลายพันปีแสง
น่าแปลกที่กระทั่งบัดนี้เขายังจดจำรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของการพบกันครั้งแรกนั้นได้หมด หลังจากวันนั้นมาริตาขอทำงานกับศาสตราจารย์นากิฟในตำแหน่งผู้ช่วย ซึ่งทำให้เขาตัดสินใจอยู่กับมหาวิทยาลัยต่อไปอีก การเป็นเจ้าของพลังจิตระดับนี้ทำให้เขาเป็นที่ต้องการตัวของหลาย ๆ สถาบันแต่เขาเลือกที่จะอยู่ใกล้ชิดกับมาริตามากกว่า
เขาใช้เวลาสามปีต่อมากับโครงการของท่านศาสตราจารย์นากิฟ ตลอดช่วงเวลานั้นเขาใกล้ชิดมาริตามากขึ้น เขาคลุกคลีกับสถาบันนั้นนานหลายปีจนมาริตาจบแพทย์ศาสตร์ หลังจากนั้นเธอทำงานเป็นนักทดลองในกลุ่มของท่านศาสตราจารย์มาตลอด มาริตาเป็นศิษย์เอกของท่านศาสตราจารย์ และไม่ทำให้ท่านผิดหวังเมื่อเธอได้รับเลือกเป็นนักวิจัยดีเด่นทางสาขาจิตวิเคราะห์ สองปีซ้อน
ปีต่อมาศาสตราจารย์และมาริตาเสนอโครงการใหม่ต่อมหาวิทยาลัย และได้รับการอนุมัติทันที เป็นโครงการที่ศาสตราจารย์นากิฟมอบหมายให้มาริตาเป็นหัวเรือใหญ่ เนื่องจากท่านแก่มากแล้ว มาริตาขอให้เขาช่วยเธอในโครงการใหม่นี้ เขารับปากแทบในทันที เพราะเขาจะมีโอกาสใกล้ชิดคนที่เขารักมากกว่าเดิม ความจริงเขาแทบไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังทดลองโครงการอะไร แต่พวกเขาก็อธิบายให้เขาฟัง
"คุณเชื่อในเรื่องภพชาติ (reincarnation) ไหมคะ?" มาริตาถามเขา
"คุณหมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดและการกลับชาติมาเกิดใหม่หรือเปล่าครับ?"
"อะไรทำนองนั้น"
"ไม่รู้สิ ผมไม่แน่ใจว่า..."
มาริตายิ้ม "ก็แสดงว่าคุณไม่เชื่อเรื่องนี้"
"แล้วคุณเชื่อเรื่องนี้หรือครับ?"
"ใช่ แต่มันลึกซึ้งกว่าแค่ความเชื่อ ฉันกับท่านศาสตราจารย์เห็นพ้องกันเราเชื่อหลักการของมันในทางวิทยาศาสตร์มากกว่า"
"คุณกับท่านศาสตราจารย์กำลังพิสูจน์อะไรครับ?..."
เขาหัวเราะหันไปที่ศาสตราจารย์
"...ถ้าต้องการพิสูจน์ว่าภพชาติเป็นสิ่งที่มีจริงละก็ ทางเดียวที่จะทำได้ก็คือตายไปเสียก่อน"
ศาสตราจารย์กล่าว "ไม่จำเป็นหรอก ถ้าหากคุณเข้าใจในหลักของมัน"
"อะไรคือหลักของมัน?"
ผู้อาวุโสเอ่ยขึ้นช้า ๆ "มีแนวคิดของคนตะวันออกโบราณที่เชื่อว่า ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ทุกชีวิตเกิดแล้วก็ต้องตาย แต่คำว่าเกิดและตายของพวกเขามีความหมายลึกซึ้งกว่าการปฏิสนธิเป็นทารกและการสิ้นลมของสังขาร"
"ผมไม่เข้าใจ ความเข้าใจเช่นนั้นผิดยังไง?"
ท่านศาสตราจารย์หัวเราะเบา ๆ "ไม่ผิดหรอก แต่ก็ไม่ลึกซึ้งอะไร การเกิดของนักปรัชญาตะวันออกคือการประกอบรวมของธาตุต่าง ๆ เข้าด้วยกัน การตายก็คือการสลายตัวของธาตุต่าง ๆ ออกจากกัน"
"แล้วมันแปลว่าอะไร?"
"ก็แปลว่าเมื่อมีการสลายตัวของธาตุต่าง ๆ แล้ว ธาตุต่าง ๆ เหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปไหน แต่จะกลับมารวมตัวกันใหม่ ในรูปใหม่ เป็นเช่นนี้ตลอดไปนี่คือหลักของการเวียนว่ายตายเกิด หลักของวัฏสงสาร หรือภพชาติ ซึ่งเรารับได้ในเชิงวิทยาศาสตร์"
"ฟังดูเหมือนหลักของพุทธศาสนาเลยนี่"
มาริตาว่า "ไม่ผิดเลย พุทธศาสนาก็คือศาสนาแห่งธรรมชาติ แต่เราไม่ต้องการเน้นในเรื่องการระลึกชาติที่อยู่ในคัมภีร์และความเชื่อที่แฝงมากับศาสนา เราต้องการพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรม"
"เรื่องธาตุเหล่านั้นน่ะหรือ?"
มาริตาพยักหน้า "เคยอ่านหลักโยคะโบราณไหมคะ?"
เขาสั่นศีรษะ
"ชาวอินเดียโบราณเข้าใจเรื่องธาตุที่ฉันพูดถึงเมื่อกี้อย่างดีมานานหลายพันปีแล้ว พวกเขาเชื่อว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ประกอบด้วยอณูเล็ก ๆ ร้อยต่อเชื่อมกันเป็นร่างกายหรือ 'เปลือก' ของทุกสิ่งในจักรวาล ก็คล้ายหลักเรื่องเซลล์ของทางตะวันตก แต่พวกนั้นรู้เรื่องนี้มาก่อนนักวิทยาศาสตร์ตะวันตกค้นพบเรื่องเซลล์นานนัก พวกนั้นเชื่อว่าทุกอณูที่เชื่อมร้อยต่อกันเหล่านั้นมีพลังงานหนึ่งที่แฝงเร้นเชื่อมมันอยู่ด้วย พลังงานนั้นเรียกว่า ปราณ..."
เขาฟังมาริตาบรรยายอย่างเงียบ ๆ สีหน้าเธอเคร่งขรึม แต่นัยน์ตาเป็นประกายคล้ายกำลังคุยเรื่องที่สนุกที่สุดในโลก
"...ปราณคือพลังชีวิต คือพลังธรรมชาติ ปราณคือองค์ประกอบของทุกสรรพสิ่ง ของทุก ๆ ชีวิต ปราณเป็นต้นตอของชีวิต ไม่ว่าร่างนั้นจะเล็กเท่าเชื้อโรค หรือใหญ่เท่าไดโนเสาร์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตเช่นคน พืช สัตว์ หรือสิ่งไร้ชีวิตเช่นก้อนหิน ดิน ต่างก็อยู่ในหลักการนี้ทั้งสิ้น"
ท่านศาสตราจารย์กล่าวเสริมขึ้น "หลักธรรมตะวันออกเชื่อว่า การเกิดก็คือการรวมตัวกันชั่วคราวของอณูชีวิตจำนวนมหาศาลเหล่านั้น และการตายก็คือการสลายตัวของอณูเหล่านั้นออกจากกัน แต่อณูเหล่านั้นไม่มีวันสลายหายไปจากโลก เพียงแต่เปลี่ยนรูปที่พวกมันประกอบขึ้นมาเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นร่างกายของผมนี้ประกอบด้วยเซลล์มากมายล้านล้านล้านเซลล์ เชื่อมต่อกันเป็นตัวผม ในแต่ละเซลล์ก็ประกอบด้วยหน่วยที่เล็กกว่า หน่วยที่เล็กที่สุดนั้นก็คืออณูที่มาริตาอ้างถึง เพราะฉะนั้นในร่างผมจะประกอบด้วยอณู ก. ข. ค. ง.... มากมายนับไม่ถ้วน"
เขาหัวเราะ "ผมไม่เคยได้ยินเรื่องอย่างนี้มาก่อน"
"ไม่ต้องแปลกใจหรอก ลองคิดดูถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ขนาดไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ดูอย่างมดสิ ขนาดของมันเล็กมาก แต่ยังมีความละเอียดซับซ้อนของโครงสร้างมากเช่นนี้ ระบบร่างกายของมดหนึ่งตัวซับซ้อนไม่น้อยกว่าระบบร่างกายของช้างหนึ่งตัวเลย ละเอียดอย่างที่เราไม่เคยคาดถึงว่าธรรมชาติสามารถสร้างงานแบบนี้ขึ้นมาได้ ในยุคหนึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะคำนวณสมการคณิตศาสตร์ง่าย ๆ มีขนาดใหญ่เท่าตึก แต่ยุคต่อมามันมีขนาดเพียงเล็บมือเท่านั้น เรื่องอณูฟังดูเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเล็กเกินไปที่จะเป็นไปได้ แต่โครงสร้างของมันอาจซับซ้อนไม่แพ้โครงสร้างของมดหรือช้างก็ได้"
"ท่านอธิบายอย่างมีเหตุผลมาก แล้วอณูเหล่านั้นมีอายุหรือไม่?"
"บอกตรง ๆ คือเราไม่รู้ ความเชื่อของคนโบราณคือมันเป็นอมตะ มันคงอยู่เช่นนั้นมาตั้งแต่จักรวาลถือกำเนิด และคงอยู่ตลอดไป อย่างตัวผมนี้เองอีกไม่กี่ปีก็จะสิ้นลม เมื่อผม 'ตาย' ไป อณู ก. ไม่ได้ตายไปด้วย หากแต่หลุดออกจากอณูอื่น ๆ ที่เคยรวมตัวเป็นร่างผม อณู ก. อาจตกหล่นอยู่ในดินที่เขาฝังศพผม และรวมตัวกับอณูอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมก่อตัวกลายเป็นต้นหญ้าต้นหนึ่ง บางทีก็อาจถูกลมพัดไปรวมกับอณูอื่นที่กำลังรวมตัวกันเป็นลูกวัวตัวหนึ่ง หรือเป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง แต่ละรูปร่างหรือชีวิตใหม่นี้ก็คือภพชาติ"
"เพราะฉะนั้นนักปรัชญาตะวันออกจึงกล่าวว่า การเกิดก็คือการตายการตายก็คือการเกิด"
ศาสตราจารย์ผงกศีรษะ "คำกล่าวนี้เป็นปรัชญา คิดแบบปรัชญาก็ได้ แบบวิทยาศาสตร์ก็ได้"
"น่าสนใจ แล้วพวกท่านต้องการทดลองอะไร?"
"โครงการที่เราเสนอมหาวิทยาลัยคือการวิจัยเรื่องอณูชีวิต จุดหมายของเราคือ ถ้าหากเราเข้าใจและสามารถควบคุมมันได้ เราก็สามารถควบคุมและรักษาสภาพร่างกายได้ เพราะเมื่อนั้นเราสามารถควมคุมร่างกายคนได้จากส่วนที่เล็กที่สุด นั่นคืออณู"
"ควบคุมยังไงครับ?"
"อณูนั้นเล็กมาก ไม่มีเครื่องกลไกใด ๆ ที่สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมันได้ แต่ปัญหานี้แก้ด้วยวิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง"
เขามองหน้าท่านศาสตราจารย์และมาริตาสลับไปมา
"สิ่งที่ละเอียดอ่อนที่สุดทางธรรมชาติอีกอย่างก็คือจิต ทฤษฎีที่ผมคิดร่วมกับมาริตาคือการใช้จิตเป็นส่วนบังคับมัน ใช้จิตเชื่อมเป็นส่วนหนึ่งของอณู นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเราต้องใช้คนที่มีพลังจิตพิเศษอย่างคุณมาทดลองในโครงการนี้"
"พวกคุณต้องการให้ผมทำอะไร?"
"การทดลองที่ผ่าน ๆ มาของคุณทำให้เรามั่นใจว่า จิตของคุณสามารถซอกซอนเข้าไปในหน่วยอณูที่เล็กที่สุดได้ จำการทดลองเมื่อสองปีก่อนได้ไหม? คุณสามารถใช้พลังจิตรักษารอยแผลที่เกิดจากแสงเลเซอร์ที่ทิ่มแทงลงไปในเนื้อเยื่อให้สมานตัวในเวลาไม่กี่วินาที แผลที่เกิดจากแสงเลเซอร์นั้นเล็กมากต้องดูผ่านกล้องจุลทรรศน์เท่านั้น ตลอดสองปีนี้เราสามารถเชื่อมจิตของคุณกับเครื่องสมองกล สิ่งที่คุณคิดสามารถปรากฏบนจอเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นข้อความได้ แม้ว่ายังต้องพัฒนาต่อไปอีกมาก แต่หลักการของมันก็ทำให้เราได้รับรางวัลการทดลองครั้งนั้น ทั้งสองสิ่งนี้แหละที่ปูทางให้เราในโครงการใหม่นี้ คือศึกษาชีวิตจากหน่วยที่เล็กที่สุด ถ้าทำสำเร็จ เราจะสามารถช่วยชีวิตมนุษย์ได้จำนวนมหาศาล เราสามารถรักษาคนโดยการสั่งให้อณูที่เล็กที่สุดรักษาตัวเอง เรายังสามารถเปลี่ยนยีนที่ผิดปกติให้เป็นยีนที่ดีจากการรักษาทางจิตโดยไม่ต้องใช้ยา ลองคิดดูสิว่ามันจะเปลี่ยนโฉมหน้ามนุษยชาติไปแค่ไหน"
"น่าตื่นเต้นมาก แต่คงไม่ง่ายอย่างในทฤษฎี"
"ฉันเชื่อเสมอว่าไม่มีอะไรในโลกที่เป็นไปไม่ได้..." มาริตาตอบแทน ยิ้มอ่อนหวาน
"...อย่าว่าแต่ฉันเชื่อในอำนาจพิเศษของคุณ"
และเขาก็เชื่อเธอ
...................................
โครงการของท่านศาสตราจารย์กับมาริตาดำเนินต่อไปอีกสองปี ในปีที่สองเขาบอกรักมาริตา เธอรับปากแต่งงานกับเขา โดยมีข้อแม้ว่าให้งานทดลองของเธอสำเร็จลงก่อน เขาตอบตกลง หลังจากนั้นเขาก็ทำงานทดลองนั้นอย่างมีความสุข การประสานจิตเข้ากับหน่วยเล็กที่สุดของร่างกายเป็นสิ่งที่ต้องประสานวิทยาศาสตร์หลายสาขาเข้าด้วยกัน โชคดีที่พวกเขาได้มือดีจากที่ต่าง ๆ มาช่วย
หนึ่งปีต่อมาท่านศาสตราจารย์นากิฟถึงแก่กรรม โครงการทดลองไม่ได้หยุดลง มาริตาเป็นหัวแรงที่ผลักดันงานให้เดินต่อไป ช่วงนั้นงานของมาริตายิ่งยุ่งกว่าเก่า เธอได้นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรมาเพิ่มในคณะทำงานอีกสองสามคน คนที่มีชื่อเสียงที่สุดชื่อ กาวิน เป็นวิศวกรมือดี เขาไม่รู้ว่าทำไมกาวินยอมทิ้งงานที่จ่ายเขาอย่างงามที่สถาบันอวกาศมาทำงานทดลองนี้ เขาสันนิษฐานว่าหากโครงการนี้สำเร็จ ชื่อเสียงที่กาวินมีส่วนได้รับจะเปิดอนาคตเขากว้างกว่านี้ เขาเชื่อว่าทุกคนที่ขมักเขม้นทำงานทดลองวันละสิบแปดชั่วโมงคงคิดเช่นนี้ มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ร่วมโครงการนี้เพราะความรัก
การทดลองยิ่งยืดออกยาว เขาก็รู้ว่าโอกาสที่เขาจะอยู่ร่วมกับมาริตามีน้อยลง เธอยุ่งกับงานมากขึ้นทุกวัน มีหลายครั้งที่เขาคิดจะถอนตัว แต่แววตาคู่นั้นทำให้เขาเปลี่ยนใจ หากเขาล้มเลิก โครงการนี้ก็ล้ม เพราะเขาเป็นตัวแปรสำคัญ โครงการนี้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเธอ เขาทำให้เธอเจ็บปวดใจไม่ได้
เครื่องมือการทดลองถูกพัฒนาไปพร้อม ๆ กับการทดสอบพลังจิตของเขา กาวินเป็นผู้ออกแบบพัฒนาเครื่องมือเร่งสัญญาณจิตจนเป็นผลสำเร็จ มาริตา ว่าหากไม่มีกาวิน โครงการทดลองนี้อาจกินเวลาอีกหลายปี
แล้ววันนั้นก็พลันมาถึง
...................................
ไม่มีความมืด ไม่มีความสว่าง ไม่มีความรู้สึกอื่นใด อีกครั้งเขากำลังเปลี่ยนเปลือก เหมือนไก่ที่เกิดปฏิสนธิอยู่ภายในเปลือกอันแข็งแรง มีมารดาฟูมฟัก รอวันออกมาดูโลกกว้าง โลกที่ไกลจากบ้านเกิดของเขาถึงหลายพันปีแสง...
...................................
คืนนั้นเขาม่อยหลับไปเพราะความอ่อนเพลียหลังจากเพ่งจิตในการทดลองนานกว่าหกชั่วโมงติดต่อกัน มาริตาปลุกเขาขึ้นมา ใบหน้าเธอยิ้มแย้ม
"เราทำสำเร็จแล้ว เครื่องมือเชื่อมจิตกับอณูใช้ได้ผลหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์"
"ก็แปลว่าได้เวลาแล้วสิ?"
"ใช่ แต่รอถึงพรุ่งนี้เราจะเริ่ม"
เช้าวันต่อมาเขามองเครื่องมือที่ดูประหลาดเหล่านั้น เขาถามมาริตาขรึม ๆ "ถ้าผมเข้าไปนอนในนั้นแล้ว ผมจะมีชีวิตรอดกลับมาไหม?"
"เหลวไหล ทุกอย่างออกแบบอย่างปลอดภัยที่สุด"
ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ยิ้มและว่า "ผมพร้อมแล้ว"
"รู้สึกยังไงบ้างคะตอนนี้?"
"สบายดี"
"ตื่นเต้นไหม?"
"นิดหน่อย"
"คุณยังมีนาทีสุดท้ายที่จะตัดสินใจล้มเลิกแผนการนี้..."
เขาสั่นศีรษะ "งานนี้เป็นของคุณ ผมจะล้มได้อย่างไร?"
"คุณดีกับฉันเสมอ"
เครื่องเดินเงียบขณะที่เขาก้าวเข้าไปนอนในหลอดแก้ว เขามองหน้ามาริตา เป็นครั้งสุดท้าย เป็นไปได้ไหมที่มันจะเป็นครั้งสุดท้าย? ในช่วงที่เขารวมจิต โสตประสาทคล้ายได้ยินคำพูดของมาริตาบอกหน้าที่ของเขาในโครงการนี้...
"เมื่อคุณนอนลง ตั้งสมาธิ เพ่งจิตให้รวมตัวกัน เครื่องจะดึงจิตคุณออกมารวมกันข้างนอก ขณะที่ร่างกายคุณนอนสงบนิ่งแบบจำศีลอยู่ จิตคุณจะเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกับอณูชีวิตในเซลล์ที่เราเพาะไว้ เราจะนำเซลล์นั้นไปฝังในเมล็ดถั่ว เพราะมันใช้เวลางอกสั้นมาก ภายในสองวันคุณจะรับรู้การเติบโตของเซลล์เมล็ดถั่ว คุณจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นถั่วที่เพิ่งเกิด คุณจะรายงานทุกสิ่งที่คุณพบเป็นสัญญาณกลับมาที่คอมพิวเตอร์ และเราก็สามารถอ่านมันที่หน้าจอ ถ้าคุณต้องการกลับมา เพียงรายงานให้เราทราบ เราจะรู้จากหน้าจอ และจะนำคุณกลับมาอีกครั้งในร่างของคุณ และปลุกคุณขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง..."
นี่เป็นการทดลองอะไรกัน? ทำไมต้องเป็นเขา? โครงการนี้หรือคือทุกสิ่งทุกอย่างของมาริตา? เขาจะเป็นคนแรกในโลกมนุษยชาติที่เข้าสู่มิติใหม่ บางทีเขาอาจเป็นคนที่เปลี่ยนโลกนี้โดยสิ้นเชิง แต่เขาไม่สนใจ เขาต้องการเธอคนเดียวเท่านั้น
เขารู้สึกตัวเองคล้ายหลับไป แต่สติของเขายังพร้อมเต็มที่ เขาเพียงแต่ไม่มีร่างกายเท่านั้น - ไม่ใช่! เขามีร่างกาย แต่เป็นเพียงอณูหนึ่งที่เล็กกว่าปรมาณู เล็กกว่าเชื้อโรค
เขารู้ว่าตัวเองกำลังล่องลอยเข้าไปสู่โลกแปลกหน้า เขาไม่รู้ว่าจะเจออะไร จะกลายเป็นอะไร แต่เขาก็กำลังเฝ้าดูมันอย่างตั้งใจ
รอบ 'ร่าง' ใหม่ของเขาเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ แต่แน่นอน เป็นวิถีทางของมันเช่นนี้มานานตั้งแต่โลกเริ่มวิวัฒนาการ เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่สุดโดยวิธีที่ไม่เป็นธรรมชาติที่สุด!
เขาส่งสัญญาณเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์...
"ตอนนี้ผม 'รู้สึก' ได้ว่ารอบตัวผมกำลังขยายตัวออกอย่างรวดเร็วเมล็ดถั่วกำลังแตกตัวผลิใบอ่อนออกมา ไม่อยากเชื่อว่าผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมล็ดถั่วไปแล้วอย่างกลมกลืนที่สุด 'ร่าง' ของผมกำลังเคลื่อนไปเรื่อย ๆ...
"มาริตา ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมอยู่ที่ไหน ผมอยู่ในใบอ่อนสีเขียวที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผมไม่เคยเห็นธรรมชาติอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน เพราะคราวนี้ผมเป็นส่วนหนึ่งของมัน สองวันนี้อาหารของผมก็คือแร่ธาตุจากดิน...
"วันนี้เป็นวันที่สาม ใบอ่อนผลิออกมาเต็มใบแล้ว รอบข้างผมกำลังขยายตัวเป็นการใหญ่ จำนวนอณูใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มันคงจะกลายเป็นต้นถั่วที่แข็งแรงเต็มที่ มาริตา ผมเชื่อแล้วว่า หากผมอยู่ในร่างของคนหรือสัตว์ การเปลี่ยนแปลงเซลล์ของมันเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นน่าจะเป็นไปได้ ตอนนี้ผมอยากอยู่ในนี้ต่ออีกหนึ่งวันก่อนที่จะกลับ หวังว่าไม่มีอะไรขัดข้อง..."
เขารู้สึกสัมผัสได้ว่า มาริตากำลังตอบกลับเขามาทางเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมกับจิตเขา "ไม่มีอะไรขัดข้อง คุณทำสำเร็จแล้ว"
"เราทำสำเร็จต่างหาก" เขาตอบกลับไป
...................................
คืนนั้นไฟในห้องทดลองเปิดสว่าง มาริตาและกาวินยังอยู่ในห้อง ทั้งสองคนคุยกันเบา ๆ
กาวินบอกหญิงสาว "ท่าทางคุณปลอดโปร่งจัง เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมเห็นคุณยิ้มอย่างสบายใจ งานของคุณสำเร็จแล้ว"
มาริตาว่า "ถ้าไม่ได้คุณ โครงการนี้ไม่มีวันเป็นไปได้"
"ถ้าไม่มีเขาต่างหาก"
"พวกคุณทั้งสองต่างมีความสำคัญกับโครงการนี้ทั้งสิ้น"
"งานต่อไปคืออะไร?"
"งานต่อไปคือการถ่ายตัวเขาเข้าไปในอณูของสัตว์ และถ้าไม่มีอะไรติดขัด งานสุดท้ายคือถ่ายตัวเขาเข้าไปในเซลล์ของคน"
"งานนี้ต้องได้รางวัลดีเด่นแน่นอน เราทั้งสองทำงานหนักมาตลอด ผมมีข้อเสนอว่าเราควรใช้เวลานี้พักงานสักช่วง แต่งงานกันแล้วพักผ่อนสักเดือนสองเดือนก่อนกลับมาเริ่มโครงการนี้ใหม่"
"ฉันทำไม่ได้"
"คุณไม่ต้องการแต่งงานกับผม?"
"เปล่า ไม่ใช่ ฉันไม่ต้องการให้เขารู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรา กาวิน การที่เขายอมทำงานในโครงการนี้ ไม่ใช่เพราะเขาสนใจในวิทยาศาสตร์หรือต้องการชื่อเสียง เขาอยู่ที่นี่เพราะเขาเชื่อว่าฉันรักเขา"
"คุณปิดเรื่องนี้ไปไม่ได้ตลอดหรอก สักวันหนึ่งเขาก็ต้องรู้"
"ฉันเข้าใจ แต่อย่างน้อยก็ต้องรอให้การทดลองนี้สำเร็จลงเสียก่อน เขาเป็นตัวแปรที่สำคัญมากในงานนี้"
ทั้งสองคนนั้นไม่มีวันคาดว่า เขาสามารถรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ความจริงแล้วเขาไม่น่ามีความสามารถพิเศษส่วนนี้ เขาไม่ต้องการรู้ความจริงข้อนี้ ไม่มีอะไรที่โหดร้ายไปกว่าการถูกคนรักหลอกลวงมาโดยตลอด สำหรับมาริตา เขาเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ความรักที่หญิงสาวมอบให้เขาเป็นเพียงภาพลวงตา คำหวานที่เธอเคยเอ่ยรำพันเป็นเพียงการหลอกลวง นาทีนั้นเขานึกถึงคำโบราณที่ศาสตราจารย์ นากิฟเคยเอ่ยขึ้นประโยคนั้น
"ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง"
มันกลายเป็นสัญญาณเข้าไปปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์
เสียงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ดังขึ้นทำให้ทั้งสองร่างที่กำลังกอดจูบกันชะงัก มาริตาและกาวินตะลึงงันเมื่อเห็นข้อความที่หน้าจอ เขาส่งกระแสจิตต่อไปเป็นครั้งสุดท้ายว่า "ลาก่อน...มาริตา"
แล้วจอเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ว่างเปล่า
ต่อแต่นี้เขาจะอยู่ในโลกใหม่ของเขาลำพัง แต่เขาคงไม่เงียบเหงานัก เขายังมีอณูอื่น ๆ ในต้นถั่วเป็นเพื่อน
เขารู้ว่าร่างของเขากำลังนอนหลับจำศีลอยู่ในหลอดแก้วไม่ไกลออกไปแต่จะมีประโยชน์อะไรที่จะกลับคืนสู่ร่างเดิม ในเมื่อมันบรรจุเต็มด้วยความทุกข์ เขาเลือกจากตัวเองไปตลอดกาล
ต้นถั่วโตเต็มที่และมีชีวิตอยู่ในห้องทดลองต่อมาอีกหลายสัปดาห์ วันหนึ่งมันก็เหี่ยวลง เขารู้ว่าร่างที่เขาสถิตย์อยู่กำลังสลายตัว บัดนี้เขากำลังประจักษ์การแยกจากกันของเหล่าอณูชีวิตที่มารวมตัวเป็นต้นถั่วต้นนั้นในระยะเวลาไม่ยาวนานนักบนโลก เช่นเดียวกับบรรพบุรุษถั่วของมัน ในที่สุดมันก็สลายตัวลงดิน เขารับรู้การแตกสลายของเปลือกนี้อย่างสงบ เขาได้ยินมาริตาเอ่ยข้างกระถางต่อเขา "ฉันเสียใจ คุณจงกลับมาก่อนที่มันจะสายเกินไป..."
แต่เขาไม่สนใจ หญิงที่ทรยศย่อมไว้ใจไม่ได้ เขายินดีเป็นเพื่อนกับซากถั่วในดินดีกว่าจะกลับไปหาเธออีกครั้ง เธอเพียงต้องการหลอกใช้เขาเพื่อเกียรติยศชื่อเสียงของตัวเธอเองเท่านั้น ชื่อเสียงจอมปลอมที่ไม่เคยยั่งยืน เขาต่างหากที่จะยั่งยืนต่อไปหลังจากต้นถั่วเน่าสลายในดิน กระถางถูกนำออกไปโยนลงในกองถังขยะ เขาไม่ขอรับรู้เรื่องราวบนโลกมนุษย์อีกต่อไป บัดนี้เขากลายเป็นอณูหนึ่งในล้านล้านล้านในกองขยะ วันหนึ่งรถบรรทุกคันหนึ่งมาจอดเทียบ ชายหลายคนพากันขนมันขึ้นรถ ไม่นานต่อมาเขาถูกย้ายไปสู่สถานที่ใหม่ที่มีกองขยะสูงเท่าภูเขา เวลาผ่านไปอีกหลายวัน เขาถูกเคลื่อนย้ายอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเป็นส่วนหนึ่งที่ถูกโยนลงไปในทะเล ไม่เคยมีครั้งใดที่เขาใกล้ชิดทะเลมากเช่นนี้มาก่อนกระแสน้ำสีครามไหลผ่านเวียนไปมา ชำแรกกองขยะแตกกระจายออกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อย เขารู้สึกว่าตัวเองกลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของทะเลไปอย่างกลมกลืน กาลเวลาผ่านไปนานเท่าใดเขาไม่ทราบได้ ทุก ๆ วันสรรพสิ่งใต้ทะเลว่ายเวียนผ่านร่างเขาไป สัตว์ทะเลหลากเผ่าพันธุ์ ปะการัง และพืชต่างมีวิถีชีวิตของมันเอง เขาเฝ้ามองพวกมันอย่างตื่นตาตื่นใจ ธรรมชาติคือความอัศจรรย์โดยแท้
เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดเมื่อร่างของเขาก่อกำเนิดอีกครั้ง เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของแพลงตอน ไม่กี่วันต่อมาเขาก็กลายเป็นอาหารของปลาทะเลที่ว่ายโฉบมา เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของปลาทะเลที่ว่ายสะบัดไปตามหลืบหินและสายน้ำเย็น แม้ว่าเขายังหวนระลึกถึงความไม่สมหวังในรัก แต่ความรู้สึกอันยิ่งใหญ่ของการเป็นปลาตัวนั้นสามารถทำให้เขาลืมอดีตไปได้บ้าง
ปลาทะเลตัวนั้นมีชีวิตอยู่ไม่นานนักก็เป็นอาหารของสัตว์ใหญ่กว่า เขารับรู้ว่าบัดนี้ตนเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของปลาวาฬสีน้ำเงินในท้องทะเลลึก ร่างมหึมาแหวกว่ายมหาสมุทรไปมาอย่างอิสระเสรี นานทีก็พ่นน้ำออกมา บางทีก็กระโจนร่างโผล่พ้นผืนน้ำสีครามเข้มก่อนที่ผลุบลงใต้น้ำตามเดิม
วันหนึ่งเขาได้ยินเสียงประหลาดดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล เสียงนั้นทำให้ปลาวาฬตัวนั้นเปลี่ยนไป ทั้งร่างคล้ายเกิดความร้อนพลุ่งพล่านขึ้นมาทั้งที่อยู่ใต้สมุทรเย็นเยียบ มันส่งเสียงร้องกลับ ไม่นานเขาก็รู้ว่ามันกำลังหาคู่ของมัน ร่างมหึมาทั้งสองแหวกว่ายสายสมุทรไปคู่กัน บางคราเสียดสีร่างกัน บางคราก็แยกออกห่าง ส่งเสียงกระซิบกระซาบกันในความดำมืดของทะเลความรักของพวกมันอาจยั่งยืนกว่าของมนุษย์ อย่างน้อยพวกมันก็ไม่หลอกลวงกัน
และแล้วร่างใหญ่โตพลันพลิกตัวทะยานโผนขึ้น เขารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางอีกครั้ง เมื่อน้ำเชื้อจำนวนมหาศาลไหลถ่ายเทผ่านไปสู่อีกร่างหนึ่ง
นานเท่านานเขารู้ว่าตัวเองก่อกำเนิดอีกครั้ง กาลเวลาผ่านไปอย่างสงบ เช้าวันหนึ่งเขาก็สัมผัสแสงอาทิตย์อีกครั้ง เขากลายเป็นส่วนหนึ่งชีวิตใหม่ที่ว่ายออกสู่ทะเลกว้างทั้งที่เพิ่งถือกำเนิดมาได้ไม่นาน
ลูกปลาวาฬเติบโตขึ้นทุกขณะ มันชอบว่ายหยอกล้อคลื่นไปมา บางคราวที่เกิดพายุ มันก็จะซุกตัวอยู่ใต้ทะเลส่วนที่มันคิดว่าปลอดภัยที่สุด บางคราเมื่อลมสงบมันก็โผล่ร่างขึ้นมาว่ายกลางทะเลเรียบ ไกลออกไปที่สุดขอบฟ้าเป็นแผ่นฟ้ากลางคืนที่มีแต่ดาวระยิบระยับ เขาไม่รู้ว่าบัดนี้ตัวเขาอยู่ไกลจากแผ่นดินอารยธรรมแค่ไหน ยามนั้นดวงดาวคล้ายอยู่ใกล้แค่เอื้อม และแผ่นดินอารยธรรมดูห่างไกลกว่า
แต่อารยธรรมก็เป็นฝ่ายกลับมาเยือนเขาเสียเอง วันหนึ่งเขาได้ยินเสียงร้องยาวนานที่มาจากตัวเอง อณูของตัวเขาไหลออกมาตามเลือดที่หลั่งออกมาไม่หยุด เขารู้ว่าตัวเองอยู่ในเรือประมงล่าปลาวาฬ เสียงคนประมงร้องเอะอะวุ่นวายเมื่อจับสัตว์ที่ต้องการได้แล้ว หลังจากนั้นก็ทำความสะอาดพื้นเรือที่เปื้อนเลือดโดยการสูบน้ำทะเลขึ้นมาล้าง อณูของเขาที่ปนอยู่ในเลือดถูกน้ำพัดกลับลงไปในทะเล วัฏจักรแห่งการเวียนว่ายดำเนินต่อไปตามกฎธรรมชาติ อีกครั้งเขาถือกำเนิดเป็นส่วนหนึ่งของกุ้งทะเล ชีวิตคราวนี้สั้นนักเมื่อเขาพบตัวเองอยู่ในตู้กระจกใส ภายในนั้นมีกุ้งหลายสิบตัวแออัดอยู่ เขารู้ว่าร่างที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแยกสลายอีกครั้งเมื่อความร้อนแผ่พุ่งเข้ามา กุ้งตัวนั้นถูกเผาทั้งเป็น กลายเป็นอาหารสดอันโอชะที่มนุษย์นิยมเสพโดยไม่นำพาวิธีการ
ร่างของเหล่าอณูแห่งสัตว์น้ำถูกฟันแทะฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ละชิ้นค่อย ๆ ผ่านท่ออาหารเข้าไปในระบบย่อยอาหาร ยี่สิบชั่วโมงต่อมาพวกมันก็ย้ายสถานที่ลงไปในบ่อเกรอะ รอบตัวเขาตอนนี้คือดงอาจมเน่าเหม็นแต่เขาไม่รู้สึกอะไร หลายวันต่อมาอาจมก็สลายตัว เขารู้ตัวว่ากำลังถูกพัดพาไปตามท่อลงไปแม่น้ำสกปรกที่แปดเปื้อนสายหนึ่ง สิ่งแปดเปื้อนที่ถูกคนสร้างขึ้นมาเอง!
และก็เป็นคนนั่นเองที่ได้รับผลกระทบจากมัน เขารู้ดีเมื่อเขาเข้าไปฝังตัวในระบบร่างกายของเด็กคนหนึ่งที่ว่ายน้ำเล่นในลำน้ำสายนั้น ตอนที่เด็กตายและถูกนำไปฝังดิน ซากเด็กเน่าเปื่อย น้ำเหลืองไหล แต่พิษสารเคมีในดินยังไม่ยอมสลายตัว และเขาก็อยู่เคียงข้างพิษนั้นนั่นเอง
เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองอยู่ที่นั่นมานานเท่าใด เวลาผ่านมากี่ปีแล้วตั้งแต่วันที่เขาจากมาริตา? กาลเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ผงกระดูกของเด็กกลายเป็นดินในป่าช้าไปนานแล้ว วันหนึ่งมีศพหนึ่งถูกนำมาฝังใกล้ ๆ เขารู้ในทันทีว่าเป็นร่างของมาริตา คนที่เขาเคยรัก เขาดูการเน่าเปื่อยของคนรัก หลายสิบปีผ่านไปเหมือนฝัน เขาได้อยู่ร่วมกับคนที่เขารักในที่สุด
เวลาผ่านไปอีกหลายสัปดาห์ วันหนึ่งมีชายคนหนึ่งมาวางดอกไม้ที่หน้าหลุมศพของมาริตา ชายคนนั้นก็คือกาวิน คนที่แย่งเธอไปจากเขา
กาวินในวัยเจ็ดสิบเศษเอ่ยพึมพำที่หน้าหลุมศพของเธอ "คุณจากผมไปจนได้ หลายเดือนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม เมื่อไม่มีคุณ ก็ไม่มีสิ่งดี ๆ เหลือในชีวิตผม ผมรักคุณ ตอนนี้ผมได้แต่รอเวลาที่ผมจะได้พบคุณอีกครั้ง อีกไม่นาน..."
แล้วกาวินก็แวะเวียนมาที่นี่อยู่เรื่อย ๆ ทุกครั้งที่เขามาจะเอ่ยวาจาคล้าย ๆ กัน ตอนนี้เขาจึงเข้าใจความรู้สึกและความรักที่ชายชราผู้นี้มีต่อภรรยาของเขา ถ้าหากเวลานานป่านนี้ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปรความรักของเขาที่มีต่อผู้หญิงคนหนึ่ง บางทีเขาไม่ควรมีความอิจฉาเหลืออยู่ เขารู้ว่ากาวินรักมาริตามากเช่นกัน มากเท่า ๆ กับเขา หรืออาจมากกว่าเขา ใครจะรู้?
แล้วเขาก็เริ่มเข้าใจในความรักของมนุษยชาติ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาก็เริ่มมองโลกด้วยสายตาคู่ใหม่ เขาเข้าใจธรรมชาติมากกว่าเดิม หลังจากกาวินถูกนำมาฝังเคียงข้างภรรยาไม่นานนัก เขาก็กลายเป็นฝุ่นละอองที่ลอยล่องไปสู่อนาคตที่เขาไม่รู้
ยังมีการเดินทางอีกยาวไกลนัก
อีกหลายสิบปีผ่านไป เขากลายเป็นสรรพสิ่งในโลกโดยไม่ต้องฝืน อีกหลายชีวิตผ่านร่างเขาไป หลายชีวิตนัก! เมื่อใดวงจรแห่งวัฏสงสารนี้จะจบสิ้น? เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของกระแสลม สายน้ำ เขากลายเป็นต้นหญ้า เป็นสัตว์นานาชนิด เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของวัว เมื่อวัวถูกฆ่า และปรากฏตัวที่ร้านซูเปอร์มาร์เก็ต เขาก็กลายเป็นอาหารของสุนัข เป็นอาจมของสุนัข เป็นอาหารของแมลงวัน ซึ่งก็เป็นอาหารของกบที่กระโดดไปมาในบึงใส กลายเป็นตะไคร่น้ำตามขอบธาร กลายเป็นก้อนหินบนภูผานานกว่าร้อยปี ถูกป่นจากภูเขาสูงเป็นปูนซิเมนต์ และถูกนำมาสร้างบ้านนานกว่าห้าสิบปี
เมื่อเกิดมหาสงครามโลกที่กินเวลาหลายปี เขาเป็นประจักษ์พยานการสูญสิ้นชีวิตมนุษย์มากมาย การเปลี่ยน การยุบ และการรวมประเทศ ความตกต่ำของศีลธรรม คนยังเป็นคน สังคมคนเปลี่ยน แต่พฤติกรรมคนไม่เคยเปลี่ยน
...................................
ความมืดกลายเป็นความสว่าง ความสว่างกลายเป็นความมืด เบื้องหน้าเขาคือการก่อตัวของดาราจักรใหม่ เชื่องช้าแต่มั่นคง บางทีวันหนึ่งเขาอาจเป็นส่วนหนึ่งของมัน อาจเป็นส่วนหนึ่งของการก่อตัวอันยิ่งใหญ่ที่จะกลายเป็นโลกแผ่นดินสวยงาม ทุ่งหญ้าเขียวขจี สายน้ำ และมนุษย์อีกครั้ง
ตอนนี้เวลาผ่านมาจากวันที่มาริตาตายกว่าหนึ่งหมื่นปี ทุกคนในโลกยุคที่เขาเคยเป็นคนตายหมดแล้ว ความรุนแรงของสงครามปรมาณูครั้งสุดท้ายทำให้แกนโลกเปลี่ยนเล็กน้อย เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกอย่างรุนแรง ส่งผลให้น้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ที่กินเวลานานเจ็ดร้อยปี ช่วงเวลานั้นเขาเฝ้ามองโลกใบนี้อย่างเงียบงัน พระอาทิตย์ยังขึ้นจากบูรพาทิศ และเลื่อนลับไปทางประจิมทิศ ดวงจันทร์ยังคงฉายแสงซีดกลางราตรีอันยาวนาน แต่เขารู้ อารยธรรมมนุษย์จะเริ่มฟื้นขึ้นมาใหม่ มนุษยชาติยังไม่สูญสิ้นไปจากโลกนี้ง่าย ๆ
เวลาผ่านไปอีก ไม่เชื่องช้า ไม่รวดเร็ว สองพันปี สามพันปี สี่พันปี มนุษยชาติยังคงเลื่อนไหลไปตามกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลง ไม่หยุดนิ่ง อารยธรรมเปลี่ยนไปจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดมากมาย สิ่งที่เขารับรู้ก็คือวิวัฒนาการด้านอวกาศมนุษย์ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว เขาเฝ้าดูยานอวกาศบรรทุกชาวนิคมใหม่ที่เดินทางออกจากโลกลำแล้วลำเล่า ขณะที่โลกใบเก่ากำลังตายไปอย่างเงียบงัน
ผู้คนไปตั้งอาณานิคมนอกโลก กระจายไปอยู่ตามอาณานิคมใหม่ ๆ จำนวนผู้คนในดาราจักรแห่งนี้มีสุดคณานับ
และแล้วก็ถึงเวลาเดินทางของเขาจากโลกสู่พิภพต่างดาวที่ไกลออกไป อณูของเขาเกาะติดกับชีวิตต่าง ๆ ล่องลอยคล้ายไปตามยถากรรม แต่ก็เป็นระเบียบของธรรมชาติ บางครั้งเป็นส่วนหนึ่งของคน บางคราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งไร้ชีวิต
บางครั้งเมื่อดารากระจายเต็มแผ่นฟ้ามืดสนิท เขาคิดถึงมาริตา กระดูกของเธอผุกร่อนสลายไปในแผ่นดินมานานหลายร้อยศตวรรษแล้ว เธออาจผ่านภพชาติอีกหลายสิบหลายร้อยภพชาติตามวัฏสงสาร แต่เธอไม่มีวันรับรู้สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างที่เขาสัมผัส เพราะมีแต่จิตของเขายังคงทำงานอย่างไม่มีวันหยุด
จริงหรือที่ทุกสรรพสิ่งย่อมไม่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ - แม้แต่จิต? เขาเชื่อมั่นว่า วันหนึ่งจิตดวงนี้ก็ย่อมดับเช่นกัน ทุกอณูที่ละเอียดอ่อนอาจมีอณูที่ย่อยลงไปอีก
หลายแสนปีต่อมาดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ดับลง ผู้คนพากันย้ายถิ่นไปยังโลกที่อบอุ่นกว่า วันหนึ่งเขาได้ยินว่ายานอวกาศลำสุดท้ายเดินทางกลับมาจากโลก เมื่อนั้นเขาก็รู้ว่าโลกไม่มีแล้ว มันสูญสิ้นไปแล้ว
แต่เขายังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล เปลี่ยนภพชาติ เปลี่ยนเปลือกคลุมร่างไปเรื่อย ๆ ห่างไกลจากอารยธรรมมนุษย์และแตกต่างจากกายภาพเดิม ๆ ที่เขาคุ้นเคยไปทุกที แต่ไม่ว่าเปลือกคลุมร่างนี้จะมีสภาพเช่นใด เป็นระบบชีวเคมี หรือระบบอื่นใดที่มนุษย์ไม่เคยและไม่สามารถฝันถึง เขาก็พร้อมรับและเป็นส่วนหนึ่งของมันอย่างเต็มใจ เพราะบัดนี้เขาเข้าใจในธรรมชาติของจักรวาล จักรวาลก็คือความรัก ความเมตตา ช่างต่างจากความรักที่ครั้งหนึ่งเขามีให้หญิงสาวที่เขารักเป็นเพียงฉากหนึ่ง ภพมนุษย์เป็นเพียงภาพลวงตาภาพหนึ่ง สวยงามแต่ไม่จีรัง
และแล้วเขาก็เกิดอีกครั้ง หลุดพ้นจากรูปแบบชีวิตเดิม ๆ โดยสิ้นเชิง มีแต่จิตเท่านั้นที่ยังคงเดิม เขาได้เปลี่ยนเปลือกที่จะกลายเป็นอาณาจักรใหม่ของเขา - เปลือกของมนุษย์ต่างพิภพ!
ร่างกายใหม่ของเขาเรียบง่ายกว่าเดิม เขาคิดว่าเขาชอบร่างนี้ สติปัญญาของ 'มัน' สูงกว่าระดับที่เขาถือกำเนิดมา บางที 'มัน' อาจรู้วิธีที่จะช่วยเขาให้เป็นอิสระจากอณูที่เชื่อมเป็นตัวตนเขาสักที จิตของเขายั่งยืนมาได้นานหลายแสนล้านปี แต่แม้แต่จิตก็อาจมีจุดสิ้นสุด 'มัน' อาจช่วยเขาได้ บางทีมันคงมีความรู้มหาศาลที่มนุษยชาติไม่เคยรู้มาก่อนรอเขาอยู่
ยังมีสิ่งที่อณูกระจิริดเช่นเขาต้องเรียนรู้อีกมากนัก
วินทร์ เลียววาริณ
6-8-25หากท่านชอบอ่านเรื่องสั้นแนวนี้ มีหลายเล่ม เรื่องนี้อยู่ในชุด เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว
https://www.winbookclub.com/store/detail/64/เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า%20ดาดาว
0 วันที่ผ่านมา