-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมาในงานหนังสือ หนังสือ พุ่มรัก พานสิงห์ 10 เล่มนี้ ลดราคาพิเศษไปราวหนึ่งพันบาทจบงานหนังสือแล้ว จะขายราคาปกติสนใจก็อ่านรายละเอียดได้ที่ ... 539796034709&set=a.208269707328395">https://www.facebook.com/photo/?fbid=1254539796034709&set=a.208269707328395 รวมราคาปก 2,785.- ราคาขายพิเศษ เพียง 1,800.- ไม่คิดค่าส่งทุกเล่มมีลายเซ็นนักเขียนสั่งซื้อได้ทางเดียวคือ inbox เฟซบุ๊คนี้โอนเงินไปที่บัญชี "วินทร์ เลี้ยววาริณ ธนาคารกสิกรไทย สาขาพัฒน์พงศ์ 018-2-85554-5"ส่งภาพหลักฐานการโอนมาด้วย เพื่อให้รู้ว่าเป็นลูกค้าคนใดรับออร์เดอร์สุดท้ายวันที่ 6 เมษายน 20.00 น. เพื่อที่จะได้ส่งทางไปรษณีย์ในงานหนังสือทัน ดูเพิ่มเติม0
- แชร์
- 11
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมาประมาณปี 2544 พี่เรืองเดช จันทรคีรี บรรณาธิการนิตยสารสืบสวน-ฆาตกรรม รหัสคดี ส่งหนังสือรหัสคดีของ อี. ดับเบิ้ลยู. ฮอร์นัง มาให้ผมพร้อมโน้ตดังในภาพประกอบ พี่เรืองเดชเป็นบรรณาธิการนิตยสารสืบสวน-ฆาตกรรม ... รหัสคดี หรือ detective stories ไม่ค่อยเห็นคนไทยเขียน ทั้งที่ยุคก่อนมีนักเขียนไทยหลายคนเขียน (รวมทั้งพนมเทียน)ตรงใจผมพอดี เพราะอยากทำงานชุดรหัสคดีแบบไทย ๆ มานานแล้ว และนึกครึ้มใจว่า วันหนึ่งจะขอลองเขียนนิยาย detective stories กับเขาบ้างแต่ไม่อยากเขียนแบบเดิมก็ผัดวันประกันพรุ่งมาเรื่อยอยู่มาอีกวันหนึ่ง เพื่อนสนิท - สุจิตร โสรจศรีโสม อยากได้บทภาพยนตร์เกี่ยวกับนักสืบ เพื่อทำเป็นซีรีส์โทรทัศน์ คาดคั้นให้ผมลงมือทำเสียดี ๆ มิฉะนั้นจะโทรศัพท์มากวนวันละสามเวลาหลังอาหาร ที่สำคัญคือเขาใจดีไม่โลภมากเลย ขอแค่ 26 ตอนเท่านั้นโดนเข้าไปสองแรงกระทุ้ง ผมจึงเริ่มหยิบปากกาที่น่าประหลาดก็คือ เมื่อเริ่มเขียน ก็เกิดอาการหยุดไม่ลง (ซึ่งไม่ได้เกิดบ่อย ๆ ในชีวิตนักเขียน) เป็นโครงการเดียวที่ทำไปโดยไม่มีเบรกระหว่างทางพุ่มรัก พานสิงห์ จึงได้ฤกษ์ถือกำเนิดแบบ ‘ผ่าท้อง’ ด้วยประการฉะนี้ผมเสนอโครงการนี้ต่อพี่เสถียร จันทิมาธร แห่งมติชนสุดสัปดาห์ โดยเขียนบทนำเสนอดังนี้ (ใช่ เสนองานก็ต้องมีบทนำเสนอแบบสร้างสรรค์!)..............................ผมพบ พุ่มรัก พานสิงห์ ในมุมมืดหนึ่งของคาเฟ่ย่านดาวน์ทาวน์กรุงเทพฯ เขาดูเหมือนหลุดมาจากอีกโลกหนึ่ง สวมเสื้อผ้าฉูดฉาด โกรกสีเส้นผมแปล็บแปร๋น คาดแว่นตาดำกรอบหัวใจ พวงมาลัยเต็มคอ หน้าตาก็พอหล่ออยู่ในมาตรฐานไทยปนลาวเขาบอกว่าเขาทำงานนักสืบเป็นเพียงงาน ‘ไซด์ไลน์’ ทำมานานปี ส่วนงานประจำของเขา? เขาไม่ตอบหากเอ่ย “ขอโทษ” และขอตัวไปขึ้นเวทีเขาสืบเก่งหรือเปล่า ผมไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ คือน้ำเสียงเขาดีทีเดียวใช่! พุ่มรัก พานสิงห์ เป็นนักร้อง ชอบกินลาบ ข้าวเหนียว ส้มตำ แจ่ว แซบอีหลี-ดีลิเฌียส เว้าอีสานปนไทยกลาง ดังนี้จึงไม่แปลกที่หลายคนเรียกเขาว่า ‘เสี่ยวนักสืบ’เขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับฉายานั้น ตอบเพียงว่า “ข้อยบ่แมนบักเสี่ยวนักสืบอีเล่น ๆ เด้อ”ความจริงแม้เขาจะทำงานนักสืบเป็นเพียงงานอดิเรก แต่เขาก็จริงจังกับงานอย่างยิ่ง หางเครื่องที่ไม่ประสงค์จะออกนามนางหนึ่งบอกว่า ความที่ใกล้ชิดผู้หญิงมากหน้าหลายตา ทำให้เขาเป็นคนช่างสังเกตและกลายเป็นนักสืบในที่สุด แต่คนชงเหล้าไม่เห็นด้วยและมองมุมกลับว่า การที่เขาช่างสังเกตทำให้รู้ใจสตรี จึงมีโอกาสใกล้ชิดผู้หญิงมากหน้าหลายตา และเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า ชีวิตของเขาขาดนารีมิได้เสร็จจากการร้องเพลง พุ่มรัก พานสิงห์ ฝากเรื่องของเขาผ่านผมมาให้อ่านกัน เขาว่าไม่ชอบเรื่องสืบสวนของเขาไม่ว่า ขออย่าเกลียดเพลงที่เขาร้องและผู้หญิงทุกคนที่เขารักเพราะสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาไม่ใช่เรื่องสืบสวน หากคือความรื่นรมย์และ... ความรัก..............................พี่เสถียรเปิดไฟเขียวให้ผ่านทันทีพุ่มรัก พานสิงห์ ก็ถือกำเนิดมาด้วยประการฉะนี้คาแรคเตอร์ พุ่มรัก พานสิงห์ นั้นชัดเจนแต่วันแรก คือสืบแบบกวนตีน เหมือนเล่นตลกคาเฟ่ เล่นเอาฮา ไม่เน้นสาระแต่ผ่านไปหลายปีและหลายเล่ม ก็เริ่มเข้าสู่สาระมากขึ้น หลายเรื่องสะท้อนสังคม โดยเฉพาะเรื่องล่าสุด คดีเปลนม สะท้อนการเมืองไทยที่กำลังพาชาติลงเหว ดังที่เคยเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกและช่วงสงครามสี (เป็นเหตุผลที่เรื่องนี้ใช้ฉากปี 2553)นี่ก็คือบทบาทของนวนิยายที่จะอ่านเอาฮาก็ได้ เอาสาระก็ได้วินทร์ เลียววาริณ5-4-25.......................................ตอนนี้หนังสือ พุ่มรัก พานสิงห์ มีถึง 10 เล่มและมีโปรโมชั่นพิเศษ ชุดนักสืบ 10 เล่ม ในราคาพิเศษ ลดไปราวหนึ่งพันบาทจบงานหนังสือแล้ว จะขายราคาปกติสนใจก็อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1254539796034709&set=a.208269707328395 รับออร์เดอร์สุดท้ายวันที่ 6 เมษายน 20.00 น. เพื่อที่จะได้ส่งทางไปรษณีย์ในงานหนังสือทัน ดูเพิ่มเติม0
- แชร์
- 23
-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
บทความใหม่วันเสาร์ คลิกลิงก์อ่านได้เลย https://www.blockdit.com/posts/6776635c9ba9cfcca618f215
0- แชร์
- 3
-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา0
- แชร์
- 9
-
วินทร์ เลียววาริณ3 วันที่ผ่านมารักกันหนึ่งร้อยปีเรื่องสั้นรางวัล PEN ปี 2556งานศพของแม่ผ่านไปอย่างเรียบง่ายหมดจด แม่สั่งเสียก่อนตายว่าไม่ต้องมีพิธีกงเต๊ก ไม่ต้องฆ่าสัตว์เซ่นเทวดา แม่ไม่อยากให้สัตว์ตัวไหนต้องตายเพื่อเอาใจเทพทั้งหลาย... ในงานศพ ช่วงหลายปีสุดท้ายของชีวิต แม่กินเจทุกมื้อ แม่บอกเพียงว่าเบื่อเนื้อสัตว์เพราะกินมาทั้งชีวิตแล้ว แม้ไม่ได้ถือศีล แต่แม่ก็ใช้ชีวิตช่วงปลายเหมือนผู้ทรงศีล แม่บอกลูก ๆ ว่าขอจากไปอย่างเงียบ ๆ แม่มีทุกอย่างที่ต้องการแล้วในชีวิตนี้ต่างจากงานศพของพ่อซึ่งมีพิธีกรรมครบถ้วน งานศพของแม่ไม่มีนางชีจีนจากอารามชีมาเต้นกรีดกรายจนดูไม่เหมือนงานศพ ฉันไม่เคยรู้ว่าในโลกนี้มีนางชีที่ ‘เต้นรำ’ แทบทั้งหมดเป็นนางชีสาวสะพรั่ง เยื้องย่างกรีดกรายตามพิธีศพของชาวจีนฮักกา ซึ่งแม้แต่ฉันที่สืบเชื้อสายมาก็ไม่เคยรู้มาก่อนหลังพิธีฝังศพแม่ บรรดาญาติพี่น้องไปกินอาหารเที่ยงที่ไหหว้าเทียนขณะที่ฉันขอตัวกลับบ้าน ฉันนั่งหลบมุมที่หลังร้าน มุมที่ฉันชอบไปขลุกตอนฉันยังเป็นเด็ก ฉันไปเมืองหลวงหลายปี ใช้ชีวิตในต่างแดน แต่ไม่เคยลืมมุมนี้เสียงโทรศัพท์มือถือกังวานเบา ๆ อยู่ในกระเป๋า ฉันรู้ทันทีว่าใครโทร.มา ฉันเดินออกไปที่ลานหลังบ้านเพื่อรับโทรศัพท์ แม้รู้ว่าฉันเป็นคนเดียวที่อยู่ในบ้านตอนนี้ ฉันก็รู้สึกเหมือนพ่อกับแม่ผู้ล่วงลับไปแล้วจะได้ยินเสียงสนทนาของฉันกับเขา เขาถามว่างานศพแม่เรียบร้อยดีหรือ จะกลับกรุงเทพฯเมื่อไร ฉันตอบเขาว่า ฉันจะกลับกรุงเทพฯพรุ่งนี้ น้ำเสียงของเขาเรียบ ๆ แต่แฝงความห่วงใย เขารู้ว่าฉันรักเขาทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหัวใจของเขาไม่ว่าง ฉันไม่เคยคิดจะรักเขา แต่ทุกอย่างระหว่างเราลงตัวสนิทแนบแน่น ฉันหลงรักเขาโดยไม่อาจห้ามใจได้ จุดเดียวที่ผิดพลาดคือเราพบกันช้าเกินไป ฉันรู้จุดยืนของตัวเอง ฉันไม่ได้ต้องการเขาเป็นของฉันคนเดียว ฉันพยายามหนีจากวงโคจรชีวิตของเขาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งดาวเคราะห์เล็ก ๆ อย่างฉันก็ถูกแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์เช่นเขาดึงกลับไปหาทุกทีแม่รู้ความลับนี้ของฉันเมื่อสามปีก่อนตอนที่ฉันกลับมาเยี่ยมแม่ ในครอบครัวของฉัน มีแต่แม่คนเดียวที่รู้โดยที่ฉันไม่เคยบอกแม่เลยสักคำ ฉันนึกประหลาดใจว่าแม่อ่านอาการของคนที่รักข้างเดียวออกได้อย่างไร บางทีฉันคงเผลอพูดอะไรบางประโยคให้แม่จับได้ แม่เป็นคนช่างสังเกต อ่านฉันออกจากกิริยาท่าทางของฉันทะลุปรุโปร่งเช่นเมื่อครั้งฉันยังเป็นเด็กแม่ไม่ได้ดุฉัน เพียงแต่เปรยขึ้นลอย ๆ ว่า “ลูกรู้ใช่ไหมว่าทำไมลูกมีชื่อว่า เฟยเยี้ยน ?”แน่ละฉันรู้ แม่เคยเล่าว่าตอนที่ฉันยังอยู่ในท้องแม่ นกนางแอ่นตัวหนึ่งบินมาทำรังใต้หลังคาบ้านเรา ไม่รู้ว่ามันหลงมาจากทะเลได้อย่างไร และทำไมจึงคิดว่าใต้หลังคาเป็นถ้ำที่มันทำรัง แต่วันหนึ่งมันก็คงคิดได้และบินจากไป มันส่งเสียงร้องเหมือนลาแม่ขณะที่ฉันถีบแม่เบา ๆ ราวกับรับรู้เสียงนกนางแอ่น แม่จึงตั้งชื่อฉันว่า เฟยเยี้ยน แปลว่า นางแอ่นบินแม่ตั้งชื่อฉันได้ตรงกับนิสัยโดยบังเอิญ ฉันรักเสรี และฉันรักทะเลแม่บอกว่าความรักเป็นเหมือนนกนางแอ่นที่หลงทางตัวนั้น มันเป็นอิสระ ไม่อาจขังในกรง แต่วันหนึ่งมันก็ต้องหาทางกลับบ้านจนได้“อาเฟย ลูกรักใครก็ได้ ขออย่างเดียว อย่าทำเรื่องที่ทำให้ใครสักคนต้องเสียใจ”.....................................ฉันเดินเข้าไปห้องนอนของแม่ หยุดตรงหน้าตู้เสื้อผ้าเก่าสีน้ำตาลไหม้ บานตู้เป็นลูกฟักกระจกที่มีรอยด่างดำเกือบทั่ว แม่ใช้ตู้เสื้อผ้านี้ตั้งแต่สาวจนแก่ แม่เคยบอกว่าตู้ใบนี้เป็นของขวัญวันแต่งงาน เมื่อฉันยังเด็ก แม่เก็บเสื้อผ้าของเด็กในตู้ใบนี้ แต่เมื่อเราโตขึ้นและย้ายไปอยู่ห้องอื่น ก็มีแต่แม่ที่ใช้ตู้ใบนี้ แม้จะเก่า แต่ยังดูออกจากเนื้อไม้ ลวดลาย และฝีมือการประกอบตู้ที่ประณีตว่าเป็นตู้เสื้อผ้าที่มีราคาแพงทีเดียว หลังพ่อตาย แม่ยังเก็บชุดเสื้อผ้าของพ่อหลายชุดในตู้ เป็นความรักลึกซึ้งที่แม่มีต่อพ่อฉันสนิทกับแม่มากกว่าพ่อ อาจเพราะลึก ๆ ฉันเชื่อว่าฉันไม่ใช่ลูกที่พ่อรักที่สุด ตอนฉันเกิด หมอตำแยว่าเป็นผู้หญิง พ่อไม่มาดูเลยจนหนึ่งเดือนให้หลังเมื่อทำพิธีครบเดือน ต้มไข่ย้อมเปลือกสีแดง แม่เล่าว่าพ่อเห็นฉันแล้วก็เปลี่ยนใจฉันยิ้มให้พ่อ!เปิดตู้ออก สายตาเหลือบเห็นรอยสลักเป็นอักษรจีนแถวหนึ่งด้านในของบานตู้ ข้อความนั้นเขียนว่า “เชื่อมใจหนึ่งวัน รักกันหนึ่งร้อยปี” ฉันเกือบลืมไปแล้วว่ามีข้อความนี้บนตู้ ผ่านชีวิตศิลปินมานานปี ฉันมองออกว่ามันเป็นลายมือที่สวยงามและมีพลังภายในตู้วางเสื้อผ้าเก่า ๆ ของแม่เรียงเป็นระเบียบ แม่ใช้เสื้อผ้าแต่ละชุดจนเก่า แต่ไม่เคยทิ้ง แม้ลูก ๆ หกคนจะมีฐานะการงานดี แต่แม่ยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะเช่นเดิม ฉันหยิบเสื้อของแม่ออกมาตัวหนึ่ง เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกตามธรรมเนียมงานศพเก็บข้าวของต่าง ๆ ในตู้ออกมาใส่กล่อง บางส่วนทำลายทิ้ง บางส่วนคงต้องบริจาคไปรูปถ่ายหลายใบกองอยู่ในลิ้นชักชั้นบน ฉันหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งขึ้นมาดู นัยน์ตาหรี่ครุ่นคิด ความทรงจำไหลย้อนกลับเหมือนคลื่นที่กระทบผาหินแล้วกระแทกกลับเป็นวังวน มันเป็นรูปคู่แต่งงานหนุ่มสาวกับเพื่อนเจ้าบ่าว ถ่ายที่หน้าร้านรองเท้า ใบหน้าทั้งสามมีรอยยิ้มสดใสสามสิบปีผ่านไป ในวัยที่ผ่านชีวิตแต่งงานและรู้จักความรักระหว่างหนุ่มสาว ฉันมองภาพถ่ายใบนี้ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากสมัยที่เห็นรูปนี้ตอนเด็ก แม้ใบหน้าเพื่อนเจ้าบ่าวจะยิ้มแย้ม แต่ฉันมองเห็นรอยเศร้าอาบนัยน์ตาคู่นั้น.....................................ในลิ้นชักชั้นล่างสุดมีสมุดภาพวาดหลายเล่ม ฉันหยิบเล่มแรกขึ้นมาพลิก กระดาษวาดเขียนแผ่นหนึ่งที่เสียบอยู่หลุดออกมา เป็นรูปผลมะม่วงที่ฉันวาดตอนยังเป็นเด็ก คะแนน 9 เต็ม 10 ไม่รู้ว่าแม่เก็บสมุดวาดภาพของฉันไว้ตั้งแต่เมื่อใด ในสมุดวาดเขียนเล่มนั้นยังมีผลงานอื่น ๆ ที่ฉันวาดฉันหยิบสมุดวาดเขียนอีกเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกดู มือสั่นเล็กน้อย สมุดเล่มนั้นมีรูปสเก็ตช์ดินสอดำหลายรูป ทั้งหมดเป็นรูปหญิงคนหนึ่งฉันมองรูปสเก็ตช์ของใบหน้าผู้หญิงคนนั้นแล้วขนลุกซู่ การใช้ชีวิตเป็นจิตรกรอาชีพมาหลายปีและประสบการณ์ชีวิตในวัยนี้ทำให้ฉันมองรูปนี้ทะลุเข้าไปในนัยน์ตาคู่นั้น เห็นอิริยาบถของเธอชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เห็นร่างนั้นเคลื่อนไหวในครัวไม่หยุด ฉันนึกสงสัยว่าทำไมแม่ยังเก็บสมุดวาดเขียนเหล่านี้ไว้ แม่คงเชื่อว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของฉันบางอย่างในภาพวาดทำให้ฉันเดินไปที่ด้านหลังตึกแถว ฉันหยุดที่มุมหนึ่งซึ่งเก็บเครื่องมือทำรองเท้าจำนวนมากไว้ อ่างใส่กาวแดง หุ่นเท้าไม้ขนาดต่าง ๆ ยังคงวางเรียงรายเป็นระเบียบบนชั้น ท่อนซุงสามสี่ท่อนวางกองที่มุมห้อง เครื่องขยายรองเท้า มีดตัดรองเท้า หินลับมีด ด้ายเคลือบไข ตะปูขนาดต่าง ๆ กระป๋องกาวยาง และม้วนหนังสัตว์สีต่าง ๆ แท่นเหล็กรูปเท้าสามขา นอนนิ่งเหมือนซากศพ ฉันรู้สึกใจหายที่เห็นเครื่องมือทำรองเท้าเหล่านี้ในสภาพแน่นิ่งไร้คนจับต้อง หลังจากพ่อจากโลกไป ร้านรองเท้าก็ปิดกิจการลงโดยปริยาย แต่แม่ก็ยังเก็บข้าวของต่าง ๆ เสมือนหนึ่งพ่อยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อแม่จากไปอีกคน ฉันก็รู้ว่าภาพเครื่องมือหากินของคนทำรองเท้าเหล่านี้คงละลายไปในกาลเวลาอันสั้นฉันมองดูท่อนไม้สามสี่ท่อนเรียงกัน ท่อนไม้แต่ละท่อนคือโต๊ะทำงานของช่างทำรองเท้า พวกเขานั่งทำงานที่นั่นมานานหลายปี บางคนยาวนานถึง 30-40 ปี ทำรองเท้าทุกวัน ไม่มีวันหยุดเมื่อฉันยังเป็นเด็ก มุมที่เก็บเครื่องมือทำรองเท้าและหุ่นเท้าไม้ขนาดต่าง ๆ ในปัจจุบันไม่ใช่ที่เก็บของ แต่เป็นมุมทำงานของช่างทำรองเท้าคนหนึ่ง แยกห่างจากพื้นที่ของช่างคนอื่น ๆ มันอยู่นอกพื้นที่ของ ‘ส่วนของเรา’ มันเป็นพื้นที่ชีวิตของซานเฟิงซานเฟิง! ชื่อนี้หายไปจากความทรงจำของฉันมานานแล้ว แต่ในการมองแวบเดียว ทุกสิ่งก็วาบในความคิด(เรื่องยังมีอีกยาว).....................................จากเรื่องสั้นขนาดยาว รักกันหนึ่งร้อยปี อ่านฉบับเต็มได้ในเล่ม เส้นสมมุติอยู่ในชุดโปรโมชั่นพิเศษ https://www.facebook.com/photo/?fbid=1258378178984204&set=a.208269707328395 ซื้อเล่มเดี่ยว https://www.winbookclub.com/store/detail/96/เส้นสมมุติ ดูเพิ่มเติม0
- แชร์
- 32
