-
วินทร์ เลียววาริณ1 วันที่ผ่านมา
ใน คัมภีร์หลุนอวี่ (The Analects of Confucius) ขงจื๊อเขียนว่า “三人行,必有我師焉。擇其善者而從之,其不善者而改之。”
หมายความว่า สามคนเดินมา ต้องมีสักคนสามารถเป็นครูของเรา เราเลือกคุณสมบัติที่ดีเพื่อเดินตาม มองคุณสมบัติไม่ดี แล้วเลี่ยงหรือเปลี่ยนแปลงมัน
คำว่า 三 แปลตรงตัวว่า 3 แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายเฉพาะแค่สามคน แต่มีความหมายว่า ‘หลาย’ คือคนทุกคนสามารถเป็นครูของเรา ทั้งด้านที่เราเรียนเพื่อเดินตาม และเรียนเพื่อไม่เดินตาม
หลายคนติดนิสัยมองคนด้วยภาพลักษณ์แบบใดแบบหนึ่ง แล้วสร้างกรอบครอบคนคนนั้น เช่น มองนักโทษว่าเป็นคนไม่ดีเสมอ มองอลัชชีว่าเป็นคนชั่วด้านเดียว ดังนั้นย่อมไม่มีอะไรดีให้เราเรียนรู้ได้
ความจริงคือต่อให้เป็นคำพูด คำสอน หรือข้อเขียนของคนที่เราไม่ชอบ ก็สามารถใช้เป็นบทเรียนได้
ทุกอย่างทุกคนสามารถเป็นครูเป็นบทเรียนของเราได้ ถ้าเรามองให้ดี และข้ามพ้นกรอบคิดหรืออคติ
ไม่มีใครดีหมดหรือเลวหมด เราจึงควรเรียนรู้ทั้งส่วนดีและไม่ดีของเขา แล้ววิเคราะห์เพื่อพัฒนาตัวเราเอง
สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือเรียนแต่จากคนเดิม สิ่งเดิม กรอบคิดก็จะมีอยู่แค่นั้น
นี่ไม่ใช่การเรียนเพื่อขยายโลกทัศน์ แต่เป็นการเรียนเพื่อย่อโลกทัศน์
ไม่มีใครดีหมดหรือเลวหมด ตัวเราเองก็เหมือนกัน แต่เราสามารถปรับปรุงส่วนไม่ดีให้ดีขึ้น โดยเรียนรู้จากทุกอย่างที่ขวางหน้า
จาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า / วินทร์ เลียววาริณ
https://www.winbookclub.com/store/detail/187/เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
0- แชร์
- 18
-
ตอนนี้ผมชักกลัวแล้วซี!
อ่านคอมเมนต์เกี่ยวกับนิยายจีนกำลังภายในที่เพิ่งเขียนจบแล้ว ดูเหมือนผู้อ่านจำนวนไม่น้อยจะ :
1 ตั้งความหวังมากเกินไป
2 คาดหวังว่ามันจะเหมือนนิยายจีนกำลังภายในทั่วไป
ผู้อ่านขาจรที่ไม่ได้ตามข่าวการเขียนโครงการ เป่ย หนาน ตง ซี มาแต่แรก อาจไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่นิยายจีนกำลังภายในทั่วไป มันเป็นนิยายแนวทดลอง เป็นไซไฟในรูปนิยายกำลังภายใน
ไซไฟที่เป็นไซไฟจริงๆ ไม่ใช่แฟนตาซี
ทำไมมาแนวนี้?
ก็เพราะผมก็เห็นคล้ายโก้วเล้งตอนที่เขาเปลี่ยนแนวทางทางเขียน นั่นคือต้องการออกจากกรอบคิดเดิม เข้าไปในพื้นที่ใหม่
ในยุคก่อนนิยายกำลังภายในวนเวียนในคอนเส็ปต์เดิมๆ ไม่ล้างแค้นก็แก้แค้น ไม่แก้แค้นก็ล้างแค้น และตอนจบพระเอกฆ่าหัวหน้าคนร้าย แล้วได้สาวเจ็ดคนไปครอง
โก้วเล้งก็เขียนในแนวนี้ จนวันหนึ่งตอนสร่างเมา แกรำพึงรำพันกับตัวเองว่า “ถ้ากูขืนเขียนเรื่องแก้แค้นไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ กูก็คงเป็นโนบอดี้ เขียนมา 50 เรื่องเหมือนกันทุกเรื่อง”
โก้วเล้งบอกว่า ตลาดในสมัยนั้นมีนักเขียนนิยายกำลังภายในถึงสามร้อยคน เขียนเรื่องแบบเดียวกันหมด คนเขียนชินแบบนั้น คนอ่านก็ชินเรื่องแบบนั้น
มันกลายเป็นยุทธจักร fast food ไป เขียนตามสูตรสำเร็จ
โก้วเล้งหันไปมองกิมย้ง เขียนมาแต่ละเรื่อง ไม่เหมือนกันเลย พอถึงจุดที่ไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้อีกแล้ว (คือ 15 เรื่อง) กิมย้งก็หยุด
ว่าแล้วโก้วเล้งก็หันหน้าไปสู่มรรคาใหม่ เป็นที่มาของนิยายกำลังภายในนักสืบ เล็กเซี่ยวหงส์ นิยายกำลังภายในจอมโจร ชอลิ้วเฮียง นิยายเกี่ยวกับเพื่อนใน ฤทธิ์มีดสั้น เรื่องเกี่ยวกับด้านลบของชื่อเสียงใน ซาเสียวเอี้ย เรื่องเกี่ยวกับปรัชญาความรักอย่าง วีรบุรุษสำราญ แม้แต่เรื่องแก้แค้น แกก็ฉีกแนว 180 องศา พลิกสามตลบอย่าง ดาบจอมภพ
ทั้งหมดยังอยู่ในตระกูลนิยายกำลังภายในเหมือนกัน มีการต่อสู้ มีวิทยายุทธ์ มีเสี่ยวเอ้อและร้านเหล้าเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน แม้แต่การใช้ภาษาก็ต่างออกไป
จุดรำพึงของโก้วเล้งในวันนั้นเปลี่ยนแปลงยุทธภพของนิยายกำลังภายในโดยสิ้นเชิง
ไซไฟกำลังภายในเรื่องที่ผมเขียนเรื่องนี้ก็เหมือนกัน นั่นคือฉีกแนวออกไป
ในความคิดส่วนตัว ถ้าเขียนแบบขนบเก่า ก็ไม่รู้จะเขียนทำไม ไม่ท้าทายอะไร เพราะถ้าไม่ทดลองทางสายใหม่ ก็ไม่รู้จะเหนื่อยเขียนทำไมตั้งสี่ปี
ดังนั้นถ้าใครคาดหวังว่าเรื่องจะจบโดยพระเอกครองหญิงสาว 8 คน 10 คน ก็เตรียมผิดหวังได้เลย เพราะเรื่องนี้จะจบแบบไซไฟ
แม้เรื่องที่ผมเขียนจะเดินตามแนว old school อย่างกิมย้ง เรื่องมีฉากพระเอกตกเขา พบคัมภีร์ประหลาด มีการถ่ายลมปราณ แต่ทุกจุดรองรับด้วยไซไฟ
มันเข้าไปในพื้นที่งานอีกตระกูลหนึ่ง
หลายองค์ประกอบไซไฟอาจไม่แปลกแล้ว แต่ตอนที่เริ่มคิดเมื่อ 22 ปีก่อน นิยายกำลังภายในยังไม่ค่อยมาทางนี้
ก็มาถึงการชื่อเรื่อง
บางคนสงสัยว่าทำไมไม่ใช้ชื่อเป่ย หนาน ตง ซี ที่ตั้งไว้ตอนแรก
จุดนี้ทำไม่ได้เพราะต่างจากโครงเรื่องอำ เรื่องที่เขียนจริงไม่ได้มีแค่ เป่ย หนาน ตง ซี
อีกประการ เป่ย หนาน ตง ซี ไม่ได้เป็นแค่ชื่อทิศ
ประการสุดท้าย เป่ย หนาน ตง ซี ก็ผิดหลักภาษาจีน เพราะที่ถูกคือ ตงซีหนานเป่ย แต่มันก็ไม่เรียงลำดับการเดินเรื่อง
เป่ย หนาน ตง ซี จึงเป็นแค่ working title แต่ก็ใช้เป็นชื่อภาค (ทั้งหมดมี 5 ภาค)
ชื่อเรื่องสุดท้าย สี่ภพ ตั้งจากคอนเส็ปต์หลักของเรื่อง ต้องอ่านไป 2-3 เล่มจึงจะเข้าใจ
ถ้าผู้อ่านไว้ใจว่าผมสร้างงานที่แตกต่างด้วยสติปัญญาเต็มที่ และร่วมเดินทางไปด้วยกัน ก็อาจได้เสพประสบการณ์นิยายใหม่ ส่วนชอบหรือไม่ชอบนั้นผมไม่รู้
รู้แต่ว่าผมทำดีที่สุดในข้อจำกัดของความใหม่
ว.ล.
13-11-242 วันที่ผ่านมา -
บางคนสงสัยคนที่ชอบดูดาว มองท้องฟ้า "มองท้องฟ้าไปทำไม?"
นานปีมาแล้ว ขณะยืนเหนือหุบเขา แกรนด์ แคนยอน ที่สหรัฐฯ ผมทอดสายตามองดูเทือกผาตระหง่านกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ก็ให้รู้สึกอัศจรรย์ใจต่อพลังสร้างสรรค์ของธรรมชาติ เป็นความรู้สึกปีติผสมระทึกใจ
นานปีมาแล้วเช่นกัน ผมยืนกลางชายป่าในซีกโลกเหนือ ยามฤดูใบไม้ร่วงโอบกอดโลก ใบไม้สีแดงและเหลืองแต่งแต้มสีบนผืนป่าแทบทุกตารางนิ้ว ให้รู้สึกอัศจรรย์ จิตสงัดงันต่อภาพที่เห็น
อีกหลายหนในชีวิต ยามเงยหน้ามองฟ้าราตรี แลเห็นดวงดาราโปรยหว่านไปค่อนทางช้างเผือก ก็รู้สึกว่าตัวตนของเราช่างกระจิริด ยืนอยู่ ณ โลกใบเดิม แต่รู้สึกไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกอัศจรรย์ผุดขึ้นอาบหัวใจ
ความรู้สึกแบบนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า awe แปลตรงตัวว่าความยำเกรง ครั่นคร้าม เคารพ แต่บริบทที่เรามักใช้กันคือความรู้สึกผสมปนเประหว่างความเคารพ ความยำเกรง ความทึ่ง ความตื่นตาที่เกิดจากการพบเห็นบางสิ่งที่น่าอัศจรรย์หรือศักดิ์สิทธิ์ เช่น ไปชมนครวัด หรือพีระมิด หรือภูเขาฟูจิ หรือมองดูป่าไม้แดงยักษ์ที่แคลิฟอร์เนีย หรือพบปะใครคนหนึ่งที่น่าทึ่งน่าอัศจรรย์
บางครั้งการมองสายฝนโปรยปราย ดวงอาทิตย์ตกดิน พระจันทร์เหนือผิวน้ำ ก็สามารถทำให้จิตเรารู้สึกอ่อนโยนลง สัมผัสอัศจรรย์แห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ได้
อยู่กับปัจจุบัน รับรู้ความเป็นไปของจักรวาล
ธรรมชาติเป็นยารักษาใจอย่างหนึ่ง นี่เองที่ทำให้เรารู้สึกสงบสงัดเมื่ออยู่กับธรรมชาติ เพราะเราก็คือปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งในจักรวาล
การเข้าป่า แลเห็นต้นไม้ใหญ่ ภูผาตระหง่าน สายน้ำ ทำให้เรารู้สึกเล็กนิดเดียว และรู้สึกเกรงขามต่อธรรมชาติ
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ก็จะไม่เอ่ยว่า "มองท้องฟ้าไปทำไม?"
ท่อนหนึ่งจากบทความ สัมผัสอัศจรรย์แห่งชีวิต
หนังสือ ปฏิบัติการผ่าสมองไอน์สไตน์วินทร์ เลียววาริณ
................................
สนใจหนังสือ โปรโมชั่น Shopee คลิกลิงก์ https://shope.ee/6KgvYw47A4?share_channel_code=6เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/243/%28S11%29%20%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%20+%20%E0%B8%9B%E0%B8%8E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%8C%20+%20Mini%20Tao
2 วันที่ผ่านมา -
ในวัยเด็ก ผมเห็นนิยายกำลังภายในวางเกลื่อนแผงหนังสือ ทั้งหมดเป็นพ็อคเก็ตบุ๊คบางๆ เล่มละ ๓-๕ บาท ปรับราคาไปตามเวลา พ็อคเก็ตบุ๊คเหล่านี้วางแผงทุกสัปดาห์ คนอ่านก็ต้องตามซื้อไปทีละเล่ม
นิยายหนึ่งเรื่องอาจมีพ็อคเก็ตบุ๊คหลายสิบเล่มไปจนร้อยเล่ม
เมื่อจบเรื่องแล้ว สำนักพิมพ์จะรับพ็อคเก็ตบุ๊คคงค้างกลับไป ฉีกปกออก แล้วนำมาเย็บรวมเล่ม ใส่ปกแข็ง นำมาจำหน่ายอีกรอบ
ปกหน้าของหนังสือนิยายกำลังภายในในยุค ๕๐ ปีก่อนเป็นรูปวาดลายเส้น ลงสีน้ำเหมือนกันหมด ค่อนข้างหยาบ เหตุผลก็เพราะจิตรกรต้องวาดภาพจำนวนมาก และต้องผลิตเร็ว ไม่มีเวลาให้ทำงานวิจิตรบรรจงนัก อีกประการต้นทุนก็ต้องต่ำที่สุด
ตลาดนิยายจีนกำลังภายในรุ่งเรืองมาก ผลิตขายกันเป็นล่ำเป็นสัน แปลเร็ว วาดเร็ว พิมพ์ขายเร็ว!
เพื่อรักษาบรรยากาศ nostalgia ผมจึงเจตนาออกแบบปก สี่ภพ โดยลอกลายเส้นเดิมของปกเก่าๆ มาดัดแปลง พยายามรักษาสีสันและ ‘ความหยาบ’ ตามหนังสือในยุคนั้น
ผู้อ่านที่มีอายุเกิน ๕๐ ไปขึ้นไป น่าจะจำได้
วินทร์ เลียววาริณ
๑๒-๑๑-๖๗ป.ล. นี่เป็นแซมเปิ้ล ยังไม่ได้พิมพ์จริงนะครับ
(ต่อจากโพสต์ก่อน
https://www.facebook.com/photo?fbid=1159154532239903&set=a.208269707328395และ
https://www.facebook.com/photo?fbid=1159834152171941&set=a.208269707328395 )
3 วันที่ผ่านมา -
(หมายเหตุ ก่อนที่จะมีใครคอมเมนต์ว่าสะกดผิด พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานพิมพ์ว่า หยั่วเมือง, อยัวเมือง, ยั่วเมือง = คำเรียกสนมเอกสมัยโบราณ)
.............................
ชายสี่คนชุมนุมกันในเรือนรโหฐานหลังหนึ่งลับตาผู้คน คนที่เป็นหัวหน้าชื่อขุนพิเรนทรเทพ ที่เหลือคือขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา และหลวงศรียศ ทั้งสี่กำลังวางแผนลอบปลงพระชนม์กษัตริย์
“กรมการเมืองลพบุรีแจ้งมาว่าพบช้างเผือก หากเราทูลพระองค์ว่าการเสด็จไปคล้องช้างเป็นพระบารมีต่อราชบัลลังก์ พระองค์ก็จะเสด็จไปที่นั่น”
“คล้องช้างที่ใด?”
“ที่เพนียดวัดซอง”
“ถ้าเช่นนั้นขบวนเสด็จไปได้ทางเดียวคือชลมารค ตามลำคลองสระบัว”
“ใช่ เราจะนำกำลังไปซุ่มที่คลองบางปลาหมอ เมื่อเรือล่องไปถึงปากคลองสระบัวที่บรรจบกับคลองบางปลาหมอ ก็ปลงพระชนม์ที่นั่น”
การชิงอำนาจครานี้มิใช่เพื่อตัวเอง หากเป็นภารกิจที่ต้องกระทำ
เพื่อราษฎรหรือเพื่อตัวเอง?
..............................
อาณาจักรศรีอยุธยากำเนิดจากราชวงศ์อู่ทอง โดยใช้พระนามพระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑) เป็นชื่อราชวงศ์ ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่ากำเนิดของราชวงศ์นี้มาจากไหน บางตำนานว่าต้นราชวงศ์มีความเกี่ยวดองกับละโว้ บ้างว่าราชวงศ์นี้อาจมีเชื้อสายลาว บางทีจึงเรียกว่า ราชวงศ์ละโว้-อโยธยา หรือราชวงศ์เชียงราย
ราชวงศ์อู่ทองครองแผ่นดินนาน ๕๙ ปี ก็สิ้นสุด กษัตริย์องค์สุดท้ายคือสมเด็จพระรามราชาธิราช ถูกราชวงศ์สุพรรณภูมิชิงอำนาจในปี พ.ศ. ๑๙๕๒
แม้จะหมดอำนาจ แต่เชื้อสายของราชวงศ์อู่ทองยังดำรงบทบาทในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา ทำหน้าที่เป็นปุโรหิตดูแลกิจการพิธีกรรมในราชสำนัก ส่วนผู้หญิงมักถูกส่งไปเป็นพระสนมในพระมหากษัตริย์
ในปี พ.ศ. ๒๐๗๖ บัลลังก์อยุธยาเป็นของพระรัษฎาธิราช ยุวกษัตริย์พระชนมายุห้าพรรษา โอรสของพระอาทิตยวงศ์ (สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔)
พระอาทิตยวงศ์เสวยราชย์ในปี พ.ศ. ๒๐๗๒ สวรรคตด้วยพระโรคไข้ทรพิษในปี พ.ศ. ๒๐๗๖ มีอนุชาอีกสองพระองค์คือ พระไชยราชาและพระเฑียรราชา
พระรัษฎาธิราชครองราชย์ได้ห้าเดือน พระไชยราชาก็ชิงบัลลังก์ และสำเร็จโทษราชนัดดา ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ พระนาม สมเด็จพระไชยราชาธิราช
สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงมีพระโอรสจากพระอัครมเหสี คือพระยอดฟ้า และจากท้าวศรีสุดาจันทร์ คือพระศรีศิลป์
อันตำแหน่งพระสนมเอกของพระมหากษัตริย์เรียกว่า ท้าวศรีสุดาจันทร์ ตามธรรมเนียมวัง พระชายาองค์ใดให้กำเนิดพระโอรสที่จะสืบราชบัลลังก์ พระชายาองค์นั้นจะมีสถานภาพสูงกว่าพระชายาองค์อื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ชาติตระกูลของท้าวศรีสุดาจันทร์มิอาจก้าวขึ้นมาเป็นพระมเหสีได้ เป็นเพียงแม่หยั่วเมือง (สนมเอก)
ท้าวศรีสุดาจันทร์ผู้นี้ทรงสิริโฉมงดงามร่ำลือไปทุกทิศ ความงามของนางพานางไปสู่รั้ววัง แต่ความเฉลียวฉลาดพานางไปถึงยอดบัลลังก์ ท้าวศรีสุดาจันทร์แสดงความคิดเห็นใด ราชันย์ก็ทรงเชื่อ
ในปี พ.ศ. ๒๐๘๘ เกิดการเปลี่ยนอำนาจที่เชียงใหม่ สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงเกรงว่าล้านนาจะแผ่อำนาจเกินไป จึงทรงแต่งทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ตอนกลางปี แต่ไม่สำเร็จ ครั้นปลายปีก็ยกทัพไปตีใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ตีได้เมืองลำพูนและเชียงใหม่ หลังจากนั้นก็เสด็จฯกลับอยุธยา
ระหว่างที่ทรงยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ พระไชยราชาธิราชทรงมอบให้ท้าวศรีสุดาจันทร์ดูแลกิจการบ้านเมือง เป็นครั้งแรกที่อำนาจอยู่ในกำมือของเชื้อสายราชวงศ์อู่ทองอีกครั้ง
..............................
วันหนึ่งพระแม่เจ้าอยู่หัวศรีสุดาจันทร์ดำเนินผ่านพระที่นั่งพิมานรัตยาหอพระหน้า ทอดพระเนตรเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ทรงถามนางกำนัล “คนผู้นั้นคือใคร?”
“คือท่านบุญศรี ตำแหน่งพันบุตรศรีเทพ ผู้เฝ้าหอพระ”
“เขามาจากที่ใด?”
“เขาสืบเชื้อสายจากเจ้าเมืองศรีเทพ”
เมืองศรีเทพเป็นเมืองลูกหลวงสมัยราชวงศ์อู่ทอง
“เขาเป็นเชื้อสายอู่ทอง?”
“ใช่พระเจ้าข้า”
“ถ้าเช่นนั้นจงนำเมี่ยงหมากไปมอบให้เขา”
นางกำนัลทำตามพระราชเสาวนีย์และกลับมาพร้อมดอกจำปา
“ท่านพันบุตรศรีเทพมอบมาให้พระองค์”
เมี่ยงหมากกับดอกจำปา อู่ทองกับอู่ทอง ความสัมพันธ์บังเกิด
เมี่ยงหมากกับดอกจำปามองเห็นโอกาสที่หายากยิ่ง
และผู้ใดจะปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดลอยไป?
การชิงอำนาจครานี้มิใช่เพื่อตัวเอง หากเป็นภารกิจที่ต้องกระทำ
เพื่อราษฎรหรือเพื่อตัวเอง?
..............................
หลังจากมีความสัมพันธ์กับพันบุตรศรีเทพ ท้าวศรีสุดาจันทร์ก็ทรงขับขุนชินราชคนเดิมออกไปอยู่ตำแหน่งอื่น ให้พันบุตรศรีเทพขึ้นดำรงตำแหน่งแทน จากนั้นก็เพิ่มอำนาจให้ชู้ โดยเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นไปอีกเป็นขุนวรวงศาธิราช
พันบุตรศรีเทพพลันขึ้นมาเป็นใหญ่ในวงการเมืองอย่างก้าวกระโดด
เมี่ยงหมากกับดอกจำปากลายเป็นส่วนผสมใหม่ของการเมืองแห่งอยุธยา
ขุนนางคนหนึ่งนามพระยามหาเสนาไม่เห็นด้วยกับการขึ้นสู่อำนาจของขุนวรวงศาธิราช เปรยกับข้าราชการคนอื่น ๆ ว่า “แผ่นดินกลายเป็นทุรยุคไปแล้ว”
ผลก็คือราตรีหนึ่งพระยามหาเสนาถูกคนร้ายลึกลับสังหาร ตามมาด้วยคำสั่งฆ่าข้าราชการหลายคนที่ขวางทางอำนาจ ขุนนางที่เหลือก็เงียบเสียงลง ด้วยรู้ว่าพายุการเมืองกำลังแรง และน้ำเชี่ยวมิควรเอาเรือขวาง
ความขัดแย้งยังลามไปถึงพระเฑียรราชา เชษฐาแห่งสมเด็จพระไชยราชาธิราช ด้วยแรงพายุการเมือง พระเฑียรราชาทรงเลือกหนทางผนวชที่วัดราชประดิษฐาน
สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงยกทัพกลับจากเชียงราย แม่หยั่วเมืองต้อนรับพระสวามีด้วยยาพิษ
ครั้นสมเด็จพระไชยราชาธิราชสวรรคต พระยอดฟ้าก็ขึ้นครองราชย์ เนื่องจากพระชันษายังเยาว์เพียงสิบเอ็ดพรรษา นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์จึงรับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ในปี พ.ศ. ๒๐๙๑ นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์เรียกประชุมขุนนาง กล่าวว่า “สมเด็จพระยอดฟ้ายังทรงพระเยาว์ หัวเมืองเหนือก็ไม่เป็นปกติ ข้าฯเห็นว่าสมควรให้ขุนวรวงศาธิราชว่าราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่าสมเด็จพระยอดฟ้าทรงเจริญพระชนมายุสมควร”
อีกครั้งเหล่าขุนนางเห็นชอบโดยพร้อมเพรียงกัน
ลูกขุนพลอยพยักมักมีชีวิตยืนยาวกว่า
เช่นเดียวกับสตรีที่เข้าสู่จุดสูงสุดของวงการเมืองในประวัติศาสตร์ของทุกอารยธรรม นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ทรงใช้อาวุธสำคัญคือความงามและสายสัมพันธ์พิเศษเข้ากุมอำนาจ
ในวงการเมือง อำนาจมักมาพร้อมกับข้ออ้าง
เมื่อขุนวรวงศาธิราชขึ้นครองราชย์ ก็ทรงสถาปนานายจัน ช่างตีเหล็กผู้เป็นน้องชายเป็นพระมหาอุปราช แล้วสำเร็จโทษสมเด็จพระยอดฟ้าที่วัดโคกพระยาในวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๐๙๑
การ ‘ปราบดาภิเษก’ ของขุนวรวงศาธิราช ทำให้ขุนนางหลายคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และอีกกลุ่มหนึ่งไม่พอใจอย่างยิ่งที่ราชวงศ์อู่ทองยึดอำนาจเงียบ ๆ เป็นที่มาของการวางแผนลอบปลงพระชนม์ นำโดยขุนพิเรนทรเทพ เจ้ากรมพระตำรวจขวา
พวกเขาเพียงต้องรอคอยโอกาส
โอกาสมาถึงเมื่อมีข่าวจากเมืองลพบุรีว่าพบช้างเผือก
ขุนพิเรนทรเทพกล่าวกับพวกว่า “โอกาสมาถึงแล้ว”
“เราควรให้แน่ใจก่อน”
“อย่างไร?”
“เสี่ยงเทียนว่าพระเฑียรราชามีพระบารมีมากกว่าขุนวรวงศาธิราชหรือไม่”
ขุนพิเรนทรเทพกล่าวว่า “ข้าฯมิเห็นด้วย หากจะก่อการ ก็จงทำ”
แต่ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา และหลวงศรียศ เห็นว่าควรเสี่ยงเทียน
ราตรีหนึ่งผู้ก่อการทั้งหมดก็รวมตัวกัน ณ พระอุโบสถวัดป่าแก้วเพื่อทำพิธีเสี่ยงเทียน
พวกเขาจุดเทียนสองเล่ม ผลคือเทียนของขุนวรวงศาธิราชยาวกว่าเทียนของพระเฑียรราชา
ขุนพิเรนทรเทพโกรธ คายชานหมากทิ้ง ชานหมากนั้นกระทบถูกเทียนขุนวรวงศาธิราชดับวูบ ผู้ก่อการถือเป็นนิมิตว่าการครั้งนี้สำเร็จแน่
ขุนวรวงศาธิราชรับสั่งให้กรมการเมืองลพบุรีไปจับช้าง เมื่อช้างเผือกเข้าเพนียดวัดซอง พระองค์จึงจะเสด็จไปทัศนา ก่อนไปทรงส่งอุปราชจันน้องชายไปดูแลการคล้องช้าง เป็นเวลาเดียวกับที่พระยาพิชัยกับพระยาสวรรคโลก ข้าราชการเมืองเหนือเข้าร่วมก่อการด้วย
แผนก่อการเริ่มเมื่อหมื่นราชเสน่หาลอบซุ่มยิงอุปราชจันตายที่ท่าเสื่อระหว่างทางไปเพนียด
ครั้นถึงวันคล้องช้าง ขุนวรวงศาธิราช นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และพระธิดาเสด็จทางชลมารคเพื่อไปที่เพนียดวัดซองย่านหัวรอ
ขบวนเรือล่องถึงปากคลองสระบัวซึ่งบรรจบกับคลองบางปลาหมอ เรือพระที่นั่งก็แล่นเข้าสู่ปากเสือ กำลังทหารของขุนพิเรนทรเทพกรูเข้าจับขุนวรวงศาธิราช นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และพระธิดา สำเร็จโทษทั้งหมดที่คลองสระบัว พระศพถูกเสียบประจานที่วัดแร้ง
ครองราชย์ได้เพียง ๔๒ วัน
หลังจากนั้นคณะผู้ก่อการไปขอให้พระเฑียรราชาลาผนวชเพื่อเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ ทรงพระนามสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
พระราชพงศาวดาร จดหมายเหตุ ตำนานทั้งหลายล้วนบอกว่าท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นคนเลวร้าย จนกระทั่งลบชื่อกษัตริย์องค์นี้ทิ้ง แม้ขุนวรวงศาธิราชจะขึ้นครองราชย์โดยผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว แต่นามนี้กลับไม่อยู่ในรายพระนามกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีเพียง ๓๓ พระองค์ ชื่อของเขาถูกลบออกจากประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์บันทึกเรื่องจากมุมมองของผู้ชนะเสมอ โลกจึงมิได้รู้ความจริงอีกด้านหนึ่ง เป็นไปได้หรือไม่ที่ท้าวศรีสุดาจันทร์ทำการนี้เพื่อทวงบัลลังก์คืนให้ราชวงศ์อู่ทอง หลังจากถูกราชวงศ์สุพรรณภูมิยึดครอง? เป็นไปได้หรือไม่ที่พระนางสมคบกับขุนวรวงศาธิราช เพราะเขาเป็นคนของราชวงศ์อู่ทองเช่นกัน? หรือเพราะตกบันไดพลอยโจน เมื่อผิดประเวณีกับขุนชินราชและทรงพระครรภ์ ก็ก่อรัฐประหาร ปราบดาภิเษก ยกบัลลังก์ให้คนรัก?
อำนาจคือไฟ ความพิศวาสก็คือไฟ การเล่นกับไฟทุกครั้งมีภยันตราย
และส่วนผสมของอำนาจกับความพิศวาสคือหายนะ
หมายเหตุ บางตำราว่าสมเด็จพระไชยราชาธิราชสวรรคตระหว่างทางกลับจากเชียงใหม่
พระเฑียรราชาสถาปนาขุนพิเรนทรเทพเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก ยกพระธิดาคือพระวิสุทธิกษัตรีย์ให้เป็นมเหสี
จาก ประวัติศาสตร์ที่เราลืม เล่ม ๒ วินทร์ เลียววาริณ
.................................
ตอนนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษ 6 เล่ม
Shopee: https://s.shopee.co.th/9f3bQ2LFrC
เว็บ : https://www.winbookclub.com/store/detail/176/%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%20%E0%B9%91-%E0%B9%95%20+%20%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9
3 วันที่ผ่านมา -
วันนี้ขอเสนอเลขมงคล ให้ฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายให้ซินแสรายไหนสักบาทเดียว
เลขมงคลเหล่านี้ผู้ใดยึดไว้ใช้ ก็จะเกิดมงคลจริงแน่นอน เลขเหล่านี้ใช้แทงหวยไม่ได้ แต่ถูกล็อตเตอรีแห่งชีวิตได้ ใช้เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือให้โชคดีไม่ได้ แต่เปลี่ยนโลกทัศน์ของชีวิตได้ ใช้เพื่อสิริมงคลไม่ได้ แต่มันให้มากกว่าสิริมงคลร้อยเท่า
เลข 1
คือการเกิดมาในรูปของเราคนเดียว ทั่วทั้งจักรวาลมีเราเพียงคนเดียวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบที่เราเป็น นี่ย่อมเป็นเลขมงคล เพราะเราพิเศษจังเลย!เลข 2
เรามีสองมือสองเท้า นับเป็นมงคลอย่างยิ่ง ดังนั้นทำงานให้เต็มที่ไปเลยเลข 3
ตัวเลขแห่งพระรัตนตรัย นำมงคลมาสู่ชีวิต หากเราให้หลักธรรมนำทางเลข 4
ตัวเลขแห่งอริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เคล็ดลับสู่ความสุขสงบสันติเลข 5
คือศีล 5 รักษาได้ ชีวิตก็เป็นมงคลเลข 6
ก็คือทิศหก บุคคลหกพวกที่เราเกี่ยวข้อง บิดา มารดา ครูอาจารย์ สามีภรรยา มิตรสหาย สมณะชีพราหมณ์ ลูกจ้างกับนายจ้าง ทำดีกับพวกเขา ชีวิตก็เป็นมงคลเลข 7
โชคดีจังที่เรามีเจ็ดวันต่อหนึ่งอาทิตย์! หกวันก็น้อยไป แปดวันก็มากไป เจ็ดวันกำลังดีเลข 8
คือศีล 8 รักษาไว้ย่อมเป็นมงคลเลข 9
คือจำนวนเดือนในท้องแม่ ระลึกถึงพระคุณแม่แล้วเป็นมงคลอย่างยิ่งเลข 10
เราเกิดมามีสิบนิ้ว ใช้ให้เต็มที่ ก็ย่อมเป็นมงคลเลข 24
คือจำนวนชั่วโมงในหนึ่งวัน เป็นมงคลจริง ๆ เพราะแทนที่โลกจะให้เรา 19 ชั่วโมงซึ่งน้อยไปนิด หรือ 28 ชั่วโมงซึ่งมากไปหน่อย โลกกลับใจดีให้เราถึง 24 ชั่วโมง มากพอจะทำการใด ๆ ได้เลข 50
ครึ่ง ๆ คือ 50 ทุกครั้งที่คิดหาคำตอบ จะมองสองทางเพื่อคานปัญญากัน มันเปิดโลกทรรศน์เราให้คิดอีกทางเสมอ ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆเลข 99
เป็นเลขมงคลตามที่ ธอมัส เอดิสัน ว่าชีวิตคือการทำงานหนัก 99% อีก 1% เป็นไอเดีย การทำงานหนักก็คือมงคลชีวิตอย่างหนึ่งเลข 100
เป็นเลขมงคลอย่างยิ่ง เพราะเมื่อเราทำงานเต็มร้อยทุกวัน ชีวิตก็มีโอกาสเจริญรุ่งเรืองเลข 101
งานตั้งเป้าที่ 100 แต่ทำเกินเป็น 101 ชีวิตย่อมมีแต่ดีขึ้น ๆ พัฒนาขึ้น เจริญขึ้นเลข 126
ตัวเลขเริ่มต้นของโรคเบาหวาน ตัวเลขนี้ช่วยเตือนให้เราระวังเรื่องการกิน คนโบราณไม่รู้เรื่องตัวเลขนี้จึงป่วยเป็นโรคร้ายนี้กัน ในเมื่อเรารู้ และรักษาระดับน้ำตาลในตัวเราไม่ให้เกินเลขนี้ ก็ย่อมเป็นมงคลแห่งชีวิตเลข 6-12-6
คือ C6H12O6 เป็นสูตรเคมีของน้ำตาล ต้องกินพอประมาณ ถ้ากินมากก็ออกกำลังกาย เผามันทิ้งเสีย เมื่อนั้นเลขนี้ก็คือมงคลเลข 4,600,000,000
เลขอายุของโลก เป็นมงคลจริง เพราะเราได้เกิดมาในโลกนี้ที่ตัวเลขนี้เลข 13,700,000,000
เลขอายุของจักรวาลเป็นมงคลยิ่ง เพราะน่าทึ่งที่เราได้เกิดมาในจักรวาลนี้ยังมีตัวเลขมงคลอีกมากมายรอชี้ทางสว่างให้เรา
นี่หมายความว่าในบรรดาตัวเลขนับไม่ถ้วน ไม่มีตัวเลขอัปมงคลเลยหรือ? คำตอบคือมีเลขเดียว นั่นคือเลข 0
หากท่านไม่ทำงาน รอแต่ชะตาฟ้าดิน ความรู้ของท่านก็จะเท่ากับศูนย์ ความเจริญก้าวหน้าก็เท่ากับศูนย์ เงินทองก็คือสูญ และนี่คือความอัปมงคลแห่งชีวิตซึ่งมีสองมือสองเท้า แต่เลือกไม่ทำอะไร รอความช่วยเหลือจากอำนาจเหนือธรรมชาติอย่างลม ๆ แล้ง ๆ
แต่อีกนั่นแหละ ทุกอย่างอยู่ที่มุมมอง เลข 0 ก็เป็นมงคลได้ หากมองว่า 0 คือความว่างเปล่า ชีวิตคือมายา ไม่มีสาระ ไม่มีมงคล ไม่มีอัปมงคล
ชีวิตก็ไหลไปเช่นนั้นเอง
สัตว์โลกเป็นไปตาม ‘กรรม’ นั่นคือไม่ทำงานก็ไม่ก้าวหน้า ไม่ขยันก็ไม่รุ่งเรือง ไม่ทำอะไรมงคลก็คือเลข 0 และชีวิตที่เกิดคือความสูญเปล่า
ตัวเลขทุกตัวเป็นมงคลหากมองให้เห็น มองให้เป็น
จากหนังสือ รอยยิ้มใต้สายฝน
วินทร์ เลียววาริณhttps://www.winbookclub.com/store/detail/139/รอยยิ้มใต้สายฝน
3 วันที่ผ่านมา