-
วินทร์ เลียววาริณ2 เดือนที่ผ่านมา
ผมดูหนังของฉีเคอะตั้งแต่เรื่องแรกของเขา ที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งที่สิงคโปร์ คือเรื่อง The Butterfly Murders (蝶變) หนังแปลกแหวกแนวฉีกจากงานกำลังภายในทั่วไป ผมชอบจากนั้นก็ดูมาเรื่อยๆ เมื่อมีโอกาส ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ยอมรับว่าเขามีลูกบ้าพอตัว
ฉีเคอะจับหนังกำลังภายในงานของกิมย้งครั้งแรกเรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักร ชื่อหนังที่เรารู้จักกันดีคือ เดชคัมภีร์เทวดา
ฉีเคอะกล้าหาญและแหกคอกที่เอาตังฮึงปุกป่าย (มิชายมิหญิง) มาเป็นตัวเอก และให้นักแสดงหญิงหลินชิงเสียมารับบท ถือว่าแหวกแนวมาก
หนังประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่กิมย้งเกลียดมัน
กิมย้งรับไม่ได้ที่ฉีเคอะเอางานของเขาไป 'ตีความ' (สุภาพกว่าคำว่า 'ปู้ยี่ปู้ยำ') แบบนี้ และไม่อนุญาตให้ฉีเคอะเอาหนังสือของเขาไป 'ตีความ' อีก
ตอนนี้กิมย้งจากโลกไปแล้ว ก็ถึงคิว 'ตีความ' มังกรหยก
มังกรหยก เป็นนวนิยายเรื่องที่สามของกิมย้ง เป็นจุดเปลี่ยนแปลงของวรรณกรรม กิมย้งร่วมกับเนี่ยอู้เซ็งสร้างตระกูลวรรณกรรม (genre) ใหม่ สร้างยุทธภพแบบใหม่ขึ้นมา กิมย้งเป็นคนประดิษฐ์พรรคกระยาจกและอื่นๆ อีกมากมาย มังกรหยกเป็นหมุดหมายสำคัญของโลกหนังสือ
กิมย้งถือเป็นปรมาจารย์นิยายกำลังภายใน หรือบู๊เฮียบ (武侠)
บู๊คือการต่อสู้ วิทยายุทธ์สำนักต่าง ๆ มีทั้งเพลงมวยและเพลงอาวุธ อาวุธลับ ฯลฯ
เฮียบคือความกล้าหาญ คุณธรรม ความเสียสละ
นิยายตระกูลนี้คือการต่อสู้ในโลกสมมุติที่เรียกว่ายุทธจักร หรือบางเรื่องก็ใช้ฉากประวัติศาสตร์จริง เช่นที่กิมย้งทำ
ถ้าหลุดออกจากธรรมนูญนี้ก็คือนิยายตระกูลอื่น ไม่ใช่นิยายบู๊เฮียบ
ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา การสร้างหนังกำลังภายในเริ่มแบบ old school คือการต่อสู้ด้วยวิชาต่างๆ กระโดดขึ้นหลังคาหรือยอดไม้บ้าง แต่ยังหลุดจากหลักฟิสิกส์ไม่มากนัก
ต่อมามันก็เปลี่ยนไปเป็นแฟนตาซี นั่นคือวิชาการต่อสู้พิสดารพันลึก หลุดพ้นกฎฟิสิกส์ทุกข้อ เช่น จอมยุทธ์เหาะได้ ฟาดฝ่ามือที แผ่นดินภูผาแตกกระจาย รัศมีเฮ้ากวงแผ่ไปทั่ว
นี่ไม่ใช่บู๊เฮียบแล้ว นี่คือนิยายแฟนตาซี
มังกรหยก ถูกสร้างเป็นหนังนับครั้งไม่ถ้วน เนื่องจากหนังสือมีเนื้อหายาว มีหลายมิติ ดังนั้นสามารถสร้างเป็นหนังคนละเรื่องกันได้
ก็มาถึง มังกรหยก ฉบับล่าสุด (射雕英雄传:侠之大者) หรือ Legends of the Condor Heroes: The Gallants
ถ้ากิมย้งยังมีชีวิตอยู่ ดูหนังเรื่องนี้แล้วคงไม่ปลื้ม เพราะมันไม่ใช่บู๊เฮียบ มันคือ Lord of the Rings และ Dracula Untold ฉบับจีน ที่มีความเป็นนิยายกำลังภายในสัก 30 เปอร์เซ็นต์
ตัวละครพิษประจิมอาวเอี๊ยงฮงกลายเป็นลอร์ดเซารอน มีพลัง anti-gravity บินได้ มีพลังรังสีแผ่รอบตัว
นี่ยังไม่ได้บอกว่าหนังเรื่องนี้ดีหรือไม่ดี แค่บอกว่ามันไม่ใช่หนังกำลังภายใน มันเป็นหนังแฟนตาซี
เอาละ จะมาแนวแฟนตาซีก็ได้ เพราะเป็นสิทธิของผู้กำกับ จะให้ก๊วยเจ็งถือปืนอย่างโรเมโอใน Romeo + Juliet ฉบับ บาซ เลอร์แมนน์ ก็ได้ คำถามคือแล้วหนังทำได้ดีหรือไม่
หนังเปิดฉากเหมือนรวม recap ของเหตุการณ์ต่างๆ เป็นท่อนๆ แล้วคาดหวังว่าคนดูจะเข้าใจเอาเอง หนังใช้องค์ประกอบของนวนิยายของกิมย้งแบบแตะนิดหน่อย เราไม่รู้ว่าอินทรีสองตัวมาทำไม มันทำได้แค่ประกอบฉาก (เพราะนิยายกิมย้งเขียนถึง) หนังพูดถึงจอมยุทธ์ห้าคน แต่ใช้แค่อาวเอี้ยงฮงเป็นตัวหลัก อั้งฉิกกงโผล่หน้ามานิดหน่อย ที่เหลืออีกสามคนแค่เปรยๆ (เพราะนิยายกิมย้งเขียนถึง)
หนังหยิบชิ้นส่วนต่างๆ ในนิยายมายำใหม่ โดยไม่ปูเรื่องว่าทำไม เราไม่เห็นพัฒนาการของตัวละคร เราไม่รู้ว่าคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งมาจากไหน มีเพื่ออะไร เราไม่รู้ว่าเป็นที่หนึ่งในยุทธจักรแล้วจะทำไม ในความเห็นส่วนตัวของผม ปัญหาของหนังเรื่องนี้คือ sequence การเดินเรื่องที่สะดุดเป็นระยะ
หนังมีโมเมนต์ดีหลายท่อน (ฉากสนามรบสุดท้ายคล้ายยืมมาจากฉากเฉียวฟงกลางสองทัพใน แปดเทพอสูรมังกรฟ้า) แต่ก็มีโมเมนต์ "มาทำไม" และ "อิหยังวะ" อีกหลายจุด
มังกรหยก ฉบับนวนิยายนั้นมีองค์ประกอบมากมาย กิมย้งที่เป็นราชาแห่งซับพล็อตเขียนเรื่องย่อยรองรับ แต่ละเรื่องย่อยสนุกในตัวมันเอง โดยที่หนังสามารถเดินไปได้โดยไม่ต้องพึ่งแฟนตาซี เพราะเมื่อเปลี่ยนตระกูลหนังเป็นแฟนตาซี อารมณ์ก็เปลี่ยน
หากชอบหนังแนว Lord of the Rings เรื่องนี้ก็ดูได้เพลินๆ หากไม่ถือสาว่าจอมยุทธ์บินได้ มีพลังอย่าง Dr. Strange ก็น่าจะเอนจอยหนัง พระเอกก็หล่อ นางเอกก็สวย แต่หากเป็นคองานหนังสือของกิมย้งที่เน้นบู๊กับเฮียบอย่างเคร่งครัด เก็บเงินไปซื้อ คดีเปลนม หรือ Mini Stoic ดีกว่า เพราะว่าเรื่องนี้ดูเผินๆ เป็นนิยายกำลังภายใน แต่ไม่ใช่
6/10
ฉายในโรงภาพยนตร์วินทร์ เลียววาริณ
24-2-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
0- แชร์
- 56
-
ในปี 1983 ตอนที่ผมยังใช้ชีวิตที่อเมริกา มิวสิก วิดีโอ ชุดหนึ่งเกือบทำให้โลกแตก คือ Thriller ของ ไมเคิล แจ็คสัน กำกับโดย จอห์น แลนดิส (คนกำกับ An American Werewolf in London, Twilight Zone: The Movie)
จุดเด่นของ มิวสิก วิดีโอ นี้คือการใช้ธีมหนังสยองขวัญ นักร้องนักเต้นเป็นซอมบี้ ให้ภาพที่พิลึก เป็นส่วนผสมของดนตรีไพเราะกับภาพสยองขวัญ มีความสดใหม่
แล้วเราสามารถทำหนังที่โยงดนตรีเข้ากับองค์ประกอบสยองขวัญได้ไหม? คำตอบคือหนังเรื่อง Sinners ที่เพิ่งเข้าโรง
Sinners รวมดนตรีบลูของคนผิวสีเข้ากับเรื่องแวมไพร์ แต่ไปไกลกว่านั้นคือผูกเข้ากับเรื่องความเป็นพลเมืองชั้นสองของคนผิวสีในสหรัฐฯ ในยุคที่สถานสาธารณะทั้งหลายแบ่งเป็นส่วนคนผิวขาวกับคนผิวสี
ดังนั้นมองในมุมหนึ่ง Sinners เป็นหนังสยองขวัญ มองอีกมุมหนึ่ง มันเป็นหนังสะท้อนสังคม
หนังเต็มไปด้วยความรุนแรงและเลือดสาด ภาพสยองขวัญปรากฏเป็นระยะ แต่หากมองข้ามตรงนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือการอุปมา สะท้อนและเสียดสีสภาพสังคมอเมริกายุคนั้น ความย้อนแย้งของเสรีภาพในรัฐธรรมนูญกับการเหยียดสีผิว ความรุนแรงของกลุ่ม Ku Klux Klan กับความรุนแรงของแวมไพร์
นี่ก็คือความสดใหม่ของหนัง
หนังมีกลิ่นของ From Dusk till Dawn + Django Unchained + Get Out มันดีกว่าสองเรื่องแรก แต่สู้ Get Out ไม่ได้
และเป็นหนังที่เมื่อดูจบแล้ว เราอาจจำแวมไพร์ไม่ได้ เพราะในโลกของการเหยียดสีผิว มนุษย์นั้นร้ายกว่าแวมไพร์8.5/10
ฉายในโรงภาพยนตร์วินทร์ เลียววาริณ
25-4-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
(มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)
1 วันที่ผ่านมา -
ทุกเดือนต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว ผมได้รับวารสารธรรมมาตา
ต้นเหตุเพราะครั้งหนึ่งวารสารนี้นำเรื่องที่ผมเขียนไปลง หลังจากนั้นก็ได้รับมาตลอด
และผมก็อ่านทุกฉบับ อ่านซ้ำก็บ่อย
วารสารธรรมมาตา ฉบับมกราคม-เมษายน ๒๕๕๕ มีข้อเขียนของพระไพศาล วิสาโล
ขอยกมาให้อ่านกัน เพราะเข้ากับคำของหลวงพ่อชาพอดี
วินทร์ เลียววาริณ
25-4-25.......................
ทุกข์เพราะยึด
โดย พระไพศาล วิสาโล
เมื่อพูดถึงความทุกข์กายแล้ว สาเหตุมีเยอะแยะไปหมด ความหิว ความเจ็บป่วย แผ่นดินไหว อุบัติเหตุ อุทกภัย การปล้นจี้ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุของความทุกข์ทางกาย แต่ถ้าพูดถึงความทุกข์ใจแล้ว ก็มีอยู่สาเหตุเดียว นั่นคือทุกข์เพราะยึด
ความยึดติด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง คือสาเหตุหลักที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ใจ ยึดติดเรื่องอะไรบ้าง ก็ยึดติดเรื่องราวในอดีต เช่น ความสูญเสียในอดีต โดยเฉพาะสูญเสียของรัก สูญเสียคนรัก รวมไปถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่ถูกกระทำโดยใครบางคน ที่จริงมันผ่านไปนานแล้ว แต่พอยึดเอาไว้ที่ใจ ไม่ยอมปล่อยวาง ก็เลยทุกข์ เจ็บปวด โกรธแค้น เสียดาย อาลัย
ถ้าไม่ทุกข์เพราะยึดในอดีต ก็กังวลกับอนาคต เหตุร้ายยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็กังวลหรือตีตนไปก่อนไข้เสียแล้ว บางทีก็นึกถึงอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้า
บางคนเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย แต่ก็นึกปรุงแต่งไปไกลว่าฉันจะตายแล้วหรือนี่ ความกังวลกับอนาคตก็เป็นความยึดติดอีกแบบที่ทำให้เราทุกข์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่นึกถึงอนาคต ความกังวลก็ไม่เกิด ความกลัวก็เช่นกัน ส่วนใหญ่เรากลัวสิ่งที่ยังไม่เกิด ตอนนี้ยังสบายดีอยู่ แต่นึกถึงเหตุร้ายล่วงหน้า อันนี้เรียกว่าคิดข้ามช็อต ก็เลยทำให้เป็นทุกข์
นอกจากความยึดติดในอดีต ในอนาคตแล้ว สิ่งที่เป็นปัจจุบัน ถ้ายึดติดก็ทุกข์เหมือนกัน อย่างเช่น เสียงที่มารบกวนขณะที่เรากำลังนั่งสมาธิ เสียงโทรศัพท์ก็ดี เสียงรถยนต์ก็ดี อาจจะไม่ดังเท่าไหร่ แต่พอใจเราไปยึดติดเข้า ก็เป็นทุกข์ทันที เกิดความหงุดหงิด ไม่พอใจ ยิ่งปรุงแต่งต่อไปว่ามันไม่น่า มันไม่ควร เราก็ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น เกิดโทสะ เกิดความโกรธ นี่ก็เรียกว่าเป็นเพราะยึดติดกับอารมณ์ปัจจุบัน
อารมณ์ปัจจุบันอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวทนา เรานั่งนานๆ หรือว่าอยู่กลางแดด ก็เกิดทุกขเวทนาขึ้น ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเป็นของจริง ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต มันเป็นปัจจุบัน แต่พอใจเราปักตรึงลงไปตรงนั้น ทีนี้ไม่ใช่แค่ทุกข์กายแล้ว แต่ยังมีทุกข์ใจด้วย ถ้าเราไม่ปล่อย ไม่วาง ความทุกข์ก็ตามมารบกวนจิตใจของเรา
นอกจากนี้เรายังทุกข์เพราะยึดติดกับสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา อาจจะไม่ใช่ปรุงแต่งเกี่ยวกับเรื่องราวในอนาคต แต่ปรุงแต่งต่อจากสิ่งที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู เห็นเงาพาดผ่านกลางดึกก็ปรุงว่าเป็นคนบ้าง เป็นผีบ้าง เห็นกิ่งไม้บนพื้นดินก็ปรุงว่าเป็นงูบ้าง แค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้กลัว ยิ่งไปยึดมันเข้า บางทีก็ทำให้นอนไม่หลับ หรือว่าเห็นเพื่อนร่วมงานกระซิบกระซาบกันก็ปรุงว่าเขากำลังนินทาเรา ก็เลยไม่สบายใจ บางคนฟังหลวงพ่อบรรยายก็ปรุงต่อไปว่าท่านกำลังตำหนิเรา ต่อว่าเรา พอคิดอย่างนี้เข้าก็กระสับกระส่าย รุ่มร้อนในใจ หารู้ไม่ว่าปรุงทั้งนั้น
ปกติคนเราปรุงวันละหลายสิบเรื่อง ถ้าปล่อยให้ผ่านเลยไปก็ไม่มีอะไร แต่พอไปยึดเป็นจริงเป็นจัง ก็ทุกข์ขึ้นมาทันที บางทีสามีภรรยาทำร้ายกัน หรือทำร้ายตัวเองก็เพราะความคิดปรุงแต่ง ปรุงว่าเขากำลังนอกใจเรา ไม่ซื่อต่อเรา พอคิดแบบนี้ก็เลยเครียด นอนไม่หลับ จนเป็นโรคประสาท หรือทะเลาะเบาะแว้งกัน อันนี้ก็เพราะว่ายึดติดในสิ่งที่ปรุงแต่ง ผู้คนเป็นทุกข์ก็เพราะเหตุนี้มาก ยิ่งไม่มีหลัก ไม่รู้จักไตร่ตรองก็ทำให้หลงเชื่อความคิด ความคิดทั้งหลายล้วนเกิดจากการปรุงของเรา แต่สุดท้ายมันกลับมาปรุงเรา จนกลายเป็นนายเราก็มี
เบื้องลึกของความยึดติดทั้งหลายที่พูดมา ก็คือความยึดติดในตัวตน อันนี้เป็นรากเหง้าของความยึดติดและความทุกข์ทั้งหลายเลยก็ว่าได้ ความยึดติดในตัวตน จะว่าไปแล้ว ก็เป็นความยึดติดในสิ่งที่ปรุงแต่งอย่างที่พูดเมื่อกี้ แต่เป็นการปรุงแต่งในระดับจิตใต้สำนึกเลยก็ว่าได้ ยึดติดว่ามีตัวกู แล้วก็ทำให้มีของกูตามมา ความทุกข์เกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตและอนาคต ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับของกูและตัวกูทั้งนั้น เช่น แค้นใจที่ถูกต่อว่า กลัวตกงาน กลัวสอบเข้าไม่ได้ กลัวถูกทิ้ง เหล่านี้มีรากเหง้าที่ตัวกู ของกู กลัวบ้านจะถูกยึด กังวลว่าลูกจะอยู่อย่างไร ใครจะดูแล กังวลที่ลืมทิ้งกระเป๋าเอาไว้ที่บ้าน หรือลืมล็อคกุญแจบ้าน
เหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับของกูทั้งนั้น ถ้าเป็นของคนอื่นก็ไม่รู้สึกกังวลใช่ไหม ใครจะตาย ใครจะป่วย กี่มากน้อย ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ ตราบใดที่เขาไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่พี่น้อง หรือไม่ใช่เพื่อนร่วมชาติของเรา เราก็ไม่ทุกข์อะไร ได้ยินข่าวว่ามีคนหิวตายนับล้านคนที่แอฟริกา เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะไม่ใช่เพื่อนร่วมชาติของเรา ไม่ใช่ญาติของเรา ไม่ใช่คนที่เรารู้จัก แต่ถ้ารู้ว่าพี่น้องของเราป่วยด้วยโรคมะเร็ง เรานอนไม่หลับเลยก็มี
ขอให้พิจารณาดู ความทุกข์ใจทั้งหลายทั้งปวง สาวหาสาเหตุก็จะไปสุดอยู่ที่ความติดยึดในตัวตน หรือความติดยึดว่ามีตัวกูของกู แม้แต่ความทุกข์เพราะยึดติดในอารมณ์ปัจจุบัน เช่นหงุดหงิดเพราะเสียงที่ดัง หรือทุกข์เพราะปวดท้อง เสียงดังและอาการปวดท้อง เป็นอารมณ์ปัจจุบันไม่ใช่สิ่งปรุงแต่ง และทำให้ทุกข์กายก็จริง แต่มันจะไม่ขยายจากทุกข์กายเป็นทุกข์ใจไปได้ถ้าไม่มีความยึดมั่นในตัวกู ของกูเข้าไปผสมโรงด้วย เช่นเวลาปวดหรือเมื่อย มันเป็นรูปที่เมื่อย เป็นกายที่ปวด เป็นทุกขเวทนา
แต่พอไปยึดและปรุงว่าฉันปวด ฉันเมื่อย ใจก็จะเป็นทุกข์ทันที แทนที่จะเห็นว่าเป็นกายที่ปวด เป็นรูปที่เมื่อย ก็เกิดความสำคัญมั่นหมายว่าฉันปวดฉันเมื่อย ตรงนี้เป็นที่มาของความทุกข์ใจ
การปรุงจนเกิดมี ตัวกู ของกูขึ้นมา เป็นสาเหตุของความทุกข์ใจ เช่น ปรุงว่ามี กูผู้ปวด กูผู้เมื่อย กูผู้รำคาญ กูผู้โกรธ อันนี้เป็นการเกิดแบบหนึ่ง เรียกว่าภพชาติ ไม่ใช่ว่าต้องเกิดจากท้องแม่ถึงจะเรียกว่าเป็นการเกิด การมีตัวกูเกิดขึ้นมาก็เป็นภพชาติ อย่างที่เราสวดเมื่อกี้ว่า การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป ไม่ใช่แค่เกิดจากท้องแม่เท่านั้น แม้กระทั่งการเกิดตัวกูขึ้นมาในใจ ก็ทำให้เป็นทุกข์เช่นกัน มันเป็นการเกิดที่สืบเนื่องจากการปรุงแต่ง เมื่อเกิดตัวกูขึ้นมาแล้วก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น เช่น พอเกิดตัวกูผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็ย่อมทุกข์เพราะลูก ไม่ใช่แค่ห่วงกังวลลูกเท่านั้น แต่ยังทุกข์เพราะว่าลูกไม่เชื่อฟัง ลูกไม่เคารพฉันซึ่งเป็นพ่อแม่
ธรรมดาของคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็อยากจะให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองคิด นี้เป็นความยึดติดถือมั่นอีกแบบหนึ่ง อยากจะให้เขาดีเหมือนตัว อยากจะให้เขามีชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ แต่พอลูกไม่ดีเหมือนตัว มีชีวิตไม่ตรงตามที่เราวาดหวังก็ทุกข์ พูดแล้วก็ไม่ฟังก็ทุกข์ ลูกบางคนไม่พูดกับแม่ ประท้วงแม่ เพราะถูกแม่ต่อว่าที่ชอบเล่นเน็ต เล่นเกมส์ออนไลน์ทั้งวันทั้งคืน จนไม่สนใจเรียนหนังสือ และไม่เป็นอันหลับอันนอน
พอถูกแม่ว่ามากๆ เข้า ลูกก็ไม่พูดกับแม่ แม่เลยเสียใจและโกรธลูก ยื่นคำขาดว่าถ้าลูกไม่พูดกับแม่ แม่จะโดดตึก ขู่แล้วคิดว่าจะได้ผล ปรากฎว่าไม่ได้ผล แม่ก็เสียใจ น้อยใจลูก เลยโดดลงจากระเบียงตึกตาย นี่ก็เป็นความทุกข์ของคนเป็นแม่ พอยึดติดในความเป็นแม่ ก็วาดหวังว่าลูกจะต้องเชื่อฟังแม่ พอลูกไม่เชื่อฟัง แม่ก็เป็นทุกข์ทันที
คนเป็นพ่อก็ทุกข์เพราะลูกเหมือนกัน พ่อเป็นคนธรรมะธรรมโม ชอบเข้าวัด แต่ลูกเป็นเด็กวัยรุ่น ไม่ค่อยสนใจธรรมะ เรียนหนังสือก็ไม่ค่อยเรียน เหมือนกับวัยรุ่นทั่วๆ ไป แต่ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกกมะเหรกเกเร ไม่ได้ติดเหล้าติดยา พ่อก็รู้สึกผิดหวังในตัวลูก ผิดหวังแล้วก็เลยโกรธ ต่อว่าลูก มีปากเสียงกัน สุดท้ายลูกกับพ่อก็ไม่คุยกัน พ่อก็พยายามเข้าหาลูก ซื้อรถมาให้ลูก แต่ก็พยายามควบคุมการใช้รถของลูก ลูกก็ไม่พอใจ
วันหนึ่งลูกจะขับรถไปบ้านเพื่อนตอนกลางคืน พ่อไม่อนุญาต แต่ลูกไม่ฟัง ขับรถฝืนคำสั่งพ่อ พ่อโกรธ ตามไปบ้านเพื่อน แล้วก็ไปเอารถกลับมาพร้อมลูก พอถึงบ้านก็มีปากเสียงทะเลาะกัน ทะเลาะกันท่าไหนไม่รู้ จู่ ๆ พ่อก็ควักปืนออกมายิงลูกตาย แล้วก็ยิงตัวตาย คงทำใจไม่ได้ว่าฉันเผลอฆ่าลูก รู้สึกผิดมหันต์ ก็เลยฆ่าตัวตายตาม
นี่เป็นผลของความยึดติดถือมั่น โดยเฉพาะความยึดติดถือมั่นของพ่อ ว่าลูกต้องเชื่อฟังพ่อ ต้องอยู่ในโอวาทของพ่อ ต้องดีเหมือนพ่อ หรือดีอย่างที่พ่อคิด แต่เมื่อลูกไม่เป็นอย่างนั้นก็โกรธ แล้วกลายเป็นเกลียด สุดท้ายก็ทำร้ายลูก นี่เป็นความทุกข์เพราะยึดติด คือยึดติดถือมั่นว่าฉันเป็นพ่อ แกเป็นลูก เพราะฉะนั้นต้องฟังฉัน พอลูกไม่ฟัง ก็เกิดโทสะขึ้นมา เห็นไหมว่าความยึดติดถือมั่นในความเป็นพ่อ ก็มีโทษและทำให้เป็นทุกข์
เช่นเดียวกับความยึดมั่นสำคัญหมายในความเป็นแม่ เพราะมันทำให้เกิดกิเลสตัวใหญ่ตามมา ว่าลูกต้องเชื่อฟังฉัน ต้องเคารพฉัน ต้องเป็นอย่างที่ฉันต้องการ พอไม่เป็นดั่งใจ เมตตาก็กลายเป็นโทสะไป หรือไม่ก็กลายเป็นอกุศล เป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ นี่ก็เป็นความทุกข์จากการยึดติดถือมั่นในตัวกูของกูอีกแบบหนึ่ง
ความยึดมั่นถือมั่นในตัวกู เป็นอุปาทานอย่างหนึ่ง พอมีอุปาทานหรือความยึดมั่นแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ก็จะมีกิเลสตามมา และถ้ากิเลสนั้นไม่สมหวัง ไม่สมประสงค์ก็เกิดทุกข์ ถ้าไม่ระบายทุกข์ใส่คนอื่น ก็ระบายทุกข์ใส่ตัวเอง อันนี้รวมถึงความยึดมั่นสำคัญหมายว่าฉันเป็นคนดีด้วย
มีความยึดมั่นแบบนี้ก็ทำให้ทุกข์ได้ เช่น ทุกข์เพราะว่าคนไม่เห็นความดีของฉัน ทุกข์เพราะว่าฉันทำดีไม่ได้ดี ทุกข์เพราะเห็นคนอื่นดีกว่าตัว ทำความดีนั้นเป็นสิ่งดี แต่พอยึดมั่นสำคัญว่าฉันเป็นคนดี ก็ทำให้อัตตาฟูฟ่อง พอเจอคนที่เขาดีกว่า ก็ไม่พอใจ เกิดความอิจฉา นี่ก็เป็นทุกข์ของคนดี หรือทุกข์ของคนที่ยึดมั่นสำคัญหมายว่าฉันเป็นคนดี นี่ก็เป็นทุกข์เพราะการเกิดอีกแบบหนึ่ง คือเกิดตัวกูผู้เป็นคนดี เป็นการเกิดที่ปรุงขึ้นมาโดยมีรากเหง้ามาจากความยึดมั่นในตัวกูของกู
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีพราหมณ์ถามพระพุทธองค์ว่าท่านเป็นใคร ท่านเป็นเทวดาหรือ พระองค์ก็ปฏิเสธ ท่านเป็นคนธรรพ์หรือ พระองค์ก็ปฏิเสธ ท่านเป็นยักษ์หรือ พระองค์ก็ปฏิเสธ สุดท้ายพราหมณ์ก็ถามว่าท่านเป็นมนุษย์หรือ พระองค์ก็ปฏิเสธอีก พราหมณ์ยิ่งงงใหญ่ว่าตกลงท่านเป็นอะไร พระพุทธเจ้าอธิบายว่า กิเลสที่จะทำให้พระองค์เป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ เป็นยักษ์ เป็นมนุษย์ไม่มีแล้ว พูดง่าย ๆ กิเลสที่จะทำให้เป็นนั่นเป็นนี่ไม่มีแล้ว แต่ถ้าจะเรียกก็เรียกพระองค์ว่า พุทธะก็แล้วกัน
ความรู้สึกว่าเป็นนั่นเป็นนี่ มันไม่ใช่ของจริง มันเป็นความปรุงแต่ง พอเราไปยึดเข้า ก็เตรียมตัวทุกข์ได้เลย เพราะว่าไม่มีอะไรที่จะยึดติดถือมั่นได้เลยซักอย่าง เนื่องจากทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงและแปรเปลี่ยน ขณะเดียวกันพอยึดติดถือมั่นว่าเป็นอะไร ก็จะมีกิเลสตามมา ขึ้นชื่อว่ากิเลสก็ล้วนทำให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นความอยากได้หรืออยากผลักไส ก็ล้วนนำไปสู่ความทุกข์ใจ เพราะเมื่อความจริงไม่เป็นอย่างที่อยาก ก็เป็นทุกข์แล้ว ที่จริงเพียงแค่นึกอยาก ไม่ว่าอยากผลักไสหรือ อยากได้ครอบครองก็เป็นทุกข์แล้ว เพราะมันทำให้จิตดิ้นรน ทนอยู่เฉยไม่ได้ ก็ทุกข์ขึ้นมาทันที
ถามว่า ในเมื่อความยึดติดเป็นทุกข์ แล้วทำไมผู้คนถึงยึดอยู่ได้ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง นั่นก็เพราะความหลงและลืมตัว พูดง่ายๆ คือเพราะลืม และเพราะหลง ลืมคือขาดสติ หลงคือขาดปัญญา ทำอย่างไรถึงจะปล่อยวางได้ ก็ต้องมีสติ และมีปัญญา สติทำให้ระลึกได้ ทำให้ไม่ลืมตัว ไม่ใช่ระลึกได้ในเรื่องอื่นเท่านั้น แต่ระลึกได้ในกายและใจ ก็ทำให้ไม่ลืมตัว เมื่อไม่ลืมตัว ก็ไม่ไปยึดอดีตกับอนาคต หรือถ้ารู้ว่ายึด ก็วางได้
คนเราเวลาเกิดทุกข์แล้วมักจะไม่รู้ทุกข์ เพราะลืมตัว แต่พอมีสติ ก็เห็นทุกข์ รู้ว่าแบกความทุกข์เอาไว้ ก็ทำให้วางได้ เป็นการวางได้เองโดยไม่ต้องสั่ง และถ้าเห็นว่า ทุกข์นี้สักแต่ว่าเกิดขึ้นโดยไม่ไปยึดเอาไว้ เช่น เมื่อความปวด ความเมื่อย ความเจ็บ เกิดขึ้น แต่ไม่เข้าไปยึดติดถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา ความสำคัญหมายว่า เราทุกข์ เราปวด เราเมื่อย เราโกรธ ก็ไม่เกิดขึ้น เวลานึกถึงอดีต นึกถึงอนาคตแล้วเกิดความโกรธหรือกังวลขึ้นมา นี่เรียกว่าลืมตัว
แต่ถ้ามีสติ เห็นความโกรธ เห็นความกังวล ความยึดมั่นสำคัญหมายว่าเราโกรธ เรากังวล ก็ไม่มี เพียงแต่เห็นความกังวลเกิดขึ้นที่ใจ ความโกรธเกิดขึ้นที่ใจ ไม่เข้าไปเป็นมัน ไม่มีฉันผู้โกรธ ฉันผู้กังวล ฉันผู้ทุกข์ จิตก็หลุดจากความทุกข์ได้ ความปวดกายก็เช่นเดียวกัน มันปวดมันเมื่อย ก็เห็นความปวดความเมื่อย แต่ไม่ปรุงเป็นฉันผู้ปวดผู้เมื่อย ก็ไม่มีความทุกข์ใจ ไม่มีความปวดใจ
ถามว่าทำไมถึงปรุงเป็นฉันผู้ปวดผู้เมื่อยได้ ตอบสั้น ๆ ว่าเป็นเพราะไม่มีสติ ไม่มีสติเมื่อไร ก็ปรุงตัวกูขึ้นมาเมื่อนั้น สติจึงเป็นเครื่องสลายตัวตน หรือพูดให้ถูกต้องคือทำลายความยึดติดถือมั่นในตัวตน มีสติเมื่อไร ความยึดถือมั่นว่ามีตัวกูของกูก็หายไป ถ้าเพียงสักแต่ว่ารับรู้สิ่งต่างๆ อย่างมีสติ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสกับท่านพาหิยะ ก็ไม่มีตัวกูมาก่อความทุกข์
ท่านพาหิยะเป็นนักบวชสมัยพุทธกาล อุตสาห์เดินทางข้ามวันข้ามคืนเพื่อจะมาพบพระพุทธเจ้า มาถึงเมืองสาวัตถีขณะที่พระพุทธองค์กำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่ จึงรีบเข้าไปทูลขอให้พระองค์แสดงธรรม ท่านพาหิยะอยากจะฟังธรรมเดี๋ยวนั้นเลย พระองค์ก็ปฏิเสธ ท่านพาหิยะก็ยืนกราน ขอให้พระองค์แสดงธรรมอยู่นั่น พระองค์ก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่เวลา เพราะกำลังบิณฑบาตอยู่ ท่านพาหิยะทูลขอถึงสามครั้ง สุดท้ายพระองค์ก็ยอมแสดงธรรม
ทรงแสดงธรรมสั้นๆ ว่า “เมื่อเห็นรูป ก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟัง ก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อทราบ ก็สักแต่ว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งในอารมณ์ ก็สักแต่ว่ารู้แจ้งในอารมณ์ เมื่อนั้นตัวเธอย่อมไม่มี เมื่อใดตัวเธอไม่มี เมื่อนั้นย่อมไม่มีทั้งในโลกนี้ ทั้งในโลกหน้า และระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลคือที่สุดแห่งทุกข์” พอพระองค์ตรัสจบ ท่านพาหิยะก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทันที ได้ชื่อว่าเป็นเอตทัคคะในเรื่องการตรัสรู้เร็ว แต่ท่านไม่ทันได้บวชก็โดนวัวขวิดตายกลางถนนนั้นเอง
นี่ก็เป็นคำสอนที่ชี้ให้เห็นว่าเมื่อมีสติขณะเกิดผัสสะ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่ารับรู้อารมณ์ ก็ไม่มีตัวตนเกิดขึ้น สติจึงเป็นอุบายสลายตัวตนที่สำคัญมาก ฉะนั้น การที่จะไม่เกิดภพชาติ ไม่ต้องรอให้ตายหรือหมดลมไปก่อนถึงจะหลุดพ้นจากภพชาติ ในขณะที่เรายังมีลมหายใจ การทำให้ความเกิดไม่มี หมดการปรุงเป็นภพเป็นชาติก็สามารถทำได้ ไม่ได้ทำได้เฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น ปุถุชนก็สามารถทำได้ เพียงแต่ว่าเป็นครั้งคราว ไม่ใช่ถาวรอย่างพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้าที่ท่านไม่มีภพไม่มีชาติแล้ว
เราก็สามารถทำได้ แต่ก็เฉพาะในยามที่มีสติ พอไม่มีสติ ก็ปรุงตัวกูขึ้นมาใหม่ เมื่อเห็น แทนที่สักแต่ว่าเห็น ก็มีตัวกูผู้เห็น ได้ยิน-ก็ไม่ใช่สักแต่ว่าได้ยิน แต่มีตัวกูผู้ได้ยิน โกรธ-ก็ไม่ใช่สักแต่ว่าโกรธ หรือเห็นความโกรธเฉย ๆ แต่มีตัวกูผู้โกรธ เมื่อย-ก็ไม่ใช่สักแต่ว่าเมื่อย หรือเห็นความเมื่อยเท่านั้น แต่ว่ามีตัวกูผู้เมื่อย มันมีการปรุงอยู่ตลอดเวลาถ้าไม่มีสติ แต่ถ้ามีสติ การปรุงก็หมดไป ไม่มีตัวกูขึ้นมา ไม่มีกูผู้โกรธ ผู้เมื่อย อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่มีการเกิด แต่สติเรามีเป็นขณะๆ พอมันดับไป ก็ปรุงตัวกูขึ้นมาอีก
สติหรือความระลึกได้นั้นเกิดเป็นขณะๆ อยู่ที่ว่าจะต่อเนื่องนานแค่ไหน หลวงพ่อคำเขียนท่านเปรียบเป็นโซ่ ที่ต่อกันเป็นข้อๆ บางคนมีไม่กี่ข้อก็ขาด บางคนมีสี่ห้าข้อเท่านั้นก็ขาด แต่บางคนที่ก้าวหน้าในการปฏิบัติ ข้อของสติก็เชื่อมต่อกันเป็นสายยาว แต่ก็ขาดเหมือนกัน จนกว่าจะมีสติสมบูรณ์เป็นพระอรหันต์ ซึ่งมีข้อที่ยืดยาว ไม่ขาด แต่ถึงเราจะทำไม่ได้ขนาดนั้น ก็ไม่เป็นไร ขอให้เพียรสร้างสติให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะทำให้ทุกข์นั้นสั้นลง ๆ เป็นลำดับ
การเจริญสติจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าเราเจริญสติแล้วเราไม่พอใจแค่ใจสงบเท่านั้น แต่ว่ายกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา คือพิจารณากายและใจหรือรูปกับนามด้วย ก็ทำให้เกิดปัญญาขึ้นมา การเจริญสตินี้ ทำไปๆ เรื่อย ๆ จิตก็สงบ แต่ระวังอย่าให้จิตแนบไปกับอารมณ์ ถ้าจิตแนบกับอารมณ์ ได้ความสงบก็จริงแต่ไม่เกิดปัญญา เพราะไม่เห็นความจริงที่เกิดขึ้นกับจิต พอสงบแล้ว อาการขึ้นลงของจิตก็ไม่ปรากฏเพื่อแสดงให้เห็นไตรลักษณ์
อันนี้เป็นข้อเสียที่ไม่ทำให้เกิดปัญญา หลวงพ่อเทียนจึงแนะลูกศิษย์ว่า เวลาจิตสงบมากๆ ต้องเดินให้เร็ว ยกมือสร้างจังหวะให้เร็ว เพื่ออะไร เพื่อกระตุ้นให้ความคิดออกมา จะได้ฝึกสติพร้อม ๆ กับเห็นธรรมชาติของจิตชัดเจนขึ้น นั่นคือเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เช่นนั้นถ้าจิตสงบมาก ๆ บางทีไปคิดว่าจิตเป็นนิจจังคือเที่ยง หรือคิดว่าเป็นตัวตนที่ควบคุมบังคับบัญชาได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกระตุ้นจิตให้มีความคิดออกมา จะได้เห็นอาการอันเป็นธรรมดาของจิต ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญาตามมา ถ้าจิตนิ่งเสียแล้ว หรือแนบกับอารมณ์ก็จะเพลินในความสงบ แต่ปัญญาไม่เกิด อันนี้ เราก็ต้องเข้าใจหลักของการปฏิบัติด้วย ต้องรู้ว่ามีหลุมพรางตรงไหนเพื่อเราจะได้หลีกเลี่ยง ไม่ถลำเข้าไป หรือเพลินนานเกินไปจนไม่ก้าวหน้า
พระไพศาล วิสาโล
1 วันที่ผ่านมา -
เขาเล่นมือถืออยู่ดีๆ ก็รู้สึกหน้ามืดวูบ เขารู้สึกตัวอีกครั้งพบว่าเขานอนบนพื้นถนน สมาร์ทโฟนของเขาบี้แบน
เขาลุกขึ้น บอกชายแปลกหน้าใกล้ๆ "ขอยืมมือถือคุณหน่อย ผมจะติดต่อคนที่บ้าน"
ชายแปลกหน้าบอก "ไม่มีประโยชน์ ผมให้คุณยืมมือถือได้ แต่คุณใช้ไม่ได้"
"หมายความยังไง?"
"ก็คุณไม่มีมือ"
เขายกมือขึ้น พบว่ามือขวาของเขาขาดตรงข้อ เขายกมือซ้าย พบว่ามือซ้ายของเขาบี้แบน
"เกิดอะไรขึ้นกับมือของผม?"
"คุณถูกรถชนตอนเล่นมือถือขณะข้ามถนน รถคันนั้นทับมือคุณขาดและบี้แบน"
"คุณเป็นใคร? ที่นี่ที่ไหน? ทำไมผมไม่รู้สึกเจ็บ?"
ชายแปลกหน้าตอบ "ที่นี่คือโลกหลังความตาย คุณเพิ่งถูกรถชนตาย"
"ถ้าที่นี่เป็นโลกหลังความตาย ทำไมคุณยังมีสมาร์ทโฟน?"
"มีได้ซี โลกหลังความตายมีสัญญาณ 9G แล้ว คลื่นแรง เล่นเน็ตดีมาก แต่คุณเล่นไม่ได้ เพราะคุณไม่มีทั้งมือถือ และมือให้ถือ"
"ผมจะต้องอยู่ในโลกหลังความตายนี้นานเท่าไร ก่อนไปเกิดใหม่?"
ชายแปลกหน้าตอบ "เก้าวัน"
"เก้าวันก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่"
"เก้าวันที่นี่ยาวเท่ากับเก้าหมื่นปีบนโลกมนุษย์ และเป็นเก้าหมื่นปีที่คุณเล่นมือถือไม่ได้ เพราะคุณเสือกก้มหน้าเล่นมือถือตอนข้ามถนน"
ป.ล. ผู้อ่านระวังนะครับ อย่าเล่นมือถือตอนเดินหรือข้ามถนน อาจไม่ได้เล่นมือถือไปเก้าหมื่นปี เพราะไม่มีมือให้ถือ เตือนแล้วนะ
ว.ล.
24-4-252 วันที่ผ่านมา -
ไม่เพียง แดน บราวน์ ที่ถูกนำมากวนเล่น นักเขียนโก้วเล้งก็ยังโดน
นี่คือแซมเปิ้ล
โลก # 000,000,022
ข้าพเจ้านั่งที่เก้าอี้ไม้ริมหน้าต่างร้านพับผ่า มองผู้คนเดินผ่านไปมา
ข้าพเจ้ารินไวน์แดงใส่จอก หยิบหนังสือ มาเฟียก้นซอย ของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ขึ้นมาอ่าน
นอกจากข้าพเจ้าที่นั่งประจำตำแหน่งแล้ว ยังมีลูกค้าอีกคนหนึ่งที่ปักหลักดื่มและอ่านเงียบ ๆ ที่อีกมุมหนึ่งของผับเช่นกัน ผ่านไปหลายวันและหลายสบตา เราก็ร่วมโต๊ะเดียวกัน
แขกแปลกหน้าเอ่ย "ผมเห็นคุณอ่านหนังสือและจิบสุราไปด้วย ช่างเป็นภาพที่สวยงามเสียนี่กระไร"
"เมาอะไรก็มิสู้เมาเหล้ากับอักษรในเวลาเดียวกัน"
"หาคนที่รู้คุณค่าของหนังสือดีและสุราดียากนัก"
"ท่าทางคุณถ้าไม่เป็นกวี ก็ต้องเป็นปัญญาชน"
"ผมชื่อโก้วเล้ง ผมเป็นนักแต่งนิทาน"
"ผมชื่อ สาย ธารี ผมเป็นนักเขียน"
"ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดน่าปีติไปกว่าการร่ำดื่มเมรัยรสเลิศกับอ่านหนังสือดี"
"น่ายินดีที่พบหนอนหนังสือที่นิยมสุรา"
"หากเป็นสมัยโบราณ เราสองต้องกรีดเลือดสาบานเป็นพี่น้องกัน"
"สาบานด้วยเหล้าก็เพียงพอ มิสมควรกรีดเลือด มันเจ็บ"
ข้าพเจ้าถามเขา "คุณมาจากเมืองจีน?"
"ใช่"
"คุณเดินทางมาไกลเพื่ออ่านหนังสือในร้านเหล้าเล็ก ๆ ที่นี่หรือ?"
"เดินทางมาแค่นี้ไม่ถือว่าไกล บรรพบุรุษของผมเดินทางไกลกว่านี้อีกหลายร้อยเท่า"
"บรรพบุรุษของคุณ?"
"ผมสืบเชื้อสายมาจากนักแต่งนิทาน ฮันส์ แอนเดอร์เซน"
"อัศจรรย์ยิ่ง ฮันส์ แอนเดอร์เซน เป็นคนจีน?"
"ไม่น่าแปลก คนจีนทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่การประดิษฐ์กระดาษ ดินระเบิด ฟุตบอล ไปจนถึงการค้นพบอเมริกา"
"ฟุตบอล? ตลกน่า! ส่วนอเมริกามิใช่โคลัมบัสเป็นผู้ค้นพบหรอกหรือ?"
"หามิได้ ชาวจีนเอาถุงหนังมาเตะนานก่อนหน้าชาวยุโรป ส่วนอเมริกานั้น ท่านอำมาตย์เจิ้งเหอไปทัวร์เล่นนานก่อนโคลัมบัส จะเห็นว่าจีนรู้จักโลกตะวันตกเป็นอย่างดีมานานแล้ว สมัยเมื่อทางสายไหมเชื่อมจีนกับยุโรปนั้น ชาวจีนนาม มาร์โค โปโล ก็เดินทางไปทัวร์ที่ยุโรป..."
"ว้าย! มาร์โค โปโล ก็เป็นคนจีนด้วยหรือ?"
"อ้าว! คุณไม่รู้หรอกหรือ มาร์โค โปโล เป็นชาวฮั่น แซ่หม่า หรือแต้จิ๋วออกเสียงว่า เบ๊ แปลว่าม้า ชื่อจริงว่า หม่าโปโหล ตระกูลของเขาเลี้ยงม้าในราชสำนัก รู้เรื่องม้าดีเยี่ยม เมื่อไปถึงยุโรป พวกฝรั่งเรียกเขาว่า มาร์ค โปโล พวกอิตาเลียนเรียกเขาว่า มาร์โค โปโล"
"ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง"
"ชื่อเมืองหม่าเก๊า หรือที่พวกคุณรู้จักในชื่อ มาเก๊า ก็มาจากชื่อของเขา ส่วนในยุโรปชื่อ โปโล ของเขายังกลายเป็นกีฬาเกี่ยวกับม้า และยังเป็นยี่ห้อสินค้าแฟชั่นตราม้า..."
"แล้ว ฮันส์ แอนเดอร์เซน..."
"ใจเย็น ๆ หม่าโปโหลตั้งรกรากที่ยุโรปพักหนึ่งก็เบื่อ จึงออกเดินทางไปทั่ว ครั้งหนึ่งเขาผ่านพื้นที่ที่ปัจจุบันคือเดนมาร์ก ถูกโจรร้ายสิบกว่าคนรุมชิงทรัพย์ที่ชายป่า หม่าโปโหลฆ่าโจรตายไปหลายคน แต่น้ำน้อยก็แพ้ไฟ เขาตกเป็นเบี้ยล่าง ถูกฟันหลายแผล เลือดโทรมร่าง แต่ก็ยังสู้ต่อไป ชั่วขณะหนึ่งเขาล้มลง โจรคนหนึ่งเงื้อดาบจะฟันเขา พลันลูกธนูดอกหนึ่งแล่นมาปักอกโจรตายคาที่ หม่าโปโหลลุกขึ้นมา เห็นลูกธนูยิงออกมาจากป่าไม่หยุด ร่างโจรล้มลงตายจนหมดสิ้น...
"หลังจากนั้นเขาเห็นม้าตัวหนึ่งทะยานออกจากที่นั้นไป หม่าโปโหลต้องการขอบคุณคนแปลกหน้าผู้นั้น จึงขี่ม้าตามไป จนม้าแซงม้าของคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ คนแปลกหน้าสวมชุดคลุมหน้าดำ แต่ม้าของคนแปลกหน้านั้นแซงม้าของเขาไปราวลมพัด หม่าโปโหลควบม้าไล่ตาม ทั้งสองจึงประลองแข่งม้าไปโดยปริยาย ผลัดกันนำหน้า เมื่อม้าทั้งสองไปถึงยอดเขา ก็น้ำลายฟูมปาก หมดแรง ม้าของคนแปลกหน้าล้มลง ร่างของคนแปลกหน้ากระเด็นตกลงไป ผ้าที่ปิดหน้าหลุดออก เขาตะลึงงันเมื่อพบว่า คนที่ช่วยชีวิตเขาเป็นสตรีนางหนึ่ง เมื่อม้าบาดเจ็บ ทั้งสองจำเป็นต้องผ่านราตรีนั้นด้วยกันบนยอดเขา คืนนั้นจันทร์ลอยเด่น อากาศเย็นยะเยือกชวนฝัน ทั้งสองก็รักกัน"
"รักกันเร็วปานนั้น?"
"แน่ละ ในเมื่อนางงามเพียงนั้น ชายใดในโลกจะฝ่าพ้นด่านนางงามได้ นางนั้นชื่อ รตี"
"รตี?" ข้าพเจ้าพึมพำ "...ทำไมคุณรู้ละเอียดนัก?"
"เรื่องนี้หม่าโปโหลบันทึกเอาไว้ในสมุดนิทานของเขา"
"หม่าโปโหลก็ชอบเล่านิทาน?"
"แน่ละ นักเดินทางในสมัยนั้นต้องฝ่าฟันพื้นที่ต่าง ๆ การเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง ย่อมช่วยสร้างความสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านให้ดีขึ้น นั่นหมายถึงอาหารและที่พักแรม"
"ถูกของคุณ"
"อย่างไรก็ตาม ในยุคนั้นการมีสัมพันธ์สวาทกับชาวตะวันออกเป็นเรื่องต้องห้าม หม่าโปโหลถูกจับขังคุก เพื่อนคนหนึ่งจึงหาทางแก้ปัญหาโดยไปปรึกษาหลวงพ่อ หลวงพ่อให้ยาพิเศษมาหนึ่งขวด เป็นยาที่กินเข้าไปแล้วจะตายชั่วคราว กล่าวคือ ชีพจรหยุดเต้น ตัวเย็นแข็งทื่อเหมือนศพจริง เมื่อผ่านสี่สิบแปดชั่วโมงไปแล้ว จะฟื้นเป็นปกติ"
"เป็นตัวยาพิสดารจริง"
"เพื่อนคนนั้นติดสินบนยามในคุกให้นำยาไปให้หม่าโปโหล ขณะเดียวกันก็ส่งคนไปแจ้งความลับนี้แก่นางรตี หม่าโปโหลกินยานั้นก็ 'ตาย' ไปชั่วคราว คนคุกจึงนำศพของเขาออกมาจากคุกไปที่กระท่อมร้างแห่งหนึ่งซึ่งเป็นจุดนัดพบ แล้วก็กลับไป นางรตีไปที่จุดนัดพบ พบร่างไร้ชีวิตของหม่าโปโหล จึงฆ่าตัวตายไปด้วยความทุกข์ระทมระทวย"
"อ้าว! ทำไมนางไม่รู้ว่าเขาตายชั่วคราว?"
"คนส่งข่าวนั้นเป็นอัลไซเมอร์ ขี้หลงขี้ลืม เขาแค่บอกให้นางไปพบคนรักที่จุดนัดหมาย แต่ไม่ได้บอกเรื่องยาลึกลับ"
"ทำไมชุ่ยอย่างนี้?"
"ชีวิตจริงของเราก็ชุ่ยอย่างนี้แหละ ผ่านไปสี่สิบแปดชั่วโมง หม่าโปโหลฟื้นขึ้นมา เห็นศพรตีก็เสียใจ เขาก็ฆ่าตัวตายด้วยความทุกข์ระทมระทวยไปอีกคน"
"คุณมีกระดาษทิชชูไหม?"
"ตำนานนั้นเล่าสืบต่อกันมาจนไปถึงแผ่นดินอังกฤษ ภายหลังมันก็จุดประกายให้นักเขียนรุ่นหลังคือ เชกสเปียร์ แต่งเรื่อง โรเมโอกับจูเลียต ชื่อ หม่าโปโหล เพี้ยนเป็น โรเมโอ ส่วน รตี เพี้ยนเป็น จูเลียต"
"หม่าโปโหล เพี้ยนเป็น โรเมโอ น่ะพอทน แต่ รตี เพี้ยนเป็น จูเลียต นี่มันคนละเรื่องเลยนะ"
"อย่าคิดมากน่า ประวัติศาสตร์บิดเบี้ยวแค่นี้ไม่เท่าไหร่ นักการเมืองบ้านคุณสัญญาบิดเบือนความจริงมากกว่านี้หลายเท่า"
"อุ้ย! เจ็บ!"
"ตอนที่หม่าโปโหลติดคุกนั้น นางรตีให้กำเนิดทารกคนหนึ่ง แต่เนื่องจากนางกลัวว่าทางการจะพรากเด็กไปจากนาง จึงมอบทารกนั้นให้ญาติคนหนึ่งรับเป็นลูกบุญธรรม เมื่อนางตายไป เด็กคนนั้นถูกส่งเข้าโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า พวกเขาเรียกเด็กชายคนนั้นว่า ฮั่น'ส วอนเดอร์ สัน (Han's Wander Son) แปลว่าลูกชายพเนจรของชาวฮั่น ภายหลังตัว W ตกหล่นหายไป กลายเป็น Hans Anderson ภาษาเดนนิชสะกดว่า Andersen ก็คือ ฮันส์ แอนเดอร์เซน นักเล่านิทานที่มีชื่อเสียงคนนั้น"
"ตำนานของคุณเหลือเชื่อยิ่งนัก"
"ไม่เหลือเชื่อไปกว่าคอร์รัปชั่นประชานิยมบ้านคุณหรอก"
"อุ้ย! เพนฟูล!"
(ยังมีต่อ)
2 วันที่ผ่านมา -
หลวงพ่อชา สุภทฺโท เป็นพระป่านักปฏิบัติ เป็นผู้ก่อตั้งวัดหนองป่าพงในจังหวัดอุบลราชธานี มาตั้งแต่ พ.ศ. 2497 เมื่อพระมีชื่อมากขึ้น ก็มีคนมาเยือนวัดมากขึ้น ความใหญ่โตตามมาอย่างเลี่ยงไม่พ้น และเช่นเดียวกับวัดใหญ่ไม่น้อย มีฆราวาสเสนอมอบรถยนต์ให้หลวงพ่อชา
หลวงพ่อชาจึงเรียกประชุมสงฆ์ของวัดหนองป่าพง พิจารณาว่าสมควรรับยานพาหนะหรือไม่ ที่ประชุมสงฆ์ส่วนใหญ่เห็นว่า สมควรรับรถไว้ เพื่อความสะดวกเมื่อต้องเดินทางไปที่ใด อีกเหตุผลหนึ่งคือเมื่อพระเณรอาพาธ ก็สามารถพาส่งหมอทันท่วงที
หลวงพ่อชาถามว่า แล้วเราไม่อายชาวบ้านหรือ ชาวบ้านแถบนี้มีฐานะยากจน บ้างไม่มีแม้แต่เกวียน แต่ก็ตักบาตรเลี้ยงพระทุกวัน พระคือผู้สงบระงับ ต้องมักน้อยสันโดษ หน้าที่พระคือบำเพ็ญธรรม หลุดพ้นจากสิ่งปรุงแต่งให้มากที่สุด การมีรถยนต์เป็นเรื่องประหลาดพิกล
ที่ประชุมจึงเลิกคิดจะมีรถยนต์ประจำวัด
หลวงพ่อชาใช้ชีวิตเป็นพระนักธุดงค์ธรรม เดินป่าเดินเขาไปทุกที่ เดินทางไกล ๆ มาตลอดชีวิต รถยนต์มิเพียงเป็นส่วนเกิน ยังเป็นส่วนที่ทำให้ความเป็นพระขาดหายไป
ต่อมาโยมอีกรายหนึ่งขับรถมาทิ้งไว้ถึงที่กุฏิ ให้หลวงพ่อใช้ ท่านก็ประพฤติตนราวกับว่ารถยนต์คันนั้นไร้ตัวตน เพราะไม่สนใจไยดีรถยนต์คันนั้นเลย จนในที่สุดผู้ให้ก็ต้องรับรถคืนไป
หลวงพ่อชาใช้ชีวิตอย่างสันโดษโดยแท้ อาศัยอยู่ในกุฏิเก่า ไร้ข้าวของ มีแต่สิ่งของจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ใช้ชีิวิตเรียบง่าย ไม่รุงรัง ฉันข้าวมื้อเดียว ไม่เก็บสะสม ไม่มีเงินฝากในธนาคาร
เราไม่จำเป็นต้องเป็นพระระดับหลวงพ่อชา ก็สามารถสตรีมไลน์ชีวิตได้
นาน ๆ ทีควรมองตัวเองว่า เรารุงรังไปหรือไม่ ทั้งร่างกายและจิตใจ
ร่างกายรุงรังคือน้ำหนักเกิน โทรม โรคภัยสถิต
จิตใจรุงรังคือตะกรันของความโลภ ตัณหา ความอยาก เกาะหัวใจ
ขัดสนิมและตะกรันออกไปจากใจบ้าง
ใช้ชีวิตเรียบพอดี งดงาม ไม่รุงรัง
วินทร์ เลียววาริณ
24-4-25จาก ความสุขเล็ก ๆ ก็คือความสุข
57 บทความกำลังใจสั้นและยาว ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 3.3 บาท (ไม่คิดค่าส่ง) หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/165/ความสุขเล็ก%2520ๆ%20ก็คือความสุข
2 วันที่ผ่านมา