-
วินทร์ เลียววาริณ4 เดือนที่ผ่านมา
(ต่อจากโพสต์ https://www.facebook.com/photo?fbid=1234051238083565&set=a.208269707328395)
กิมย้งอยากทำงานสายการทูต จึงไปเรียนที่โรงเรียนการปกครองที่ฉงชิงในปี 1944 แต่ก็ถูกบีบให้ออกอีก หลังจากวิจารณ์พฤติกรรมของพวกก๊กมินตั๋ง
เขาเรียนต่อด้านภาษาต่างประเทศในมหาวิทยาลัยที่ฉงชิง แต่เรียนไม่จบ หันไปเรียนด้านกฎหมายนานาชาติแทน ตั้งใจจะทำงานสายการต่างประเทศ
เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยด้วยปริญญากฎหมายระหว่างประเทศ
แต่กลิ่นหมึกดึงเขากลับไปสู่การพิมพ์จนได้ เขาเข้าสู่สายนักข่าว เริ่มจากงานผู้สื่อข่าวให้ Southeastern Daily ที่เมืองหังโจว ปี 1946
ปีถัดมาก็ไปทำงานที่เซี่ยงไฮ้กับหนังสือพิมพ์ต้ากงเป้า ทำงานเป็นนักแปลข่าวต่างประเทศ หลังจากนั้นก็ถูกย้ายไปทำงานที่สาขาฮ่องกง และพบเนี่ยอูเซ็งที่นั่น และร่วมสร้างนิยายกำลังภายในสมัยใหม่
ปี 1957 กิมย้งลาออกจากงานหนังสือพิมพ์ ไปทำงานเขียนหนังสือและบทภาพยนตร์ เขายังร่วมกำกับหนังด้วย โดยใช้ชื่อ ฉาจินหยง เช่น เรื่อง The Nature of Spring (有女懷春) ในปี 1958 Bride Hunter (王老虎搶親) ในปี 1960 เป็นต้น
ความสำเร็จของ มังกรหยก ทำให้เขาได้ทุนก้อนหนึ่งไปร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์หมิงเป้าในปี 1959 เขาเป็นหัวหน้าบรรณาธิการ เขียนนิยายและ บทความควบคู่กันไป
ในช่วงต้นหมิงเป้าเกือบไปไม่รอด แต่นวนิยายกำลังภายใน มังกรหยก ภาค 2 ที่ลงตอนต่อตอนทำให้หมิงเป้าหายใจต่อไปได้ หมิงเป้ายังตีพิมพ์นิยายของนักเขียนอื่น ๆ ด้วย และมีนิยายหลากหลายประเภท
ขณะทำงานก่อร่างสร้างหมิงเป้า เขาเขียนหนังสือวันละหมื่นคำ ทำงานมือเป็นระวิง เล่ากันขำ ๆ ว่าเขาใช้มือขวาเขียนบทความ และมือซ้ายเขียนนิยายกำลังภายใน
ณ จุดนั้น กิมย้งมีบทบาทมากกว่านักประพันธ์ เขาเขียนบทความวิเคราะห์วิจารณ์การเมืองด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมาเจ๋อตงและนโยบายที่ ผิดพลาดหลายอย่างของพรรคคอมมิวนิสต์ เช่น ความอดอยากที่เกิดจากแผนพัฒนาประเทศห้าปีที่เรียกว่า แผนก้าวกระโดดไปข้างหน้า (大躍進 The Great Leap Forward) ที่ทำให้คนตายไปอาจสูงถึง 55 ล้านคน และการปฏิวัติวัฒนธรรม ที่คนมากมายตกเป็นเหยื่อการเมือง
กองบรรณาธิการของหมิงเป้ามีนักประวัติศาสตร์และกวีหลายคนที่มาจากเมืองจีน ทำให้หนังสือพิมพ์มีความหลากหลาย และให้ภาพจริงของเมืองจีน
กิมย้งเขียนต่อต้านเรื่องการปฏิวัติวัฒนธรรม ทั้งบทความและสอดแทรกในนิยาย ตัวละครจอมยุทธ์ที่บ้าอำนาจ แย่งชิงอำนาจในนิยายของเขาล้วนสะท้อนความเป็นไปในโลกจริง
อัจฉริยภาพของกิมย้งคือการสร้างของใหม่ สร้างโลกใหม่ กิมย้งสร้างจักรวาลบู๊ลิ้มที่น่าตื่นตะลึง เช่นเดียวกับที่ จอร์จ ลูคัส สร้างจักรวาลใหม่ของเขาในงานชุด Star Wars งานของเขาถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแล้วครั้งเล่า ตัวละครเป็นที่จดจำและชื่นชอบ
กิมย้งหยุดเขียนนิยายในปี 1972 เมื่ออายุ 48 ใช้เวลาที่เหลือขัดเกลาปรับปรุงนิยายทั้งหมดถึงสองรอบ งานของเขาแปลเป็นภาษาไทย เวียดนาม ญี่ปุ่น อังกฤษ ฯลฯ
งานเขียนของกิมย้งเข้ามาในเมืองไทยเร็วมาก คือ พ.ศ. 2501 ต้องยกเครดิตให้สำนักพิมพ์เพลินจิตต์ของ เวช กระตุฤกษ์ ที่ตีพิมพ์ มังกรหยก แปลโดย จำลอง พิศนาคะ โดยมีเครดิตร่วมกับ ประยูร พิศนาคะ นิยายแปลเรื่องนี้ดังระเบิด คนไทยไม่เคยอ่านเรื่องอย่างนี้มาก่อน
กิมย้งเป็นเจ้าแห่งการแต่งซับพล็อตที่ร้อยรวมกันเป็นเรื่องใหญ่ จนเหง่ยคัง นักเขียนบทภาพยนตร์และเพื่อนสนิทของกิมย้งกล่าวว่าเป็น ‘ภูษาสวรรค์ไร้ตะเข็บ’
วิทยายุทธแปลก ๆ กระบวนท่าพิสดาร เหล่านี้เป็นเพียงองค์ประกอบให้เรื่องสนุก แต่หากอ่านให้ลึกกว่าความสนุก จะพบว่าตัวละครมีความลึกและมีพัฒนาการ หากอ่านต่อไปอีกก็จะพบสาระที่ซ่อนอยู่ เช่นผลกระทบของการเมือง
เขามักรวมประสบการณ์ตรงกับจินตนาการเป็นนวนิยาย เช่น ในเรื่อง กระบี่ใจพิสุทธิ์ ตัวละคร ‘เต๊กฮุ้น’ จำลองมาจากคนจริง เป็นคนงานในบ้านของกิมย้ง ถูกติดคุกอย่างไม่เป็นธรรม ปู่ของกิมย้งลอบช่วยเขาออกมาจากคุก
นอกจากพล็อตสนุก สาระที่ซ่อนอยู่แล้ว สิ่งที่กิมย้งนำเสนอเสมอคือความเป็นมนุษย์
กิมย้งเขียนถึงธาตุแท้จิตใจคนได้ดีที่สุด โดยให้พฤติกรรมของตัวละครแสดงให้ผู้อ่านเห็นเอง
อีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ในงานของเขาคือหัวใจ กิมย้งเขียนงานโดย ‘อิน’ กับตัวละครมาก เขาร้องไห้เมื่อเขียนถึงตอนที่เอี้ยก้วยรอเซี่ยวเล้งนึ้งนานสิบหกปี แล้วพบว่าเป็นการรอคอยที่สูญเปล่า
เขาร้องไห้เมื่อเขียนถึงตอนที่เตียบ่อกี้ต้องลาจากเซี่ยวเจียว
เมื่อเฉียวฟงฆ่าคนรักของเขาด้วยความเข้าใจผิด เขาก็ร้องไห้หนัก
เพราะเขาเขียนด้วยหัวใจ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่งานของเขาแตะหัวใจผู้อ่านตลอดมา
นามปากกากิมย้งหรือจินหยง (金庸) สะท้อนนิสัยใจคอของเขา กิมย้งเป็นนักเขียนที่รอบรู้มาก แต่ถ่อมตนอย่างที่สุด
กิมย้งแปลตรงตัวว่าทองธรรมดา
金 (จิน หรือกิม) = ทอง
庸 (หยง หรือย้ง) = ธรรมดาสามัญ
ตั้งชื่อตัวเองว่า ‘ธรรมดาสามัญ’ ย่อมสะท้อนว่าเป็นคนถ่อมตัว
คำว่ากิมหรือทองในที่นี้อาจใช้เป็นแซ่ก็ได้ เพราะมันมาก่อนคำว่าหยง (ภาษาจีนคุณศัพท์มาก่อนคำนาม) แต่จะตีความว่ากิมคือความบริสุทธิ์ ความสูงส่งก็ได้
กิม+ย้ง จึงมีความหมายว่า ‘ทองธรรมดา’ แต่ฟังดูย้อนแย้ง เพราะทองย่อมไม่ธรรมดา
เราอาจตีความว่า “มองเห็นทองเป็นเรื่องธรรมดา” ก็ย่อมได้ หรือจะหมายถึง ‘สูงสุดคืนสู่สามัญ’ ก็น่าจะได้ เพราะเป็นทองอันงำประกาย คล้าย ๆ เพชรในตม
วงการบู๊ลิ้มยกย่อง ‘ทองธรรมดา’ ผู้นี้ว่า เป็นทองที่หายากนัก คนในวงการหนังสือกล่าวว่า “หนึ่งร้อยปีมีกิมย้งหนึ่งคน”
ผมรู้สึกว่าหนึ่งร้อยปีอาจประเมินต่ำไปหน่อย อย่างต่ำต้องห้าร้อยปี
ทำไมในรอบร้อยปีมีคนเดียว?
ในมุมมองของนักเขียน ผมเชื่อว่าเป็นเพราะงานของกิมย้งประกอบด้วยโครงเรื่องยอดเยี่ยม + ความสนุกเต็มอัตรา + ตัวละครมีมิติและมีสีสัน + ฉากประวัติศาสตร์ที่สมจริงและสนุก นอกจากนี้ในบางเรื่องมีคอนเส็ปต์ที่แรง เช่น คอนเส็ปต์เรื่องความดีความเลวและอำนาจใน กระบี่เย้ยยุทธจักร คอนเส็ปต์เรื่องอำนาจมิได้มาจากความดีงามใน อุ้ยเซี่ยวป้อ และนี่ก็คือสาระที่ผู้เขียนมอบให้มากกว่าแค่ความบันเทิง
ตลอดชีวิตนักประพันธ์ กิมย้งเขียนนวนิยายเพียง 15 เรื่อง แทบทั้งหมดเป็นเรื่องยาว และเป็นนิยายกำลังภายในอิงประวัติศาสตร์
จุดเด่นของงานของกิมย้งคือ หลอมเนื้อเรื่องเข้ากับฉากประวัติศาสตร์อย่างกลมกลืน และมักใช้บุคคลจริงเป็นตัวละคร
ผมเขียนหนังสือ ยุทธจักรวาลกิมย้ง ก็เพื่อสำรวจฉากประวัติศาสตร์ในนวนิยายของเขา
ยิ่งค้นคว้าก็ยิ่งพบว่าประวัติศาสตร์จริงนั้นสนุกผิดคาด หลายท่อนสนุกกว่าเรื่องแต่งเสียอีก
ในตอนต่อๆ ไป จะเล่าประวัติศาสตร์จีนที่กิมย้งใช้เป็นฉากนวนิยายของเขา เรียงตามลำดับเวลา
โปรดติดตาม
วินทร์ เลียววาริณ
2-3-25.....................
ยุทธจักรวาลกิมย้ง
https://www.winbookclub.com/store/detail/186/ยุทธจักรวาลกิมย้งโปรโมชั่นพิเศษ https://www.winbookclub.com/store/detail/189/โปรโมชั่น%203%20in%201%20ชุด%20S2
0- แชร์
- 48
-
ในบทรีวิว Dept. Q ผมพูดถึงซีรีส์สองชุดของผู้สร้างคนเดียวกันคือ Godless และ The Queen's Gambit
ข่าวดีคือยังสามารถดูได้จาก Netflix
จึงถือโอกาสนำรีวิวย้อนหลังมาให้อ่าน
..........................
(รีวิว Godless)คาวบอยหนุ่มลูบไล้ม้าป่าอย่างอ่อนโยน สัมผัสลำตัวม้าเหมือนลูบคนรัก นานเท่านาน ม้าป่านิ่ง และในที่สุด ด้วยสัมผัสเบา ๆ มันก็คู้เข่าลงนอนราบกับพื้น
มันเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ม้าป่าเชื่อง มันยังเป็นวิธีบอกม้าว่า ต่อไปนี้เขาจะเป็นผู้ดูแลมัน ให้อาหารและน้ำแก่มัน เป็นการสร้างความไว้วางใจต่อกัน
ในโลกโหดร้ายของการแสวงหาดินแดนใหม่ทางตะวันตก คนกับม้าต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
ทว่าม้าป่าที่แท้สามารถปราบได้จริงหรือ?
นี่เป็นภาพยนตร์ซีรีส์ 7 ตอนเรื่อง Godless มันไม่ใช่หนังชีวิตของม้า มันเป็นชีวิตของคน ทว่าหนังอาจอยากบอกว่า คนบางประเภทก็เหมือนม้าป่า ไม่สามารถทำให้เชื่องได้
Godless เป็นหนังคาวบอย (ฝรั่งเรียกตระกูลนี้ว่า western) ฉากคือสหรัฐอเมริกายุคบุกเบิกดินแดนใหม่ แกนหลักของเรื่องความขัดแย้งของคน โดยใช้องค์ประกอบของฉากอเมริกายุคนั้น รถไฟ การปล้น การฆ่า โสเภณี ฯลฯ มารองรับ
มันเป็นเรื่องของการต่อสู้ การหักหลัง การทรยศ การแก้แค้น บนเส้นแบ่งอันรางเลือนระหว่างความดีกับความชั่ว
ที่หลุดจากหนังคาวบอยอื่น ๆ คือ นี่อาจเป็นหนังคาวบอยเรื่องแรกที่เน้น feminism แสดงบทบาทของสตรีเท่าเทียมบุรุษ
และนี่ก็อาจเป็นเรื่องแรก ๆ ที่ให้เวลากับฉากม้าเยอะมาก คนรักม้าน่าจะชอบ
หนังให้ความบันเทิงสูง รุนแรง เลือดสาด ตัดกับฉากหลังที่สงบงาม
บทกระชับ ถ่ายสวย ฉากสวย ฉากเกี่ยวกับม้าสวย เช่น ม้าข้ามน้ำ ฉากกองโจรม้าไล่ล่าม้าพระเอก สวยงามอย่างยิ่ง ไปจนถึงฉากประจันหน้ายิงสนั่นในตอนท้าย (ฝรั่งเรียก showdown)
แซ่บอีหลี ดีลิเฌียส!
9.5/10
..........................
(รีวิว Queen's Gambit)
ผมเริ่มเล่นหมากรุกฝรั่งตอนเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีสอง เพื่อนๆ เล่นกันและกรุณาสอนให้ พวกเราเล่นทั้งหมากรุกไทย จีน และฝรั่ง ผมชอบหมากรุกฝรั่งมากกว่า เพราะก้าวของหมากไปไกลกว่า ต้องคิดกว้าง ส่วนหมากรุกจีนนั้นไม่ไหว ยอมแพ้
อย่างไรก็ตาม ผมเล่นหมากรุกฝรั่งเพื่อผ่อนคลาย ไม่ใช่เล่นเอาชนะ เพราะไม่มีสติปัญญามองเกมหลายหมากล่วงหน้า แต่ในเมื่อเล่นเองไม่รอด ก็ให้ตัวละครเล่นหมากรุกเก่ง ก็คือตัวเอกในนวนิยายเรื่อง ปีกแดง ที่ใช้ฉากโซเวียต แผ่นดินแห่งเซียนหมากรุก
ภาพยนตร์เกี่ยวกับหมากรุกมีมากมายนับไม่ถ้วน เช่น Searching for Bobby Fischer, Dangerous Moves, Pawn Sacrifice, Knights of the South Bronx ฯลฯ
ล่าสุดเป็นมินิซีรีส์เจ็ดตอนของ Netflix ชื่อ The Queen's Gambit
วลี Queen's Gambit เป็นชื่อเรียกวิธีการเปิดเกมรูปแบบหนึ่งของหมากรุกสากล ใช้มานานตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 (Queen คือหมากสำคัญที่สุดของเกม)
Queen's Gambit ในชื่อเรื่องอาจมีนัยเพิ่มอีกนิดคือ Queen อาจหมายถึงตัวเอกของเรื่องที่เป็นผู้หญิง
หนังเล่าการเดินทางในชีวิตของเด็กหญิงคนหนึ่งในโลกที่หดหู่หม่นหมองและด้อยโอกาส กับการเดินทางหนีโลกแห่งความจริงเข้าไปในโลกของเกมที่เก่าแก่ที่สุดเกมหนึ่งของมนุษยชาติ
พื้นที่ในโลกของเธอแบ่งออกเป็นตาราง 64 ช่อง และเธอก็จมชีวิตอยู่ในนั้น และมีแต่คนที่จมทั้งชีวิตภายใน 64 ช่องนั้น จึงอาจจะได้เป็นเซียน
มันจึงเป็นหนังดรามาที่ใช้ฉากหมากรุก หรือเป็นหนังหมากรุกที่เป็นดรามา
นี่ไม่ใช่เรื่องจริง The Queen's Gambit สร้างมาจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ Walter Tevis เรื่องของเด็กหญิงกำพร้าวัยแปดขวบที่เป็นอัจฉริยะทางหมากรุก และการเล่นหมากรุกเปลี่ยนชีวิตเธอ
มันเป็นทั้งหนังดรามา หนังทริลเลอร์ หนังกีฬา หนังนิยายจีนกำลังภายใน และกึ่งหนังซูเปอร์ฮีโร
แต่หากวิเคราะห์โครงสร้างของหนัง มันก็คือ Seabiscuit เวอร์ชั่นหมากรุก ใช้ฉากย้อนยุคเช่นกัน เล่าถึงความลำบากของการฝึกฝนเพื่อขึ้นมาเป็น 'จอมยุทธ์' ในยุทธจักรหมากรุก
แม้ไม่ใช่คอนเส็ปต์ใหม่ แต่หนังและบทสร้างได้กระชับ จังหวะจะโคนลงตัว เก็บรายละเอียดและเกร็ดต่างๆ นักแสดงหลักเล่นได้ดี และหนังทำได้สนุกมาก
หนังให้เกร็ดความรู้หลายเรื่องเกี่ยวกับโลกของหมากรุกฝรั่ง และทำได้สมจริง เพราะได้ที่ปรึกษาเป็นเซียน คือแกรนด์มาสเตอร์ แกร์รี คาสปารอฟ
บางท่อนอาจจะเป็นดรามามากไปนิด หลุดๆ ไปบ้าง แต่โดยรวมเป็นหนังชุดที่ดูสนุกอย่างยิ่ง แลเห็นความพิถีพิถันของงาน แต่ที่สำคัญที่สุดคือการกำกับที่เอาอยู่ ทำให้เป็นแม่เหล็กดูแล้วหยุดไม่ได้
The Queen's Gambit เป็นบทพิสูจน์ว่า การทำหนังที่ดีไม่ได้อยู่ที่ไอเดียใหม่สดอย่างเดียว มันอยู่ที่การเคลื่อนจังหวะแต่ละก้าวของหนัง เหมือนการเล่นหมากรุกของแกรนด์มาสเตอร์ และนี่ก็ทำให้หนังที่ดูเหมือนสูตรสำเร็จธรรมดากลายเป็นหนังสนุกและจับคนดูอยู่
เมื่อวัดด้วยมาตรนี้ มันก็สมควรได้คะแนน 10/10
...................................
วินทร์ เลียววาริณ
15-7-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
(มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)
1 วันที่ผ่านมา -
ลูกน้องเก่าคนหนึ่งมาพบคุณบริสุทธิ์ เพื่อมอบบัตรเชิญพิธีมงคลสมรส
“ผมจะแต่งงาน”
คุณบริสุทธิ์ถอนใจยาว
“พี่ถอนใจทำไมครับ?”
“เหนื่อยใจว่ะ”
“พี่กลุ้มใจ’ไรหรือครับ?”
“กลุ้มใจแทนมึงว่ะ”
“พี่มีคำแนะนำอะไรมั้ยครับ?”
“ถ้าผมแนะนำว่าอย่าแต่ง คุณจะฟังหรือ?”
“ไม่ฟังครับ”
“นั่นน่ะซี”
“ชีวิตแต่งงานเลวร้ายขนาดนั้นเชียวหรือครับ?”
“ด้วยความหวังดี ผมจะแสดงให้คุณเห็นของจริงดีกว่า คุณจะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น”
หลังเลิกงาน ลูกน้องเก่าขับรถมารับคุณบริสุทธิ์กลับบ้าน
“บ้านพี่สวยครับ พี่นี่มีวาสนาจริง ๆ”
“ขอบใจ แต่เดี๋ยวคุณอาจอยากถอนคำพูด”
“ผมไม่เข้าใจครับ”
“เดี๋ยวก็เข้าใจเอง”
คุณบริสุทธิ์บอกภรรยา “ที่รัก ผมชวนเพื่อนมากินข้าวเย็น”
เสียงของหล่อนสูงปรี๊ดขึ้นมาทันที
“จะบ้าหรือ? ฉันไม่ชอบเซอร์ไพรซ์แบบนี้นะ ไม่ได้บอกล่วงหน้ามาก่อน ฉันไม่ได้เตรียมพร้อม ผมของฉันยังไม่ได้เซ็ท หน้าก็ยังไม่ได้แต่ง เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้แต่ง บ้านก็รกไปหมด พื้นยังไม่กวาด แม่บ้านก็ไม่อยู่ อีกอย่างคุณก็รู้ว่าฉันไม่ชอบทำอาหารเลี้ยงใคร ทำไมจึงทำบ้า ๆ อย่างนี้? เพื่อนคุณไม่ใช่เพื่อนฉันนะ แย่จริง ๆ เลย คุณทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง? คุณเห็นฉันเป็นคนใช้หรือไง? นี่คุณไม่นึกถึงหัวจิตหัวใจของฉันบ้างเลยหรือ?...”
“ไม่ต้องทำอาหารหรอกจ้ะ เพื่อนของผมกำลังจะแต่งงาน ผมจึงพาเขามาดูชีวิตคู่ของจริงก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงานจ้ะ”
วินทร์ เลียววาริณ
16-7-25.....................
เล่าใหม่จากขำขันที่ได้ยินมา รวมอยู่ในหนังสือนวนิยาย เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์ฯ
(นวนิยายแนวใหม่ที่นำขำขันตลกๆ ระดับ ‘ขำกลิ้ง’ 400 เรื่องมายำเป็นนวนิยาย)
ค่าคลายเครียดแค่ 330 บาท เฉลี่ยขำละ 80 สตางค์ หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/188/เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์กับนางสาวภุมรี%20ศจีรมย์%20สมถวิล%20จินตหรา%20พารัก%2520ปักเสน่ห์%20เรวดี%20ศรีสกาว
โปรโมชั่น https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee เดี่ยว https://s.shopee.co.th/1VjWGyXzed
https://s.shopee.co.th/9A8xPCjmLp
1 วันที่ผ่านมา -
นักโทษคนหนึ่งเขียนจดหมายถึงคนรักของเขาว่า เขากำลังจะพ้นโทษ หลังจากใช้ชีวิตในคุกนานสามปี เขาอยากรู้ว่าเธอยังรอเขาอยู่หรือไม่ เธอจะให้อภัยเขาไหม จากคุกเขานั่งรถบัสกลับบ้าน หวังจะได้กลับไปหาเธอ หากเธอยังรักเขาอยู่ ก็ให้แขวนริบบินสีเหลืองเส้นหนึ่งรอบต้นโอคหน้าบ้าน หากเขานั่งรถบัสผ่านไปแล้วไม่เห็นริบบินสีเหลือง เขาก็จะไม่ลงจากรถ และจากไปตลอดกาล ยอมรับคำตัดสินของเธอโดยดุษณี ระหว่างทาง เขาขอให้คนขับรถบัสช่วยมองหาริบบินสีเหลืองที่คาดรอบต้นโอค เพราะเขากลัวว่ามองหาแล้วไม่เห็น
นี่เป็นเนื้อหาของเพลง Tie a Yellow Ribbon ’Round the Old Oak Tree แต่งโดย เออร์วิน ลีไวน์ กับ แอล. รัสเซลล์ บราวน์ มีเค้ามูลจากเรื่องจริงของชายนักโทษคนหนึ่งในรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา มันกลายเป็นบทความ หนังโทรทัศน์ และเพลง
I’m comin’ home, I’ve done my time
Now I’ve got to know what is and isn’t mine
If you received my letter telling you I’d soon be free
Then you’ll know just what to do
If you still want me...ในศตวรรษที่ 19 ริบบินสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของการระลึกถึงหรือการรอทหาร ผู้หญิงหลายคนคาดริบบินสีเหลืองบนเส้นผมเพื่อบอกว่าพวกเธอกำลังรอคนรักซึ่งไปรับใช้ชาติอยู่ในสมรภูมิ
ในยุค 1970 สัญลักษณ์ริบบินสีเหลืองนี้ขยายออกไปนอกวงการทหาร มีความหมายถึงการจากไปของคนรัก ไม่ว่าจะไปสงครามหรือติดคุก การติดริบบินสีเหลืองหมายถึงใครคนนั้นยังรอคนที่จากไปอยู่ บางครั้งก็ผูกรอบต้นไม้หน้าบ้าน
Tie a yellow ribbon ’round the old oak tree
It’s been three long years
Do you still want me........................
ความผิดของมนุษย์ในโลกมีสองประเภท ทำผิดโดยไม่ตั้งใจกับโดยตั้งใจ
การทำผิดโดยไม่ตั้งใจก็มีสองประเภทคือ ทำผิดแล้วหลาบจำ ไม่ทำผิดอีก กับทำผิดแล้วทำซ้ำอีก
โดยหลักการ การทำผิดแล้วหลาบจำ รู้จักเรียนรู้จากสิ่งที่ทำ ก็เป็นเรื่องที่น่าให้อภัย แต่โดยการปฏิบัติ สังคมมักไม่ค่อยเปิดโอกาส โอกาสที่สองให้คนทำผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักโทษและอาชญากร
นี่อาจเป็นสาเหตุของการกลับเข้าคุกรอบที่สอง รอบที่สามของคนจำนวนมาก ด้วยทัศนคติแบบนี้ของสังคม สร้างคุกเท่าไรก็ไม่เคยพอ
การเปิดโอกาสที่สองแก่คนทำผิดที่รู้สำนึกไม่เพียงยกระดับจิตใจของคนที่รู้จักให้อภัย ยังช่วยแก้ปัญหารวมของสังคมในระยะยาวซึ่งยั่งยืนกว่า
คัมภีร์คริสต์ศาสนา The Gospel of John บทที่ 8:1-11 บันทึกว่า เช้าวันหนึ่ง เมื่อพระเยซูเสด็จไปถึงภูเขามะกอก พระองค์ดำเนินไปถึงวัดแห่งหนึ่ง พบเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะถูกประชาทัณฑ์ เนื่องจากนางประพฤติผิดในกาม โทษของนางตามกฎแห่งโมเสสคือต้องถูกขว้างด้วยก้อนหินจนตาย
พระเยซูตรัสกับชาวบ้านผู้หมายจะลงทัณฑ์ว่า “ขอให้ผู้ที่ปราศจากบาปเป็นคนแรกที่ขว้างก้อนหินใส่นางเถิด” ไม่นานฝูงชนก็ค่อยๆ หายไปทีละคนสองคน ในที่สุดก็เหลือแต่พระองค์กับหญิงคนนั้น องค์เยซูตรัสกับสตรีนางนั้นว่า “เราเองก็ไม่อาจประกาศว่าเจ้าทำผิด จงไปเสียเถิด และอย่าทำบาปอีก”
ไม่เคยมีใครไม่ทำผิด ไม่มีคนบริสุทธิ์ผุดผ่องเต็มร้อยในโลกใบนี้ แม้แต่พระพุทธองค์ยังทรงให้โอกาสที่สองแก่โจรใจบาป องคุลิมาล
การให้อภัยจึงเป็นทานชั้นสูง เพราะมันยกระดับจิตใจของคนให้
สำนวนจีนว่า “เมื่อวางดาบ ก็เป็นอรหันต์”
มหาตมะ คานธี กล่าวว่า “คนอ่อนแอไม่สามารถให้อภัยได้ การให้อภัยเป็นคุณสมบัติของคนเข้มแข็ง”
อิสรภาพที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อใจเป็นอิสระ
I’m really still in prison
And my love, she holds the key
A simple yellow ribbon’s what I need to set me free.....................
รถบัสแล่นไปถึงที่หมาย คนในรถบัสส่งเสียงร้องเชียร์ดังลั่น ชายอดีตนักโทษมองเห็นริบบินสีเหลืองจำนวนนับร้อยเส้นแขวนบนต้นโอคใหญ่ ปลิวไสวไปตามแรงลม
วินทร์ เลียววาริณ
16-7-25จากหนังสือ กอดหนาม
51 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 260 บาท = บทความละ 5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้ว
https://www.winbookclub.com/store/detail/241/กอดหนามโปรโมชั่นคู่กับเล่มอื่น https://www.winbookclub.com/store/detail/243/%28S11%29%20กอดหนาม%20+%20ปฎิบัติการผ่าสมองไอน์สไตน์%20+%20Mini%20Tao
Shopee เดี่ยว https://s.shopee.co.th/qUBWxp70F
1 วันที่ผ่านมา -
นักสืบชาวสก็อต คาร์ล มอร์ค กับคู่หูถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส หลังจากรักษาตัวหายแล้ว มอร์คก็กลับไปทำงาน คาร์ล มอร์ค เป็นคนขวางโลก ไม่มีใครชอบ เจ้านายจึงตั้งแผนกใหม่ให้เขาดูแล แผนกนี้เรียกว่า Dept. Q รื้อฟื้นคดีเก่าที่ไขไม่ได้
เขาทำงานใหม่นี้อย่างเสียไม่ได้ ผู้ช่วยคนใหม่ของเขาเสนอให้เขาไขคดีหญิงสาวคนหนึ่งหายตัวไปอย่างปริศนา
นี่คือ Dept. Q ซีรีส์นิยายสืบสวนสอบสวนที่แปลงมาจากงานของนักเขียนเดนมาร์ก Jussi Adler-Olsen เปลี่ยนฉากเป็นสก็อตแลนด์ ทำโดยผู้กำกับอเมริกัน Scott Frank
คอหนังคงจำหนังซีรีส์ Godless (ผมให้คะแนน 9.5/10) และ The Queen's Gambit (10/10) ก็คือผลงานของเขา
Scott Frank เคยเขียนบทหนังโรง เช่น Logan (2017) ที่ฉีกแนวหนังซูเปอร์ฮีโร เป็นหนังดีเรื่องหนึ่ง
Dept. Q ชุดนี้ก็ไม่ผิดหวัง
Dept. Q เป็นซีรีส์ที่ใช้องค์ประกอบเรื่องคล้าย The Silence of the Lambs และ True Detective season 1
พล็อตเข้มข้น แต่จุดเด่นอยู่ที่วิธีการเล่าเรื่อง
ฉากเปิดเรื่องนี้จัดว่าดีมาก ใช้องค์ประกอบธรรมดา เล่าเรื่องธรรมดาให้ไม่ธรรมดา
หนังปูพื้นของตัวละครแทบทุกคน ส่วนมากเป็นตัวละครที่บาดเจ็บ (ทั้งกายและจิตใจ) และความบาดเจ็บนี้ที่ขับเคลื่อนอาชญากรรม
หนังเต็มไปด้วยฉากรุนแรง โหดเหี้ยม ทรมานเหยื่อ ผู้ที่ไม่ชอบดูภาพแบบนี้ หรือกลัวว่าจะเก็บไปฝันร้าย ก็อาจต้องผ่าน
หนังหักมุมเป็นระยะ
จุดอ่อนของเรื่องนี้คือใส่รายละเอียดมากเกินไป ฉากบางท่อนซ้ำ ตัวละครบางคนไม่มีความจำเป็น แต่เข้าใจว่าต้องการรักษารายละเอียดของต้นฉบับ แต่โดยรวมรักษาความเข้มข้นได้ โดยเฉพาะสองตอนสุดท้าย
ช่วงจบยืดไปนิด แต่เข้าใจว่าเพื่อให้คนดูผ่อนคลายลงหลังจากฉากไคลแม็กซ์เข้มข้นที่ซัดมาเป็นชุด
เทียบกับ True Detective แล้ว True Detective season 1 เหนือกว่า อาจเพราะ TD1 (10/10) กระชับ ไม่ยืด ไม่มีส่วนเกิน
แต่โดยรวม ทำหนังได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าดี
ป.ล. ไม่ควรดูเรื่องนี้ก่อนนอน จะฝันร้ายได้
9.5/10
ฉายทาง Netflixวินทร์ เลียววาริณ
15-7-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
(มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)
1 วันที่ผ่านมา -
หมายเหตุ : หลายเดือนก่อนผมเปรยว่า กำลังเรียนพุทธศาสนาอีกรอบ และถ้าเป็นไปได้ จะพยายามย่อยเรื่องพุทธยากๆ ให้เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้
วันนี้น่าจะได้ฤกษ์เริ่มสักที ไม่ใช่เพราะรู้พอแล้ว แต่เพราะมัวแต่ดูหนัง ถ้าไม่บังคับตัวเองให้เขียน ก็คงไม่ทำ การบังคับตัวเองให้เขียนเท่ากับบังคับให้ตัวเองอ่าน
โปรดเข้าใจว่าเรื่องที่ผมนำมาลงให้อ่านนี้ไม่ได้เขียนขึ้นใหม่เอง ผมทำหน้าที่แค่ย่อยสิ่งที่อ่านมาให้เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น (ย่อยธรรม ไม่ใช่สอนธรรม) ท่านที่มีความรู้จริงสามารถเสริม แก้ไข หรือแย้งได้เสมอ จะได้เป็นประโยชน์ร่วมกัน
..............................
เริ่มที่ ก. ไก่ กรรมฐาน
คำอธิบายเรื่องกรรมฐานนี้ ผมอ่านมาจากงานเขียนเรื่อง ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) รู้สึกว่าเข้าใจง่ายกว่าคำอธิบายอื่นๆ ที่เคยอ่านมา
คนส่วนมากเข้าใจว่ากรรมฐานหมายถึงการทำสมาธิชั้นสูง การนั่งสมาธิในป่าคนเดียว แต่จริงๆ แล้วกรรมฐานหมายถึงเครื่องมือหรือที่ทำงานของจิต
กัมมัฏฐานแปลว่าที่ทำงาน
เราย่อมรู้ว่าเราทำสมาธิเพื่อให้ใจแน่วนิ่ง แบบมาตรฐานคือกำหนดลมหายใจที่ปลายจมูก
แต่การกำหนดลมหายใจที่ปลายจมูกเป็นแค่เทคนิค (หรืออุบาย) หนึ่ง ยังมีอีกหลายเทคนิค เช่น พิจารณาซากศพ เดินจงกรม ฯลฯ เทคนิคทั้งหลายเหล่านี้เรียกว่า กรรมฐาน หรือกัมมัฏฐาน
ดังนั้นจึงอาจบอกว่ากรรมฐานก็คือออฟฟิศของจิต หรือที่ฝึกงานของจิต หรือเครื่องมือฝึกจิต มันจะเป็นอะไรก็ได้ อาจเป็นรูจมูกที่เรากำหนดลมหายใจ อาจเป็นการพิจารณาซากศพ อาจเป็นการเดินจงกรม อะไรก็ได้ที่ทำให้จิตนิ่ง
เมื่อจิตกำหนดอยู่ที่สิ่งเดียวได้เมื่อไร ก็คือเข้าสู่สมาธิ
วินทร์ เลียววาริณ
15-7-251 วันที่ผ่านมา