• วินทร์ เลียววาริณ
    0 วันที่ผ่านมา

    ผู้อ่านขาจรที่ไม่คุ้นกับเพจนี้ อาจสงสัยว่าทำไมผมต้องลงโฆษณาขายหนังสือเอง เป็นนักเขียนก็เขียนไปซี ทำไมต้องทำงานการตลาดด้วย

    คำตอบคือ นักเขียนไทยไม่ใช่นักเขียนนอก ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็อดตาย

    No eat. Dead.

    ผมทำงานโมเดล ‘พิมพ์เองขายเอง’ มายี่สิบกว่าปีแล้ว เดินตามรอยนักเขียนคนแรกๆ ที่ทำคือพี่ชาติ กอบจิตติ มีนักเขียนหลายคนเดินตามโมเดลนี้ แล้วหายไปทีละคนสองคน ผมว่าผมน่าจะเป็นคนท้ายๆ ที่ยังยืนอยู่ คงเป็น endangered species อีกไม่นานแล้วละ

    ‘พิมพ์เองขายเอง’ หมายถึงนักเขียนลงทุนพิมพ์เอง พูดง่ายๆ คือนักเขียนเปิดสำนักพิมพ์ ตีพิมพ์งานของตัวเอง

    การทำงานโมเดลนี้ต้องสวมหมวกหลายใบ เขียนหนังสือ ออกแบบ โฆษณา เปิดบูธขายหนังสือ ฯลฯ

    ปกติสำนักพิมพ์ใหญ่หน่อย จะมีบุคลากรด้านต่างๆ คนเขียนเขียนไป บรรณาธิการตรวจงานไป เจ้าหน้าที่พิสูจน์อักษรก็ตรวจหาคำผิดไป คนออกแบบปกก็ออกแบบไป คนวาดภาพประกอบ คนจัดอาร์ตเวิร์ก ช่างภาพ ฯลฯ ก็ทำงานเฉพาะอย่างของพวกเขาไป

    แต่ในสำนักพิมพ์เล็กมากๆ อย่าง 113 นักเขียนต้องเหมาทำงานเกือบทุกหน้าที่ เพราะไม่คุ้มว่าจ้างคนหลายตำแหน่ง

    ถ้านักเขียนสามารถทำงานหน้าที่อื่นได้ด้วย ก็ประหยัดพอสมควร นี่ก็ซื้อเบนท์ลีย์มาขับเฉี่ยวคนจนเล่น เบื๊อเบื่อความรวยของตัวเอง!

    นี่ไม่ได้หมายความว่านักเขียนใหม่ที่คิดใช้โมเดลนี้ ต้องทำงานเองทุกอย่างหรอกนะ แต่เรียนรู้งานอื่นๆ ไว้ ก็ไม่เสียหาย

    สวมหมวกหลายใบบางครั้งก็สนุกได้

    ย่อมมีคนถามว่าแล้วบทบาทไม่ตีกันหรือ เช่น บทบาทนักขายอาจส่งอิทธิพลไปที่บทบาทของนักเขียน ให้เขียนงานที่ขายได้เท่านั้น

    แล้วแต่คนครับ ส่วนตัวผมมองว่า เวลาสวมหมวกแต่ละใบ ก็ทำให้ดีที่สุดในหน้าที่ของหมวกใบนั้น แต่ไม่ลดคุณค่างานเด็ดขาด

    เมื่อสวมหมวกนักเขียน ก็เขียนงานที่ตนเองเชื่อ และทำงานที่เป็นศิลปะให้มากที่สุด ไม่ต้องเอาใจใคร

    เมื่อสวมหมวกนักขาย ก็หาทางขายงานที่เขียนให้ได้มากที่สุด

    ผมเองก็ทำแทบทุกอย่าง รีเสิร์ช เขียน ทำอาร์ตเวิร์ก วาดรูปประกอบ ถ่ายรูป(บ้าง) ออกแบบปก ทำเพจ ตอบลูกค้า ขายของ โฆษณา แบกของ ฯลฯ

    หมวกใบที่ไม่สวมเลยก็คือบรรณาธิการ และผู้พิสูจน์อักษร เพราะต้องการให้สายตาคนอื่นช่วยจับผิดงานเขียน จับผิดเองไม่ค่อยได้

    เมื่อสวมหมวกใบใด ก็ทำงานใบนั้น ก็เท่านั้น

    นักเขียนไทยเหนื่อยกว่านักเขียนตะวันตกเยอะ ต้องเขียนให้ได้ทั้งคุณภาพและปริมาณ ถ้าไม่อยากกินมาม่าเป็นอาหารหลัก

    เหนื่อยแต่เป็นอิสระ แต่เหนื่อยมากกว่าอิสระหน่อย

    โมเดลนี้ทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพฤติกรรมการอ่านหนังสือของคนทั้งโลกเปลี่ยนไป สำหรับนักเขียนไทยเหนื่อยกว่า เพราะคนไทยมีแค่ 60-70 ล้าน

    มีคนวิเคราะห์ให้ผมฟังว่า ปัญหาของเพจนี้คือ ผมให้อ่านฟรีมากไป จนกระทั่งผู้อ่านไม่เห็นว่าทำไมต้องซื้อหนังสือ เพื่อให้นักเขียนอยู่เขียนหนังสือให้อ่านต่อไปได้

    โมเดลล่าสุดที่ผมเพิ่งเริ่มทำคือ pre-order จะรอดหรือไม่ ยังไม่รู้

    แต่ถ้าไม่ทำ ก็ No eat. Dead.

    วินทร์ เลียววาริณ
    6-3-25

    0
    • 0 แชร์
    • 18

บทความล่าสุด