• วินทร์ เลียววาริณ
    0 วันที่ผ่านมา

    หลังกบฏบวรเดชล้มเหลว มีการจับกุมคนเกี่ยวข้องมากมายหลายร้อยคน ติดคุกเป็นระนาว และติดคุกยาวเป็นสิบปี ตั้งแต่คุกบางขวาง ย้ายไปที่เกาะตะรุเตา และเกาะเต่า ตายไปมาก เป็นการลงโทษกบฏที่รุนแรงที่สุด

    นักโทษจำนวนมากเป็นปัญญาชน ได้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ อย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม ทำให้เรารู้ไปจนถึงรายละเอียดของชีวิตคนคุก เช่นที่เกาะเต่า อดอาหารจนฟันร่วงจากปาก เป็นต้น

    มันเป็นการกวาดล้างทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และส่งผลให้เกิดการรัฐประหารตามมาอีกหลายครั้ง

    รัฐประหารในยุคหลัง ถ้าแพ้ อย่างมากก็เนรเทศผู้ก่อการออกนอกประเทศ ผ่านไปไม่กี่ปี ก็กลับมาเดินปร๋อ

    แต่กบฏบวรเดชเล่นกันหนักจริง

    ผมใช้ข้อมูลจำนวนมหาศาลนี้เขียนนวนิยายเรื่อง น้ำเงินแท้ บันทึกเรื่องกบฏบวรเดช เป็นนวนิยายแนว ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน และ ปีกแดง แต่ไม่ค่อยมีคนรู้ เพราะไม่เคยโปรโมต สนใจก็หาซื้อมาอ่าน เพราะหนังสือหมด จะไม่ตีพิมพ์ใหม่อีก

    วันนี้ขอเล่าเรื่องหนึ่งในนักโทษบวรเดชที่เป็นคนระดับสูง และมีชีวิตโลดโผน ไม่อ่านไม่ได้ สมควรอ่าน เพราะไม่มีสอนในโรงเรียน

    พระยาสุรพันธเสนี (อิ้น บุนนาค) สมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลราชบุรี ซวยเพราะถูกพระองค์เจ้าบวรเดชชวน ต่อหน้านายกรัฐมนตรี พระยาพหลพลพยุหเสนา

    เกร็ดที่น้อยคนรู้คือ พระยาสุรพันธเสนีก็คือพ่อตาของนักเขียน มนัส จรรยงค์ นักเขียนพาลูกสาวท่านหนี (อ้อม บุนนาค)

    เรื่องนี้ยาว ต้องเล่ามาตั้งแต่ต้น

    พระยาสุรพันธเสนีเขียนบันทึกไว้ในหนังสือ ฝันร้ายในชีวิตของข้าพเจ้า ว่า

    “ในขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในราชการและดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลราชบุรีอยู่นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จแปรพระราชฐานประทับร้อนที่สถานตากอากาศหัวหิน ณ ที่พระราชวังไกลกังวล การเสด็จแปรพระราชฐานครั้งนี้อยู่ในความรับผิดชอบของข้าพเจ้าตามประเพณีแต่เดิมมา หรือเรียกว่าตามหน้าที่ก็ว่าได้ ในเวลานั้นเองก็ได้มีกองกำลังนครราชสีมาลุกขึ้นแข็งอำนาจ ภายใต้การนำของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดชเพื่อต่อสู้กับรัฐบาล โดยกล่าวว่ารัฐบาลมิได้ดำเนินการระบอบประชาธิปไตยตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญากับราษฎร

    เมื่อข่าวนี้แพร่ไปอย่างรวดเร็วทั้งทางหนังสือพิมพ์และวิทยุ ข้าพเจ้าก็ได้ข่าวนี้ด้วยความตื่นเต้นและตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ ณ ตำบลอันอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงตกอยู่ในฐานะที่จะต้องป้องกันและถวายความปลอดภัยต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    ความจริงเรื่องที่พระองค์เจ้าบวรเดชจะได้คิดต่อสู้กับรัฐบาลนั้น ข้าพเจ้าล่วงรู้ก่อนหน้านั้นแล้ว ๑ วัน เรื่องนี้เล่าลือกันไปต่าง ๆ นานา ข้าพเจ้าได้บันทึกไว้เสียเดี๋ยวนี้ว่า ถ้าข้าพเจ้าคิดอ่านการร้ายหวังจะล้มรัฐบาลจริง ข้าพเจ้าก็คงจะได้สั่งนายทหารชั้นนายร้อยเอก กรมทหารปืนใหญ่ซึ่งเป็นพรรคพวกของข้าพเจ้าจับพระยาพหลฯไว้เสียแล้ว

    วันนั้นข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่าเป็นวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาพักยังจังหวัดราชบุรี ข้าพเจ้าจึงได้เชื้อเชิญพระยาพหลฯ มารับประทานน้ำชาในเวลาเย็นที่สโมสรข้าราชการจังหวัดราชบุรี บรรดาข้าราชการและพ่อค้าประชาชนคนสำคัญที่ได้รับเชิญมานั้นมากมายก่ายกองจนเหลือที่ข้าพเจ้าจะเอารายชื่อมากล่าวในที่นี้ได้หมด

    เรากำลังสนทนากันด้วยเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราชการหรือเรื่องส่วนตัวก็ตาม ข้าพเจ้าเป็นคนมีนิสัยชอบล่องป่าล่าสัตว์ และพระยาพหลฯก็เป็นคนชอบกีฬาชนิดเดียวกัน เวลานั้นคำว่านิยมไพรยังไม่ได้บัญญัติกันขึ้น ก็เรียกแต่ว่าล่าสัตว์ ล่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่หรือยิงนกตกปลาเป็นกีฬาที่ข้าพเจ้าโปรดมากเท่า ๆ กับกอล์ฟ ขณะที่เรากำลังคุยกันอยู่ ณ สโมสรข้าราชการราชบุรีนั้นเอง เสียงเครื่องบินก็ดังกังวานขึ้นเหนือท้องฟ้าของจังหวัดราชบุรี

    มันก็ไม่ใช่เสียงกระหึ่มครึมครางเหมือนเครื่องบินในสมัยนี้ เป็นเครื่องบินของกองทัพอากาศที่ทันสมัยลำหนึ่งของสมัยนั้น ดูเหมือนจะเป็นเครื่องบินปีกสองชั้นในสมัยต่อมา เราฟังเสียงของมันเหมือนเสียงกระป๋องเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเสียงเครื่องบิน ๔ เครื่องยนต์ เครื่องบินปีกสองชั้นนั้นเรียกชื่อว่าเทียวปอร์เดอร์ล้าช หรือเบเก้อะไร ข้าพเจ้าก็จำไม่ได้เสียแล้ว นอกจากจะดังลั่นอยู่เหนือท้องฟ้าแล้ว ยังจะบินมาลงที่สนามบินราชบุรีเสียอีกด้วย ผู้ขับขี่เครื่องบินคือขุนไสวมัณยากาศ พอลงจากเครื่องบินแล้วก็รีบเดินทางมาหาข้าพเจ้าพร้อมด้วย พ.ท. พระพิชัยฯ

    สำหรับ พ.ท. พระพิชัยฯคนนี้ ต่อมาข้าพเจ้าทราบว่าได้ไปคอยรับขุนไสวมัณยากาศอยู่ที่สนามบิน  เมื่อเครื่องบินหยุดเรียบร้อยแล้ว พ.ท. พระพิชัยฯ ถามขุนไสวฯว่ามาทำไม? ขุนไสวมัณยากาศก็ตอบไปตามความจริงว่า พระองค์เจ้าบวรเดชฯให้นำจดหมายมาให้เจ้าคุณเทศาฯ เมื่อทราบดังนั้นแล้ว พ.ท. พระพิชัยฯก็ได้นำขุนไสวฯมายังสโมสรราชบุรีในทันที ซึ่งในเวลานั้นกำลังกินเลี้ยงกันอยู่ พระพิชัยฯส่งจดหมายของพระองค์เจ้าบวรเดชฯให้ข้าพเจ้าต่อหน้าพระยาพหลฯ

    ข้าพเจ้ารีบรับจดหมายมาเปิดผนึกและอ่านดูใจความในจดหมายนั้นพอที่จะจดจำ ๆ ได้แต่ใจความสำคัญคือขอให้ข้าพเจ้านำทหารที่ราชบุรีและเพชรบุรีไปช่วยที่กรุงเทพฯ และในเวลาเดียวกันนั้น ข้าพเจ้าก็รีบตอบจดหมายพระองค์เจ้าบวรเดชฯไปในทันทีเหมือนกันว่า ข้าพเจ้าไม่มีความประสงค์ที่จะยกกำลังทหารทั้งราชบุรีและเพชรบุรีไปต่อสู้กับทหารของรัฐบาล ข้าพเจ้ามีความประสงค์อยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือจะป้องกันและรักษาความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์ตามหน้าที่ของข้าพเจ้าเท่านั้น

    เมื่อขุนไสวฯได้รับจดหมายตอบของข้าพเจ้าแล้ว ก็ขึ้นเครื่องบินกลับไปจากจังหวัดราชบุรีไปกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าได้โทรเลขถึงพระองค์เจ้าบวรเดชฯตามข้อความดังกล่าวนั้น

    ในเวลานั้นพระยาพหลฯหน้าซีดลงไปในทันที กิริยาอาการทั้งหมดเปลี่ยนไป ถ้าข้าพเจ้าเป็นกบฏดังที่ถูกกล่าวหา ข้าพเจ้าจะปล่อยพระยาพหลฯไว้ทำไม ข้าพเจ้าจะต้องจับกุมนายกรัฐมนตรีไว้เป็นประกันเสียก่อนอย่างแน่นอนเป็นการง่ายเหลือเกินที่ข้าพเจ้าจะสั่งให้ตำรวจหรือทหารปืนใหญ่ชั้นผู้บังคับกองซึ่งเป็นพวกของข้าพเจ้าให้เข้าทำการจับกุมทันที

    พระยาพหลฯได้กำหนดไว้ว่าจะพักอยู่ที่ราชบุรี ๓ วัน แต่พอกระทบเรื่องที่ขุนไสวฯนำจดหมายจากพระองค์เจ้าบวรเดชฯมาส่งให้แก่ข้าพเจ้าท่ามกลางที่ประชุมการเลี้ยงน้ำชา ณ สโมสรข้าราชการราชบุรี แผนการที่จะพักอยู่ที่นั่นก็เป็นอันล้มเลิก พระยาพหลฯได้เดินทางกลับกรุงเทพฯทันทีโดยทางรถไฟซึ่งจะออกจากสถานีราชบุรี ๗.๐๐ น. วันที่ ๑๑ ตุลาคม คือวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าเองก็ได้ไปส่งพระยาพหลฯที่สถานีรถไฟ เราร่ำลากันแล้ว รถไฟก็เคลื่อนออกจากสถานีไป พระยาพหลฯรู้เรื่องดีแล้วในวันนั้นว่าจะมีการต่อสู้รัฐบาลเกิดขึ้น และถ้าขุนไสวมัณยากาศไม่นำจดหมายจากพระองค์เจ้าบวรเดชฯไปให้ข้าพเจ้าท่ามกลางที่ประชุม เจ้าคุณพหลฯก็จะไม่รู้เรื่องนี้ได้เลย

    ข้าพเจ้าจับรถไฟอีกขบวนหนึ่งล่องลงไปทางใต้ด้วยความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ นี่เป็นความสัตย์จริงของข้าพเจ้าที่ไม่ได้กล่าวออกไปอย่างนกแก้วนกขุนทอง ข้าพเจ้าไปจังหวัดเพชรบุรีอย่างเนิบนาบ ไม่ฉับไวเหมือนในเวลานี้ที่เดินทางได้อย่างล่องหน เมื่อถึงจังหวัดเพชรบุรีอันเป็นบ้านเกิดเมืองมารดาของข้าพเจ้า เราได้ปรึกษากันในระหว่างข้าพเจ้ากับ พ.ต. หลวงสรสิทธิยานุการ (สิทธิ แสงชูโต) ผู้บังคับการทหารบกราบ ๑๔ จังหวัดเพชรบุรี พ.ต. หลวงสรสิทธิฯผู้นี้เป็นญาติกับข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าถามหลวงสรสิทธิฯว่า เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนี้ เราจะทำอย่างไรดีจึงจะป้องกันและถวายความปลอดภัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ เราทั้งสองได้แสดงความคิดเห็นกันอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดก็ตกลงกันได้ว่ามีอยู่ทางเดียวคือ

    ๑. ประกาศกฎอัยการศึกเฉพาะจังหวัดเพชรบุรี

    ๒. ประกาศระดมทหารกองหนุน โดยออกคำสั่งไปยังนายอำเภอทุกอำเภอ

    ในคำประกาศระดมพลของเราก็ได้กำชับกำนันและผู้ใหญ่บ้านให้รีบส่งหมายเกณฑ์ให้ทันในวันรุ่งขึ้น และให้มาถึงโรงทหารในวันรุ่งขึ้นเช่นเดียวกัน ภายในวันที่ ๑๒ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ได้กำชับไปว่าเราไม่ได้ระดมทหารครั้งนี้เพื่อไปรบราฆ่าฟันกับใคร เพียงแต่เราต้องการกำลังทหารมาเพื่อป้องกันและถวายความปลอดภัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเท่านั้น

    วันนั้นเป็นวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ อากาศแจ่มใสถึงแม้ว่าฤดูฝนจะเพิ่งสิ้นไปหมาด ๆ ลมหนาวเริ่มต้นขึ้นบ้างแล้ว มันพัดผ่านแสงแดดในเวลาเช้า ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นและเป็นสุขใจอย่างแปลกประหลาด ข้าพเจ้ากำลังทำหน้าที่ให้แก่ตัวของข้าพเจ้าและวงศ์ตระกูลของข้าพเจ้าอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว

    ข้าพเจ้ารีบไปยังกรมทหารราบที่ ๑๔ ข้าพเจ้ารู้สึกเบิกบานใจยิ่งไปกว่าเดิมเสียอีกในเมื่อได้เห็นชายฉกรรจ์บ่ายโฉมหน้ามาจากทุกทิศทุกทาง จะอะไรเสียอีกเล่าท่าน เขาเดินทางมาจากระยะอันไกลจากชนบทของอำเภอต่าง ๆ ๕ อำเภอ ที่มีพาหนะก็มาโดยพาหนะ ที่ไม่มีพาหนะที่จะโดยสารมาก็เดินมาด้วยเท้า ด้วยสีหน้าสงบเสงี่ยมยิ้มแย้มแจ่มใสและราบรื่นเบิกบาน โดยมิได้มีความประหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใด

    เราเริ่มจ่ายทหารออกประจำอยู่ตามจุดสำคัญ ๆ หลายแห่ง เป็นต้นว่าสถานีรถไฟบ้านน้อย สถานีรถไฟเพชรบุรี และจุดสำคัญอื่น ๆ เพื่อป้องกันมิให้ทหารฝ่ายใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดชฯหรือทหารฝ่ายรัฐบาล ไม่ให้ล่วงล้ำเลยจังหวัดเพชรบุรีลงไปทางใต้ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อถวายความปลอดภัยแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ตั้ง ข้าพเจ้าเองในเวลานั้นก็ไม่ได้นึกไว้ล่วงหน้าเลยว่า ข้าพเจ้าต้องพบกับชีวิตอันลำเค็ญน่าสยดสยองในกาลวิโยคอันจะมาถึงในไม่ช้านี้

    เช้าวันที่ ๑๓ ตุลาคม มีเครื่องบินมาจากพระองค์เจ้าบวรเดชฯ และส่งหนังสือจากพระองค์เจ้าบวรเดชฯให้แก่ข้าพเจ้า ใจความในหนังสือนั้นก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากจะส่งข่าวการถอยมา เป็นการบอกลางแพ้แล้วก็ไม่มีอะไรอื่นให้ข้าพเจ้ารับทราบข่าวการรบว่า ทหารหัวเมืองกำลังถอยขึ้นไปทางเหนือ ซึ่งนักการทหารทุกคนย่อมรู้ดีว่าภูมิประเทศในเขตนครราชสีมาเป็นภูมิประเทศที่เหมาะที่สุดในการที่จะตั้งรับ นับตั้งแต่ปากช่อง มวกเหล็ก หินลับ ทับกวางขึ้นไปทีเดียว...

    ในวันเดียวกันนั้นเอง ข้าพเจ้าก็ได้รับโทรเลข ๑ ฉบับ ส่งมาจาก พ.ท. หลวงพิบูลสงคราม ใจความในโทรเลขนั้นมีอยู่ว่าให้ข้าพเจ้า พ.อ. พระยาสุรพันธเสนี พ.ท. หลวงสรสิทธยานุการ กับพระยาวิเศษฦาชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีเดินทางไปพบกับ พ.ท. หลวงพิบูสงครามที่จังหวัดราชบุรีโดยด่วน เมื่อเรา ๓ คนได้รับโทรเลขฉบับนี้แล้ว ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจเด็ดขาดและทันที มีเราทั้ง ๓ คนไปกันเสียหมดแล้ว ใครเล่าจะดูแลรักษาการณ์ทางนี้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ข้าพเจ้าจึงกล่าวกับคนทั้งสองนั้นว่าข้าพเจ้าไม่ยอมไปพบ ท่านทั้งสองจะไปพบก็ไปพบกันเถิด

    มันก็เป็นความจริงอย่างที่ข้าพเจ้าวาดภาพไว้ในความคาดคะเนมิได้ผิดเลย พ.ท. หลวงสรสิทธยานุการกับพระยาวิเศษฦาชัยออกเดินทางจากเพชรบุรีในเวลาบ่าย พอรถถึงสถานีบ้านน้อยก็พบกับขบวนรถบรรทุกทหารซึ่ง พ.ท. หลวงพิบูลสงครามเป็นผู้ควบคุมมาพอดี จะมีอะไรอีกเล่าที่จะเกิดขึ้น ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีและผู้บังคับการทหารรราบที่ ๑๔ ถูกจับเป็นเชลยทันทีในข้อหากบฏและล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตย

    ข้าพเจ้าปราศจากคู่คิด หลวงสิทธิฯผู้บังคับการก็ถูกจับ พระยาวิเศษฦาชัยก็ถูกจับ จะมีอะไรอีกเล่าที่จะเหลืออยู่ในความหวังของข้าพเจ้าที่จะรักษาองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้นก่อนที่หลวงพิบูลฯจะยกทหารมาเพชรบุรี ข้าพเจ้าก็เผ่นขึ้นรถออกเดินทางจากเพชรบุรีไปเสียแล้วตามถนนเพชรเกษมเดี๋ยวนี้ แต่เวลานั้นถนนเพิ่งจะตัดจากเพชรบุรีไปได้แค่ตำบลหัวสะพานเท่านั้น ทั้งทางก็ไม่สะดวกเพราะเพิ่งถมใหม่ ๆ ข้าพเจ้าจึงต้องตัดสินใจอย่างด่วนทีเดียวว่าจะทำอย่างไรในเวลาต่อไป

    เมื่อข้าพเจ้าหนีออกจากเพชรบุรีแล้ว พ.ท. หลวงพิบูลสงครามก็ไปถึงเพชรบุรีพร้อมด้วยกำลังทหาร ตามคำรายงานจากผู้ที่ได้เห็นเหตุการณ์แจ้งแก่ข้าพเจ้า เมื่อได้เห็นตัวข้าพเจ้าและเรียกให้ไปรายงานตัว ก็ไม่ไป ดังนั้น พ.ท. หลวงพิบูลสงครามจึงขึ้นรถยนต์ทหารพร้อมด้วยอาวุธปืนกลไปยังบ้านข้าพเจ้าและค้นหาตัว...”

    พระยาสุรพันธเสนีถูกจับจนได้ เพราะมีคนทรยศ และติดคุกยาว ถูกส่งไปที่เกาะตะรุเตา ที่นั่นเขาเป็นหนึ่งในห้านักโทษที่หนีจากเกาะอย่างไม่น่าเชื่อ

    เรื่องนี้ต้องเล่าต่ออีกยาว มันเป็นเกร็ดซ้อนเกร็ด

    ไม่มีสอนในโรงเรียน

    วินทร์ เลียววาริณ
    6-3-25
    .............................

    อ่านรายละเอียดใน น้ำเงินแท้
    https://www.winbookclub.com/store/detail/118/น้ำเงินแท้ 

    0
    • 0 แชร์
    • 9

บทความล่าสุด