-
วินทร์ เลียววาริณ1 เดือนที่ผ่านมา
(ความจริงดูหนังและรีวิวเรื่องนี้มาตั้งแต่วันแรกที่ฉาย แต่มัวติดพันเรื่องการเมืองโลกอยู่หลายวัน ค่อยมานำลงวันนี้)
28 Years Later เป็นเรื่องที่สามต่อจาก 28 Days Later และ 28 Weeks Later
และเป็นภาคต้นของ 28 Years Later ตอนต่อไป (ฉายต้นปีหน้า)
นี่เป็นงานเขียนบทของ Alex Garland คนทำหนังไซไฟดีๆ หลายเรื่อง เช่น Ex Machina, Annihilation ไปจนถึงเรื่องล่าสุดที่เราดูคือ Civil War
ทั้งสามเรื่องนี้ดี ดังนั้นคอหนังจึงมีความคาดหวังพอสมควรสำหรับ 28 Years Later
และจะว่าไปแล้ว ก็ไม่ผิดหวัง
ไม่ผิดหวังกับความแปลกใหม่นะครับ ไม่ได้บอกว่านี่เป็นหนังดีเลิศเมื่อเทียบกับ 28 Days Later หรือ Ex Machina
เหตุที่ว่าแปลกใหม่ก็เพราะ 28 Years Later ตอน 1 พาหนังซอมบี้เข้าไปในพื้นที่ของปรัชญา และเสนอมุมมองอื่นที่น่าขบคิด เช่น การเกิดและการตาย ฯลฯ ทำให้มันดูเหมือนหลุดจากหนังซอมบี้ทั่วไป
แกนของเรื่องมีส่วนคล้ายการเดินเรื่อง Civil War คือเป็นการเดินทางของตัวละครหลัก พบเหตุการณ์ต่างๆ
หนังมีความตื่นเต้นเป็นระยะ ภาพน่าสนใจ (ความแปลกใหม่อีกอย่างหนึ่งคือเป็นหนังที่ถ่ายด้วย iPhone) แต่จุดเด่นที่สุดน่าจะเป็นการเปลี่ยนหนังซอมบี้เป็นหนังกึ่งปรัชญา
หนังมีความ morbid (สยดสยอง ชวนแหวะ) มากกว่าหนังซอมบี้ทุกเรื่องที่ดูมา หนังรุนแรงมาก ใครไม่ชอบจุดนี้ ก็คงต้องหลับตา หรือข้ามเรื่องนี้ไป แต่ถ้าเคยชินกับภาพการเกาะตำแหน่งของรัฐมนตรีบ้านเราซึ่งชวนแหวะมากกว่าหลายเท่า ก็คงดูหนังเรื่องนี้ได้สบาย
8/10
ฉายในโรงภาพยนตร์วินทร์ เลียววาริณ
24-6-25วินทร์ เลียววาริณ รวมบทรีวิวหนังจำนวนหลายร้อยเรื่องในหนังสือใหม่ บ้าหนัง 1-4 มีจำหน่ายในรูปอีบุ๊คที่เว็บไซต์ winbookclub.com และที่ MEB (คีย์คำว่า วินทร์ เลียววาริณ)
(มาตรการให้คะแนนของ วินทร์ เลียววาริณ : ความคิดสร้างสรรค์ + สาระ + ศิลปะการเล่าเรื่อง)
0- แชร์
- 31
-
(เรื่องนี้เขียนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ในชุด หลังอานบุรี เป็นหลักฐานว่าไม่ได้เขียนเพื่อเสียดสีใครใน พ.ศ. นี้ ตัวละครต้นฉบับเป็นนัขการเมือง (อย่าคิดมาก ตัวละครทั้งเล่มเป็นสุนัขน่ะ) นำมาดัดแปลงให้เข้ากับท่านรัฐมนตรีรักชาติ)
เนื่องจากช่วงหลังท่านรัฐมนตรีรักชาติแสดงความฉลาดหลายครั้ง จนคนที่อิจฉาท่านกล่าวหาว่าท่านรัฐมนตรีรักชาติซื้อปริญญามา ท่านนรัฐมนตรีรักชาติจึงขอท้าคนกล่าวหาโดยยอมให้มีการสอบปากเปล่า ถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ เพื่อพิสูจน์ว่าท่านมีความรู้จริง
วันนี้เป็นวันสอบจริง สอบปากเปล่า
กล้องโทรทัศน์หนึ่งตัวจับที่พิธีกร หนึ่งตัวเล็งที่ใบหน้ารัฐมนตรี ตัวที่สามจับที่ผู้ชมที่นั่งเรียงรายในเงามืดของห้องส่ง สีหน้าท่านรัฐมนตรีมั่นใจอย่างยิ่ง
พิธีกรถาม "ระบบสุริยะมีดาวเคราะห์กี่ดวงครับ?"
ท่านตอบฉาดฉาน "เก้าดวง"
"ผิดครับ แปดดวง เพราะถอนพลูโตออกไป"
"เก้าดวง ข้อนี้ผมมั่นใจเต็มร้อย คุณยังเด็ก ไม่รู้อะไร ผมจะบอกให้ ตำราโหราศาสตร์โบราณบ่งชัดว่า ระบบสุริยะมีดาวเคราะห์เก้าดวง ดวงที่เก้าเคยโคจรระหว่างดาวพฤหัสกับดาวอังคาร แต่มันระเบิดเพราะถูกดาวหางชนกระจุยเลย"
"ใครเขียนตำรานั้น?"
"พ่อผมเขียน ตระกูลผมเคยเป็นโหรมาก่อน"
"แต่ไม่เคยมีหลักฐานทางดาราศาสตร์ว่ามีดวงที่เก้า..."
"โธ่! คุณนี่ จะไปเหลือหลักฐานอะไรเล่า ก็มันระเบิดเป็นผงไปนานนมแล้ว"
"เอาเป็นว่าข้อนี้ท่านตอบถูกก็แล้วกัน คำถามข้อต่อไปเป็นเรื่องภูมิศาสตร์ พร้อมแล้วใช่ไหมครับ ภูเขาสูงที่สุดในโลกชื่ออะไร?"
"เขาไกรลาส"
"ผิดครับ คำตอบที่ถูกคือ เอเวอเรสต์"
"ผิดยังไง คุณนี่ไม่เคยอ่านวรรณคดีหรือ มีหลักฐานชัดเจน เขาไกรลาสเป็นที่อยู่ของพระอิศวรกับเหล่าเทวดานางฟ้า ก็ย่อมต้องสูงที่สุดในโลกซี เทวดาที่ไหนอยู่ที่ต่ำกว่าเล่า"
"แต่..."
"ไม่มีแต่ ไม่ต้องแต่ คำถามคุณไม่เจาะจง แน่นอนภูเขาที่สูงที่สุดในโลกทางภูมิศาสตร์ใครๆ ก็รู้ว่าคือเอเวอเรสต์ แต่มันง่ายไป อีกอย่างทั้งเขาเอเวอเรสต์และเขาไกรลาสต่างก็อยู่แถวหิมาลัย ไม่ผิดกันเท่าไหร่หรอก"
"ท่านพูดมีเหตุผลครับ ต่อไปเป็นปัญหาด้านชีววิทยาครับ ปะการังเป็นพืชหรือสัตว์?"
"สัตว์ครับ เอ้ย! พืช... เอ้ย! สัตว์ครับ"
"แน่ใจนะครับ?"
"เอ้อ! ไม่พืชก็สัตว์"
"เอาให้แน่ ๆ ดีกว่าครับ"
"พืชครับ"
"ข้อนี้ผิ---"
"เดี๋ยวๆๆๆ ไม่เอาดีกว่า สัตว์ครับสัตว์"
"ถูกต้องครับ เหล้าที่เราดื่มทำมาจากไหน?"
"โรงงานเหล้า"
"เอ้อ! ก็คงถูกนะครับ ผมถามไม่รัดกุมเอง ความจริงผมหมายถึงทำมาจากอะไร ข้อต่อไปดีกว่า อนุมูลอิสระคืออะไร?"
"ก็คืออนุมูลที่เป็นอิสระน่ะ เข้าใจไหม มีอิสระเสรีภาพ ก็เหมือนพวกมุ้งเล็กมุ้งใหญ่ในพรรคการเมืองนั่นแหละ ถ้าจับคู่กันได้ลงตัว แบ่งผลประโยชน์กันได้ลงตัวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ลงตัว พรรคก็แตก"
"อือ! จะว่าถูกก็ถูก แต่..."
"งั้นก็ถูกก็แล้วกัน เสียเวลา ถามข้อต่อไปเลย"
"ไดโนเสาร์พันธุ์ไหนตัวใหญ่ที่สุด?"
"คุณรู้ไปแล้วมีประโยชน์อะไรขึ้นมา พวกมันก็ตายไปหมดโลกตั้งนานแล้ว"
"ช่วยตอบคำถามด้วยเถอะครับ"
"อย่าให้ผมตอบคำถามแบบปัญหาโลกแตกเลยครับ ถามแบบนี้ก็เหมือนถามว่า ไก่กับไข่อย่างไหนเกิดก่อนกัน โลกเราตอนนี้มีไดโนเสาร์เป็นๆ อยู่หรือเปล่า? ก็เปล่า มีใครเคยเห็นไดโนเสาร์จริงๆ บ้าง? ก็เปล่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดคะเนจากโครงกระดูกไม่กี่ท่อนเท่านั้น ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ ถ้าคุ๊มีปัญหาก็ตั้งคณะกรรมการมาสอบสวนซี"
"ท่านพูดถูก เปลี่ยนคำถามก็แล้วกัน กระแสน้ำอุ่น กัลฟ์ สตรีม เกิดที่ไหน?"
"ก็เกิดจากเครื่องทำน้ำอุ่นยี่ห้อ กัลฟ์ สตรีม น่ะซี"
"ไม่ใช่ครับ เสียใจด้วยครับ ข้อนี้ตอบผิด กระแสน้ำอุ่น กัลฟ์ สตรีม เกิดที่มหาสมุทรแอตแลนติคครับ"
"ปัดโธ่! คุณหมายถึงกระแสน้ำอุ่นบนมหาสมุทรหรอกหรือ ข้อนี้ผมรู้อยู่แล้ว ผมเข้าใจว่าคุณหมายความถึงน้ำอุ่นจากเครื่องทำน้ำอุ่น"
"แล้วมีเครื่องทำน้ำอุ่นยี่ห้อ กัลฟ์ สตรีม จริงๆ ด้วยหรือครับ"
"มีซีครับ"
"แต่ผมไม่เคยเห็นมีขายที่ไหน"
"คุณจะไปเห็นที่ไหนกันเล่า ก็มันเป็นสินค้าใหม่กำลังจะวางตลาดครับ ผมเป็นนายทุนผลิตเอง เป็นเครื่องทำน้ำอุ่นยี่ห้อใหม่ ผมว่าจะไม่บอกแล้วเชียว เป็นความลับทางการค้าน่ะครับ"
"โอ! เป็นเรื่องที่บังเอิญจริงๆ งั้นผมก็เข้าใจผิดไปเอง เปลี่ยนคำถามก็แล้วกันนะครับ ระบอบประชาธิปไตยแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันเริ่มต้นที่ไหน?"
"สหรัฐฯ"
"ไม่ถูก คำตอบที่ถูกคือกรีกครับ"
"ไม่ถูกได้ยังไงครับ สหรัฐฯกับกรีกก็มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน ตอนโลกเรากำเนิด เรามีสิ่งมีชีวิตแบบเซลล์เดียว แล้ววิวัฒนาการเป็นสัตว์เลือดอุ่นหลายเผ่าพันธุ์ ตอนที่เกิดสัตว์ประเภทหมาขึ้นมานั้น เราไม่มีการแบ่งเขาแบ่งเรา..."
"พอครับๆ ท่าน เอาเป็นว่าข้อนี้ท่านตอบถูกอีกแล้วครับ ข้อต่อไปเป็นความรู้เกี่ยวกับเรขาคณิต พร้อมแล้วใช่ไหมครับ?"
"ใช่ ผมตอบถูกไหมครับ?"
"เมื่อกี้ไม่ใช่คำถามครับ เอาละ ต่อไปคือคำถาม พายมีค่าเท่าไร?"
"150 บาท"
"ผิดครับ พายมีค่าเท่ากับ เศษ 22 ส่วน 7 หรือ 3.1428"
"ผมตอบไม่ผิดหรอกครับ พายอันละ 150 บาทจริงๆ มีขายตามท่าเรือ"
"ผมไม่ได้หมายถึงไม้พายเรือ"
"งั้นก็ต้องบอกให้ชัดว่าเป็นพายอะไร พายเรือ พายเค้ก พายสังขยา พายฟักทอง โธ่! ถ้าพายอย่างที่คุณถามใครๆ ก็รู้ครับ เท่ากับ เศษ 22 ส่วน 7 หรือ 3.1428 แต่มันง่ายไป"
"ผมเชื่อว่าผมบอกท่านก่อนว่าเป็นคำถามเกี่ยวกับเรขาคณิต"
"ใช่ซีครับ การพายเรือย่อมเกี่ยวกับเรขาคณิตอยู่แล้ว ถ้าพายผิดองศา เรือก็ไม่แล่นไปไหน มันเกี่ยวกันชัดๆ อยู่แล้ว"
"ถูกของท่านครับ มุมภายในของสามเหลี่ยมรวมกันเท่ากับกี่องศา?"
"สามเหลี่ยมแบบไหนล่ะคุณ?"
"แบบไหนก็ได้ครับ"
"อ๊ะ! ถามแบบนี้กำกวม ไม่ได้ ต้องเจาะจงมาเลย สังคมเราวุ่นวายทุกวันนี้ก็เพราะเราชอบทำอะไรกำกวม ไม่กล้าฟันธง ปากว่าตาขยิบ"
"แต่..."
"ไม่ได้ๆ คุณต้องเจาะจงว่าเป็นสามเหลี่ยมแบบไหน สามเหลี่ยมด้านเท่า สามเหลี่ยมด้านไม่เท่า สามเหลี่ยมมุมฉาก สามเหลี่ยมคางหมู สังคมเราวุ่นวายทุกวันนี้ก็เพราะเราชอบทำอะไรกำกวม ไม่กล้าฟันธง ปากว่าตาขยิบ"
"งั้นถามข้อใหม่เลยดีกว่า รถไฟขบวนแรกวิ่งเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขบวนที่สองวิ่งเร็ว 105 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขบวนแรกออกก่อนขบวนหลังครึ่งชั่วโมง อยากทราบว่าขบวนหลังจะตามทันขบวนแรกเมื่อไหร่?"
"ไม่มีวันทันกันครับ"
"ผิด..."
"ไม่ผิดเด็ดขาด เพราะถึงรถไฟขบวนหลังจะแล่นเร็วกว่า แต่พนักงานขับรถไฟไม่มีวันขับเลยหน้าขบวนแรก ไม่งั้นก็ชนกันวินาศสันตะโรน่ะซีคุณ มันเป็นจรรยาบรรณของพนักงานขับรถไฟนะครับ"
"นี่เป็นปัญหาทางคณิตศาสตร์นะครับ ไม่ใช่ปัญหาเชาวน์"
"อ้าว! ก็คุณไม่ได้ระบุก่อนว่าเป็นคำถามคณิตศาสตร์ ผมก็คิดว่าเป็นปัญหาเชาวน์ อีกอย่างเราจะเรียนคณิตศาสตร์ไปทำไม หากไม่นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันจริงๆ หากเด็กๆ ของเราเรียนท่องจำกันแบบนี้ ประเทศเราก็ไม่มีวันก้าวไปไหน เพราะเราเรียนอะไรที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระเอาเสียเลย"
"ครับท่าน ท่านพูดถูกอีกแล้วครับท่าน"
"ใครเป็นผู้ประดิษฐ์วัคซีนป้องกันโรคหมาบ้า?"
"ไม่มี"
"ผิดครับ ผู้ประดิษฐ์ชื่อนาย..."
"ผิดยังไง วัคซีนป้องกันโรคพิษหมาบ้าน่ะประดิษฐ์ได้ที่ไหนเล่าเป็นการค้นพบต่างหาก คำว่า ประดิษฐ์ น่ะใช้กับเครื่องไม้เครื่องมือ ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ"
"เก่งมากครับ ท่านสอบผ่านแล้ว ยอดเยี่ยมมากครับ ประชาชนจะได้เคลียร์เสียทีว่า ท่านไม่ได้ซื้อปริญญาบัตรมา"
"ก็บอกแล้วไง เสียเวลาผมน่ะไม่ว่า แต่เสียงบประมาณของชาติเปล่าๆ ผมทนไม่ได้ ผมทำงานมานานป่านนี้ แก้ปัญหาให้ชาติมากมาย นั่นก็คือความรู้ชั้นสูงแล้ว ปริญญาเป็นเพียงกระดาษติดฝาเท่านั้น ใบปริญญามีค่าอะไรถ้าไร้ผลงาน"
"ถูกของท่านครับ แหม! ท่านนี่มีกำลังใจเยอะเชียวนะครับ มีผู้มาเชียร์ท่านในห้องส่งนี้มากมายเหลือเกิน ตอบถูกทีนึง เสียงปรบมือดังกระหึ่มเลย"
"ก็ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มาให้กำลังใจกัน เชื่อไหมว่าเดี๋ยวก็คงมีตัวที่กล่าวหาพล่อยๆ อีกว่าเป็นม็อบที่ผมจัดตั้ง"
"แล้วใช่หรือไม่ครับ?"
"ใช่ เอ้ย! ไม่ใช่ ว้า! ผมตอบคำถามมากไปจนมึน"
"ท่านจะไปฉลองที่ไหนครับ?"
"ไม่ฉลอง ความสำเร็จไม่ได้มีไว้ฉลอง ความรู้ไม่ได้มีไว้ฉลอง แต่เอาไว้ช่วยเหลือชาวบ้าน นี่ก็ว่าจะไปส่งชาวบ้านที่มาจากหาดใหญ่สักหน่อย อุตส่าห์เดินทางมาจากอีสานตั้งไกลเพื่อให้กำลังใจผม"
"แต่หาดใหญ่อยู่ทางใต้นะครับ"
"คุณไม่รู้อะไร ทิศเหนือ ทิศใต้ หมู่บ้าน ตำบล จังหวัดก็เป็นเพียงสิ่งสมมุติทั้งสิ้น ถ้ามองโลกจากจักรวาล มันมีเหนือใต้ออกตกที่ไหนเล่า ทุกอย่างในโลกเป็นมายา..."
"ขอโทษครับท่าน ท่านพูดถูกอีกแล้วครับท่าน"
วินทร์ เลียววาริณ
29-7-25(ดัดแปลงจาก หลังอานบุรี อ่านแล้วกรุณาอย่าเครียด)
1 วันที่ผ่านมา -
นักอ่านหลายคนบอกผมว่า เพื่อนถือวิสาสะหยิบยืมหนังสือไปอ่านแล้วไม่คืน จึงต้องซื้อใหม่ เพราะคนเป็นเพื่อนมักถือคติ “ไม่เป็นไรหรอก ซี้กัน!”
เป็นเรื่องปกติไปแล้วที่เพื่อนโทรศัพท์มาหาแล้วพูดฉอด ๆ สรุปเสร็จสรรพว่าเราว่าง และอยากคุยด้วย
เพื่อนบางคนเปิดเพลงที่เขาชอบดังไปทั่วออฟฟิศ เพราะทึกทักเอาว่าคนอื่นชอบเพลงแบบนั้นเหมือนเขา
อยู่หอพักหรือบ้านเช่าหลังเดียวกัน เพื่อนก็ถือวิสาสะเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าของเราไปใช้เลย
เหล่านี้คือการถือวิสาสะหรือทึกทักเอาเองว่าไม่เป็นไร
การไม่คืนหนังสือสักเล่มหรือกินขนมสักชิ้นสองชิ้นไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร แต่บางครั้งการถือวิสาสะอาจไปไกลกว่าขอบเขตที่สมควร
เคยไหมที่เพื่อนบางคนมาเคาะประตูเยี่ยมโดยไม่บอกล่วงหน้า การคิดถึงเพื่อนแล้วไปเยี่ยมก็เป็นเรื่องดี แต่หากโผล่เข้ามาผิดจังหวะอาจไม่ค่อยดี!
เพื่อนบางคนมาเยี่ยมพร้อมลูกเล็ก บอกว่า “ฝากดูลูกหน่อยซี รู้ว่าเธออยู่บ้านทั้งวัน”
บางคนยกกระเป๋ามาหนึ่งใบ บอกว่า “เธอกำลังจะไปเยี่ยม (ชื่อคน) ที่ (ชื่อจังหวัดหรือชื่อประเทศ) ใช่ไหม? ฝากของให้เขาหน่อย”
เพื่อนอาจไม่ทันคิดว่า บางทีเราอาจมีกระเป๋าเดินทางหลายใบ
บ้างเมื่อรู้ว่าเราจะเดินทาง ก็ยื่นรายการฝากซื้อของทันที
การถือวิสาสะบางอย่างเป็นเรื่องประจำวัน ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นทุกวัน ก็คิดว่าเราเป็น ‘ของตาย’
บางคนมักมีนิสัยตัดสินใจให้คนอื่นเสร็จสรรพ เพราะคิดเอาเองว่าดีแล้ว หรือดีสำหรับเขาแล้ว
นานมาแล้ว ผมเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง เพื่อนบ้านที่อยู่ไกลออกไปกรุณาส่งคนงานมาตัดต้นไม้หน้าบ้านให้โดยไม่บอกกล่าวหรือขออนุญาต เพราะทนความรำคาญตาไม่ไหวที่ต้นไม้โตเกินมาตรฐานความงามของเขา เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ!
การทึกทักเอาเองว่าไม่เป็นไรยังปรากฏในเรื่องมารยาทพื้นฐาน ที่เห็นบ่อยที่สุดคือการเอ่ยคำขอบคุณ
สังเกตไหมว่าบ่อยครั้งเราแสดงมารยาทที่ดีต่อคนแปลกหน้ามากกว่ากับเพื่อนสนิทของเราเอง บางคนพูดจากับคนแปลกหน้าสุภาพมาก แต่พูดกับคนรักห้วนเป็นมะนาวไม่มีน้ำ หรือมะนาวตากแห้งมาสามปี
สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันนาน ๆ ไม่มากคู่ที่ยังเอ่ยคำขอบคุณเมื่ออีกฝ่ายช่วยทำอะไรให้
ภรรยาดูแลสามีอย่างดี แต่สามีกลับมองไม่เห็น เพราะคิดว่าคู่ครองของตนเป็น ‘ของตาย’ หรือ “ก็เป็นหน้าที่ของเธออยู่แล้วนี่นา”
ยิ่งน้อยคนขอบคุณคนรับใช้ ทึกทักเอาเองว่าไม่ต้อง ก็เป็นคนใช้นี่นา!
หลายคนไม่เคยขอบคุณพนักงานร้านอาหารเมื่อยกของกินมาเสิร์ฟ
“ก็เป็นหน้าที่ของเขานี่”
ทว่าหน้าที่ก็คือหน้าที่ มารยาทก็คือมารยาท เป็นคนละเรื่องกัน
พ่อแม่ก็มีหน้าที่เลี้ยงดูลูก แต่มิได้หมายความว่าเราไม่ต้องแสดงความขอบคุณเมื่อท่านทำอะไรให้เรา
ผมโชคดีได้ใช้ชีวิตกับเพื่อนหลายคนหลายชาติในต่างประเทศหลายปี เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องอยู่อาศัยร่วมกับคนอื่น เช่าบ้านอยู่ด้วยกัน ใช้ห้องครัวห้องน้ำร่วมกัน
เป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะต่างคนต่างนิสัยกัน ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในภาคปฏิบัติ มันช่วยให้เข้าใจเรื่องเอาใจเขามาใส่ใจเราดีขึ้น
คนทุกคนมีหัวใจ แม้แต่คนที่สังคมจัดว่าอยู่ในระดับล่างที่สุด ก็มีความรู้สึก
มารยาทเป็นเรื่องสากล มันมีสองด้านคือมีมารยาทกับไม่มีมารยาท ไม่มีกลาง ๆ เคยสังเกตไหมว่าคนจำนวนมากเมื่อเผลอเหยียบเท้าคนแปลกหน้า จะขอโทษทันที แต่เมื่อเหยียบเท้าลูกแล้วทึกทักเอาว่าไม่เป็นไร ลูกไม่ถือสา คนกันเอง ไม่ต้องขอโทษ
อย่าทึกทักเอาเองว่าไม่เป็นไร เพราะมันเท่ากับว่าเราให้ราคาคนที่เรารักน้อยกว่าคนที่เราไม่รู้จัก
การทึกทักเอาเองอาจสร้างความเข้าใจผิด หรือส่งสารผิด ๆ ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ ควรเอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ คิดเสมอว่าคนอื่นจะรู้สึกอย่างไร
วินทร์ เลียววาริณ
30-7-25...............
จาก รอยยิ้มใต้สายฝน
35 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 5 บาทเศษ
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/139/รอยยิ้มใต้สายฝน
1 วันที่ผ่านมา -
โพสต์ก่อนพูดถึงบัญชี ก็สมควรเล่าเรื่องเบื้องหลังคุณบริสุทธิ์สักหน่อย
คุณบริสุทธิ์เรียนจบสายบัญชีมา เมื่อเรียนจบใหม่ๆ เขาทำงานเป็นพนักงานธนาคาร รับฝากเงิน ถอนเงิน
ยุคนั้นยังไม่มีอีแบงกิง ใครจะฝากจะถอนหรือจะปล้น ก็ต้องไปที่หน้าเคาน์เตอร์
ใช่ คุณบริสุทธิ์เคยเจอการปล้นธนาคาร
วันหนึ่งโจรคนหนึ่งถือปืนมาจี้คุณบริสุทธิ์
"เอาเงินใส่ถุงผ้านี้ให้เต็ม ไม่งั้นตาย"
คุณบริสุทธิ์ก็ทำตาม ยัดเงินเข้าไปจนเต็มถุงใหญ่ หนักอึ้ง
ด้วยความเห็นใจ คุณบริสุทธิ์บอกโจรว่า "หนักมั้ยครับ"
โจรคำราม "หนักซีวะ"
"จะให้ช่วยมั้ยครับ?"
"ช่วยแบกเงินหรือ?"
"เปล่าครับ ช่วยวิธีอื่น"
"ยังไง?"
"เอ้อ! คุณพกเงินเยอะอย่างนี้ นอกจากจะหนักแล้ว ยังไม่ปลอดภัยนะ"
โจรว่า "แล้วทำยังไง?"
"ทำไมคุณไม่เปิดบัญชีที่นี่ล่ะ ไม่ต้องแบกเงิน และได้ดอกเบี้ยด้วย"
พูดจบคุณบริสุทธิ์ก็หลบใต้เคาน์เตอร์ เมื่อโจรยิงกระจกเคาน์เตอร์แตกกระจาย
อ้อ! ยุคนั้นนอกจากไม่มีอีแบงกิง กะจกก็ไม่ได้กันกระสุนด้วย
(เล่าใหม่จากขำขันที่ได้ยินมา)
วินทร์ เลียววาริณ
29-7-25(นี่เป็นเรื่องเขียนใหม่ อ่านวีรกรรมอื่นๆ ของคุณบริสุทธิ์ได้จากหนังสือนวนิยาย เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์ฯ
(นวนิยายแนวใหม่ที่นำขำขันตลกๆ ระดับ ‘ขำกลิ้ง’ 400 เรื่องมายำเป็นนวนิยาย)
ค่าคลายเครียดแค่ 330 บาท เฉลี่ยขำละ 80 สตางค์ หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/188/เรื่องรักของคุณบริสุทธิ์กับนางสาวภุมรี%20ศจีรมย์%20สมถวิล%20จินตหรา%20พารัก%2520ปักเสน่ห์%20เรวดี%20ศรีสกาว
โปรโมชั่น https://www.winbookclub.com/store/detail/196/แพคเกจพิเศษ%203%20in%201
Shopee เดี่ยว https://s.shopee.co.th/1VjWGyXzed
https://s.shopee.co.th/9A8xPCjmLp
1 วันที่ผ่านมา -
เมื่อผมอายุสัก 14-15 มีหน้าที่ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้พ่อ เพื่อแสดงต่อสรรพากรเมื่อมาตรวจ ร้านค้าเล็ก ๆ รายการในแต่ละวันไม่มาก ไม่ซับซ้อน ทว่าสำหรับผมซึ่งไม่ชอบตัวเลข และไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย มันไม่ใช่งานที่สนุกนัก ทว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ลูก
ครั้นไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ผมก็หมดหน้าที่นี้ไปโดยปริยาย แอบยินดีในใจ เพราะพบว่าตัวเองไม่ชอบวิชาบัญชี
นานหลายปีหลังจากนั้น มีคนสอนผมว่า หลักบัญชีง่ายนิดเดียว นั่นคือทำให้ตัวเลขสองฝั่งเท่ากัน
ฟังแล้วงงกว่าเดิม!
มองในแง่ดีคือ ถ้าวิชาบัญชีง่ายดายเหมือนการอาบน้ำ แปรงฟัน โลกก็ไม่ต้องมีมืออาชีพที่เรียกว่านักบัญชีมิใช่หรือ?
นานอีกหลายปี ผ่านชีวิตมาจนถึงวัยนี้ เมื่อมองบัญชีในมุมของการใช้ชีวิต พบว่าการใช้ชีวิตก็คือการทำบัญชีอย่างหนึ่ง ผมพบว่าหลายเรื่องในชีวิตสามารถคิดอย่างบัญชีง่าย ๆ หลายเรื่องหลายปัญหาแก้ได้โดยมองในมุมของบัญชี
ทำให้ตัวเลขสองฝั่งเท่ากัน...
และนี่คือหลักบัญชีแห่งชีวิต คิดง่าย ๆ ก็มองเห็น ง่ายเหมือน 1 + 1 = 2 แต่แปลกที่คนจำนวนมากเลือกมองไม่เห็น
เหล่านี้คือรายการตัวอย่างบัญชี-วิตอย่างง่าย
.........................
โกรธตัวเองที่ซื้อของแพงไป 10 บาท ค่าสินค้านั้น = 10 บาท + ค่าเสื่อมของหัวใจ + ค่าเวลาที่จิตใจหงุดหงิด + ค่าเสื่อมทางจิตใจของคนใกล้ชิด
ค่าใช้จ่ายเก็บอาหารที่ไม่กินในตู้เย็น = ค่าอาหาร + ค่าไฟฟ้า + ค่าเวลาทิ้งขยะ
ค่าใช้จ่ายของการกินเหล้ามาก ๆ = ค่าเหล้า + ค่าหมอ + ค่าความเดือดร้อนของครอบครัว
ค่าใช้จ่ายกินอาหารโดยไม่บันยะบันยัง = ค่าอาหาร + ค่าเวลาที่กิน + ค่าหมอ + ค่าเวลา รักษา
ค่าใช้จ่ายเมื่อเสียพนัน = เงินพนัน + ความสุขในครอบครัว + ความเหนื่อยยากที่ต้อง หาเงินกลับมาให้เท่าเดิม
ค่าใช้จ่ายเมื่อไม่หาความรู้ = ค่าเสียโอกาสสร้างอนาคตที่ดีกว่า + ค่าเสียหายที่เกิดจากการถูกหลอกเพราะความไม่รู้
บัญชีเหล่านี้คิดไม่ยากเลยก็รู้ว่าสิ่งที่ทำ กำไรหรือขาดทุน คุ้มหรือไม่คุ้ม
ถ้าอ่านไม่ออก ก็ต้องติด F วิชาบัญชีแห่งชีวิต
ถ้ามองเห็นก็อาจทำให้ประหยัดเวลาชีวิต และเอาเวลาไปใช้ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์จริง ๆ
วินทร์ เลียววาริณ
29-7-25...............
จาก รอยยิ้มใต้สายฝน
35 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 190 บาท = บทความละ 5 บาทเศษ
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/139/รอยยิ้มใต้สายฝน
1 วันที่ผ่านมา -
2 วันที่ผ่านมา