-
วินทร์ เลียววาริณ0 วันที่ผ่านมา
คุยเรื่องสงครามในตะวันออกกลางมาหลายบท ผู้อ่านหลายท่านขอให้เขียนเรื่องสงครามยูเครนบ้าง
เขียนน่ะเขียนได้ แต่ที่ผมเขียนเป็นข้อมูลอีกชุดหนึ่ง ผมจะเล่าที่มาของสงครามตามข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ โดยไม่มีความรู้สึกส่วนตัว ว่ากันที่หลักฐานล้วนๆ ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าเราศึกษาประวัติศาสตร์ไปทำไม จริงไหม? ผู้อ่านคงต้องวิเคราะห์เองว่าความจริงเป็นอย่างไร เพราะสิ่งที่เขียนอาจไม่ตรงใจผู้อ่านที่ได้รับข้อมูลอีกชุดหนึ่ง
สงครามยูเครนไม่ได้เพิ่งเริ่มในปี 2022 มันโยงไปถึงก่อนยูเครนจะตั้งเป็นประเทศเสียอีก
ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า โซเวียตกับรัสเซียไม่เหมือนกัน
ถ้าพูดถึงรัสเซีย หมายถึงประเทศรัสเซียในตอนนี้ ปกครองโดยปูติน ถ้าพูดถึงโซเวียต หมายถึงสหภาพโซเวียต (The Union of Soviet Socialist Republics - USSR) ซึ่งรวมประเทศต่างๆ ร้อยพ่อพันแม่เข้าด้วยกันมาตั้งแต่ปี 1922 ไม่กี่ปีหลังปฏิวัติบอลเชวิกโดยเลนิน แล้วปกครองเหมารวมด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้น และประธานาธิบดีเรแกนเรียกมันว่า evil empire (จักรวรรดิปิศาจ)
จะว่าไปแล้ว โซเวียตก็เป็น evil empire จริงๆ หลังจากเลนินตาย สตาลินส่งคนไปใช้ขวานจามหัวทร็อตสกี้คู่แข่งทางการเมือง ขึ้นครองตำแหน่ง ก่อตั้งสหภาพโซเวียต หมายจะเปลี่ยนทั้งโลกเป็นสีแดง ด้วยองค์การโคมินเทิร์น (Comintern หรือ Communist International) สตาลินฆ่าคนตายไปหลายสิบล้านคน ชาวโลกกลัวคอมมิวนิสต์กันหัวหด
ในสงครามโลกครั้งที่สอง สตาลินโชคดีที่เข้าถูกฝ่าย ร่วมกับตะวันตกรบกับฮิตเลอร์ จึงอยู่ฝ่ายชนะสงคราม หลังจากสงครามโลกจบ ก็เกิดสงครามเย็นทันที อเมริกากลัวโซเวียตจะเปลี่ยนโลกเป็นคอมมิวนิสต์ทั้งหมด จึงตั้งองค์การ NATO ขึ้นมารับมือในปี 1949 โซเวียตก็ตั้งบ้างคือกลุ่ม Warsaw Pact
ในปี 1985 กอร์บาชอฟขึ้นมาเป็นผู้นำ มีอาการคล้ายเติ้งเสี่ยวผิงตอนขึ้นเป็นผู้นำจีน คือมองซ้ายมองขวา บ้านเมืองยากจน ดูท่าไปไม่รอด เห็นชัดว่าระบอบคอมมิวนิสต์ไม่เวิร์ก เติ้งเสี่ยวผิงดัดแปลงสิงคโปร์โมเดลมาใช้ ส่วนกอร์บาชอฟตั้งนโยบาย Glasnost (โปร่งใส) และ Perestroika (ปรับโครงสร้างใหม่)
ถึงจุดนี้ฝ่ายตะวันตกก็เอาใจช่วยกอร์บาชอฟเต็มที่ พยายามให้โซเวียตรัสเซียสลายตัวด้วยดี
ความล่มสลายของสหภาพโซเวียตเกิดมาจากหลายสาเหตุ แต่ไม่ใช่เพราะอเมริกาชนะสงครามเย็นอย่างที่ชอบเคลมกัน โซเวียตล้มด้วยตัวมันเอง ประการหนึ่ง คอมมิวนิสต์เป็นระบอบที่ไม่เหมาะกับมนุษย์ คนทำงานกับคนไม่ทำงานกินข้าวชามเท่ากัน ทำให้ไม่มีการคิดค้นอะไรออกมาให้เหนื่อยเปล่า
ประการหนึ่ง โซเวียตผลาญเงินไปกับอาวุธมากมาย เศรษฐกิจไปไม่รอด และอีกประการหนึ่ง โซเวียตใหญ่เกินไป ประกอบด้วยหลายรัฐที่ไม่มีอะไรเหมือนกัน
ประธานาธิบดีจอร์จ บุช คนพ่อ ให้สัญญากับกอร์บาชอฟที่ Malta Summit ในเดือนธันวาคม 1989 ว่าสหรัฐฯจะไม่ฉวยโอกาสทำลายผลประโยชน์ของโซเวียต บุชบอกว่า “I have not jumped up and down on the Berlin Wall.”
ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1990 เจมส์ เบเกอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัญญากับกอร์บาชอฟว่า “Not one inch eastward” หลังจากกอร์บาชอฟกลัวว่า NATO คิดฉวยโอกาสขยายตัวไปทางตะวันออก
“Not one inch eastward” เป็นคำยืนยันว่าสหรัฐฯจะไม่เคลื่อนกำลังหรืออิทธิพลของ NATO เข้าไปทางรัสเซียแม้แต่นิ้วเดียว
เจมส์ เบเกอร์ ไม่ได้สัญญาครั้งเดียว แต่พูดวลี “Not one inch eastward” ถึงสามรอบ มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
เบเกอร์บอกกอร์บาชอฟว่า “The Americans understood that not only for the Soviet Union but for other European countries as well it is important to have guarantees that if the United States keeps its presence in Germany within the framework of NATO, not an inch of NATO’s present military jurisdiction will spread in an eastern direction.”
คำสัญญาของผู้นำอเมริกันทำให้กอร์บาชอฟยอมปิดบริษัทโซเวียต
ในที่สุดในเดือนธันวาคม 1991 อาณาจักรโซเวียตอันยิ่งใหญ่ก็ล้ม กำแพงเบอร์ลินถูกทุบทิ้งก่อนหน้านั้นไม่นาน หลายแคว้นแยกออกไปเป็นประเทศใหม่ รวมทั้งยูเครน และรับรู้กันทั้งสองฝ่ายว่ายูเครนจะทำหน้าที่เป็นรัฐกันชน สหรัฐฯและฝ่ายตะวันตกจะไม่เข้าไปประชิดพรมแดนรัสเซีย เหมือนกรณีโซเวียตไปตั้งฐานขีปนาวุธที่คิวบาจ่อคอหอยสหรัฐฯในสมัยเคนเนดี
Warsaw Pact ยุติไปโดยปริยาย แต่ NATO ยังไม่ยอมเลิก แม้ว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำสงครามเย็นอีกแล้ว
ปัญหาของสหรัฐฯคือ ผู้นำคนใหม่ไม่รักษาคำสัญญาของผู้นำคนเก่า ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือกรณีนิกสันสัญญายอมรับจีนเดียว แต่ประธานาธิบดีคนหลังๆ ผลักดันให้ไต้หวันเป็นเอกราช เพื่อใช้เป็นหมากเล่นงานจีน
ในกรณีนี้ สหรัฐฯก็กลืนน้ำลายตัวเอง ฉีกคำสัญญา “Not one inch eastward” จนกลายเป็นสงครามยูเครน
ดังนั้นว่ากันแฟร์ๆ เมื่อปูตินอ้างคำสัญญา “Not one inch eastward” การบุกยูเครนก็เป็นความชอบธรรม เพราะอเมริกาเป็นฝ่ายฉีกสัญญา
เอาละ เราย่อมได้ยินบทวิเคราะห์จำนวนมากที่ว่า ปูตินกระสันจะเป็นเจ้าโลก ก่อสงครามเพราะต้องการรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ของสหภาพโซเวียตขึ้นมาใหม่ ในใจลึกๆ ปูตินอาจจะมีความคิดอยากเป็นสตาลิน หรือลอร์ดเซารอน หรือธานอส แล้วใช้ “Not one inch eastward” เป็นข้ออ้าง นี่ย่อมเป็นไปได้ แต่มีข้อแย้งสองจุดที่หักล้างทฤษฎีนี้
ข้อหนึ่งคือเมื่อบุกยูเครนได้ไม่นาน ปูตินขอเจรจาสันติภาพมากกว่าหนึ่งครั้ง เปิดโอกาสให้ยูเครนเปลี่ยนใจ โดยมีข้อแม้ว่ายูเครนต้องไม่เข้าองค์การ NATO ชั่วกาลปาวสาน การเจรจาเกือบบรรลุผล แต่ฝ่ายตะวันตกขวางในนาทีสุดท้าย บอกให้ยูเครนสู้ต่อไป จะส่งอาวุธให้
ข้อสอง ว่ากันว่าปูตินมีไอคิวสูงถึง 150 ทว่าแม้แต่คนโง่กว่าปูตินที่ศึกษาประวัติศาสตร์ ก็รู้ว่าระบอบคอมมิวนิสต์ไม่เวิร์ก โลกเราตอนนี้มีระบอบคอมมิวนิสต์แค่ชื่อเท่านั้น ในภาคปฏิบัติไม่ใช่ ไม่งั้นจีนคงไม่มีมหาเศรษฐีระดับโลก และไม่เดินมาทาง "แมวดำแมวขาวไม่สำคัญ" ในคหสต. ผมไม่คิดว่าปูตินจะฉลาดน้อยเดินไปในทิศนี้ เพราะประวัติศาสตร์ก็ชี้ชัดเจนแล้วว่า มหาประเทศโซเวียตที่มีร้อยพ่อพันแม่ไปไม่รอด มันหนักเกินไป
ดังนั้นผู้อ่านก็ต้องขบคิดเอาเองว่า สงครามยูเครนเกิดขึ้นมาเพราะอะไร และใครกันแน่คือ evil empire
แต่ท้ายที่สุดแล้ว สภาพประเทศล่มสลายของยูเครนตอนนี้ ซึ่งเห็นชัดว่าต้องใช้เวลาหลายสิบปีฟื้นฟู อาจทำให้ชาวยูเครนต้องถามตัวเองว่า "กูบ่อสื่อจ่อหรือเปล่า" ยังจะยืนยันเข้าเป็นสมาชิก NATO แล้วบ้านเมืองพัง หรือดำรงความเป็นรัฐกันชนเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม
บทเรียนแรกคือ อย่าใช้บ้านตัวเองเป็นสนามรบของคนอื่น
และบทเรียนที่สองซึ่งใช้ได้กับทุกประเทศ : "เลือกผู้นำผิด คิดจนประเทศพัง"
วินทร์ เลียววาริณ
26-6-25อ่านเพิ่มเรื่องความรู้เกี่ยวกับกำเนิดและอวสานของลัทธิคอมมิวนิสต์โลกได้จากนวนิยาย ปีกแดง (รางวัลนวนิยายดีเด่นคณะกรรมการหนังสือแห่งชาติ ปี 2546) https://www.winbookclub.com/store/detail/114/ปีกแดง%20ฉบับปรับปรุง
(ขอบคุณภาพจากรอยเตอร์ส)
1- แชร์
- 12
-
วันนี้เพื่อนของผมถามว่า เขียนเรื่องการเมืองโลกเรื่อง xxx แล้วยัง ผมตอบว่าเขียนไม่ได้ เพราะในเรื่องที่เขาว่านั้น ผมไม่รู้จริง และผมไม่อยากเขียนแบบ speculation
speculation คือคาดคะเน ตั้งทฤษฎีโดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานชัดแจ้ง
ช่วงหลังนี้ผมเผลอตัวไปเขียนบทวิเคราะห์การเมืองโลกอยู่หลายตอน ทั้งที่ไม่ใช่พื้นที่ที่ผมอยากทำเท่าไรนัก ผมชอบเขียนนิยายมากกว่า
ในความเห็นของผม การเขียนบทวิเคราะห์การเมืองโลกมีสองแบบ
แบบแรกผมเรียกว่า speculation คือรับข้อมูล ข่าวสาร แล้วมาตั้งทฤษฎีว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั่วโลกมีนักวิเคราะห์แบบนี้มากมาย อ่านและฟังสนุกดี แต่จริงไม่จริงเราไม่รู้ ถูกบ้างผิดบ้าง ขึ้นกับผู้ตั้งทฤษฎีมีประสบการณ์มากแค่ไหน แต่บางทีคนมีประสบการณ์ก็พลาดได้ เป็นเรื่องธรรมดา
แบบที่สองคือ เสนอบทเรียนทางประวัติศาสตร์ ก็คือสิ่งที่ผมพยายามทำ
เท่าที่ผ่านมา สิ่งที่เรียกว่า 'บทวิเคราะห์การเมืองโลก' ที่ผมเขียนมักอ้างอิงประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง มีหลักฐานจริง แล้วใช้หลักฐานข้อมูลเหล่านี้มาพยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
สำหรับแบบที่สองนี้ ผู้อ่านต้องขบคิด วิเคราะห์ด้วยเวลาอ่าน เพราะผมก็อาจพลาดตอนโยงได้เหมือนกัน
ตอนผมเขียนนวนิยาย ปีกแดง เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนนั้น เป็นครั้งแรกที่ผมต้องรีเสิร์ชข้อมูลประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศจำนวนมหาศาล และเรียนรู้ว่า ในเรื่องหนึ่งๆ มีหลายมุม (perspective) ถ้ามีอคติล่วงหน้า ก็จะพลาดมุมอื่นที่อาจจะถูกต้อง
การเขียนนวนิยายยังพอกล้อมแกล้มในเรื่องข้อมูลไม่ตรงหรือมีอคติได้บ้าง แต่หากเป็นสารคดี ข้อมูลต้องเป๊ะ ไม่งั้นมันก็เป็นแค่ speculation และถ้าเราไม่รู้ว่ามันคือข้อมูลจริงหรือ speculation เราก็จะพลาดความจริงได้ง่าย
ผู้อ่านจึงต้องอ่านข่าวสารและบทวิเคราะห์ให้ออกว่า มันเป็น speculation หรือไม่ แล้วคิดต่อไป จึงจะมองเห็นภาพได้ชัดขึ้น และทำให้เรามองแต่ละเหตุการณ์ได้ลึกขึ้น
speculation นั้นสนุกกว่า ทั้งการเสพและการถก แต่ต้องระวังนิด เพราะมันอาจทำให้ความคิดเราเขวได้
วินทร์ เลียววาริณ
26-6-250 วันที่ผ่านมา -
เคยอยากได้ยางลบความทรงจำไหม?
เรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ในชีวิตเป็นบาดแผลลึกที่เราอยากจะลืม แต่ลืมไม่ได้ สิ่งเดียวที่มองเห็นว่าช่วยได้คือยางลบความทรงจำ
ลบความทรงจำที่ไม่ดี ที่เลอะเทอะจิตใจ
อกหักน่าจะเป็นอาการที่คนเป็นอยากได้ยางลบชนิดนี้ที่สุด คนรักตีจาก ทำให้หัวใจร้าวราน แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าและทรมาน เวลาผ่านไปเป็นปี อาการก็ไม่ดีขึ้น ความโกรธ ความเกลียด ความแค้นยังพลุ่งพล่านในหัวใจเป็นระยะ ๆ ทั้งรักทั้งแค้น หรือรักมากก็แค้นมาก
ถ้าได้ยางลบความทรงจำก็คงดี
เชื่อว่าผู้คนหลายพันล้านคนในโลกอยากได้ยางลบชนิดนี้
ปัญหาคือโลกเราไม่มียางลบความทรงจำ
ทว่าต่อให้มียางลบดังกล่าว มันก็เหมือนดื่มเหล้าดับทุกข์ เป็นการหนีปัญหาอย่างหนึ่ง
เราอาจเปรียบอาการอกหักกับการเป็นมะเร็ง ขั้นตอนการจัดการกับปัญหาคล้าย ๆ กัน
คนไข้โรคมะเร็งจำนวนมาก เมื่อได้ยินข่าวร้าย จะมีปฏิกิริยาแรกคือ Denial หรือโหมดปฏิเสธ ไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริง ไม่ยอมรับความจริงนี้
ต้องใช้เวลาออกจากโหมดนี้ แล้วยอมรับความจริง
ขั้น Denial ถ้านานเกินไป ก็จะหายช้า เพราะยังไม่สามารถเริ่มกระบวนการรักษา
ถ้าไม่ยอมรับความจริงว่ามีปัญหา ก็ไปต่อไม่ได้
ปฏิกิริยาขั้นต่อมาคือความโกรธ คนไข้มักบอกตัวเองว่า “ทำไมต้องเป็นเรา?”
“เราทำอะไรผิดหรือจึงซวยอย่างนี้?”
“ชาติก่อนเราทำกรรมอะไรไว้?” ฯลฯ
ปฏิกิริยาต่อมาอีกคือความกลัว วิตกจริต และสิ้นหวัง
ทั้งหมดนี้เป็นปฏิกิริยาพื้นฐานของมนุษย์ทั่วไป
สิ่งแรกที่พึงกระทำคือตั้งสติ เมื่อสติคืนมาก็ให้รีบออกจากโหมดปฏิเสธโดยเร็วที่สุด ยอมรับว่านี่คือปัญหา เกิดขึ้นมาแล้ว
หลังจากนั้นก็อาจมองแบบพุทธ เป็นทางหนึ่งที่ผมเคยได้ใช้และได้ผล
นั่นคือมองและเข้าใจว่าทุกสิ่งในโลกเกิดและดับ ไม่มีอะไรยั่งยืนตลอดกาล แม้กระทั่งความทุกข์
ดังนั้นไม่ต้องหนีความรู้สึกทุกข์ ไม่ต้องแกล้งลืม ให้เผชิญหน้ากับมัน มองมันตรง ๆ และเฝ้าดูมันเคลื่อนผ่านไป
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ท่องในใจว่า It will pass.
วันนี้ความรู้สึกทุกข์อาจลดจากเมื่อวานนี้ 1 อะตอม ก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้มันก็จะลดลงอีก 1 อะตอม
ลดลงมาตั้งสองอะตอมแล้ว!
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนเราหาย
อีกอุบายหนึ่งคือเปลี่ยนมุมมอง อาจจะปล่อยวางปัญหานี้ได้ง่ายขึ้น
คนส่วนใหญ่เมื่อเจอประสบการณ์รักเลิกร้างลาจาก มักจะมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล มองว่าตัวเองเป็นฝ่ายเจ็บ ร้าวรานแต่เพียงผู้เดียว เพลงตัดพ้อคร่ำครวญจึงขายได้ตลอดกาล
ไม่ค่อยคิดว่าอีกฝ่ายก็อาจเจ็บปวดและร้าวรานได้เช่นกัน
ดังนั้นลองเปลี่ยนมุมมอง อย่าใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง มองอีกฝ่ายบ้าง มีเมตตากับเขา
ลองมองใหม่ว่า การที่อีกฝ่ายมีความสุขกว่าที่จากเราไป ก็คือสิ่งที่เราควรยินดีกับอีกฝ่าย ไม่ใช่มองแต่ด้านทุกข์ของตัวเอง ใครจะรู้ อีกฝ่ายก็อาจกำลังทุกข์เช่นกัน
อ้าว! ก็ไหนเคยบอกว่ารักเขาไง ถ้ารักจริง ก็น่าจะยินดีกับเขาที่มีความสุข แม้ว่าความสุขของเขาไม่มีเราอยู่ด้วย
ความทุกข์ในโลกนี้หายได้ด้วยความเข้าใจ เพราะความทุกข์ทั้งหลายในโลกมาจากการปรุงแต่ง เมื่อเข้าใจ ก็หยุดการปรุงแต่ง
หยุดปรุงแต่งเมื่อไร ก็หยุดทุกข์เมื่อนั้น
และอดทน เฝ้ามองมันสลายไป
It will pass.
เพราะไม่มีทุกข์ใดยั่งยืนยงตลอดกาลนาน
วินทร์ เลียววาริณ
26-6-25.....................................
จาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
56 บทความกำลังใจ ราคาเพียง 200 บาท = บทความละ 3.5 บาท (ไม่คิดค่าส่ง)
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/187/เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
Shopee https://s.shopee.co.th/60Bx1VKarmShopee โปรโมชั่นคู่กับยุทธจักรวาลกิมย้ง https://s.shopee.co.th/6pl417244u
0 วันที่ผ่านมา -
หลายวันนี้ผมเขียนบทบาทด้านลบของการเมืองสหรัฐอเมริกาหลายตอน ขอบอกว่าผมไม่ได้เขียนเพราะเกลียดอเมริกัน ว่ากันตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ล้วนๆ และก็ไม่ได้สรุปว่าสหรัฐฯเลวทั้งประเทศ
แค่บอกว่านักการเมืองของเขาเลวใช้การได้เลย
ผมเคยไปเรียนและทำงานที่สหรัฐฯ เรียนรู้มากมายจากประเทศนี้ ยุคที่ผมไปอยู่ที่นั่น ยังไม่มีกระแส Asiaphobic ผลักชาวเอเชียตกรางรถไฟ อเมริกันที่ผมรู้จักก็เป็นคนที่ฉลาด นิสัยดี คบหาได้
สหรัฐฯมีนักคิด นักวิทยาศาสตร์ คนทำงานสร้างสรรค์นับไม่ถ้วน สร้างประโยชน์ให้ชาวโลกมหาศาล อเมริกามีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก มหาวิทยาลัย Top 10 เป็นของสหรัฐฯเสียกว่าครึ่ง อเมริกาเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลโนเบลมากที่สุดในโลก อเมริกันคิดค้นอะไรใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา เพราะสังคมแบบ American Dream เอื้อให้คนคิดสร้างสรรค์เต็มที่ เพราะรู้ว่ามีสิทธิ์รวยได้
นี่คือจุดแข็งของอเมริกา
แต่จุดอ่อนคือนักการเมือง ในมุมมองที่ผมเห็น การเมืองสหรัฐฯดูเหมือนไปทิศทางเดียวมาตลอด สกปรกโสมมสม่ำเสมอ
ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะเมื่อเทียบกับประเทศจีนที่ล้าหลังกว่าหลายปีแสง จีนใช้เวลา 40 ปีสร้างประเทศจากศูนย์ ดึงคนพ้นความยากจนหลายร้อยล้านคน สร้างทางรถไฟ สร้างโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ เปลี่ยนทะเลทรายเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ฯลฯ แต่ 40 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯยังไม่มีรถไฟความเร็วสูง (bullet trains) สักสายเดียว ยาเสพติดระบาด ปืนเกลื่อนเมือง ฆ่าหมู่เป็นประจำ ความเหลื่อมล้ำในสหรัฐฯสูงมาก (อาจเพราะเหตุนี้หรือไม่ที่ประเทศนี้เต็มไปด้วยซูเปอร์ฮีโร?)
ในเมื่อสหรัฐฯเต็มไปด้วยคนเก่ง วิทยาการสูงส่ง ทำไมบ้านเมืองจึงเป็นอย่างที่เป็น?
ในคหสต. คำตอบก็น่าจะคือนักการเมือง เพราะแทนที่จะเอาสมองชั้นยอดไปพัฒนาประเทศ กลับไปพัฒนาอาวุธ ก่อสงครามทุกมุมโลก นักการเมืองกระเหี้ยนกระหืออยากทำสงคราม ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าทำไปทำไม เหมือนได้รับใบสั่งมา
สหรัฐฯมีฐานทัพนอกประเทศอย่างน้อย 128 แห่งทั่วโลก สหรัฐฯวีโต้คว่ำทุกมติของนานาชาติ (โดยเฉพาะมติที่ไม่เป็นผลดีต่ออิสราเอล) ส่งอาวุธไปร่วมโรงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา ถอนตัวจากการแก้ปัญหาโลกร้อน ไม่แยแสกฎระเบียบนานาชาติ ไม่สนใจความชอบธรรม ความยุติธรรม มนุษยธรรม
นี่ไม่ได้พูดเพราะอารมณ์พาไป นี่ว่าตามหลักฐานที่ปรากฏ นี่ก็คือภาพที่ชาวโลกเห็น
เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นไม่ว่าที่มุมไหนในโลก โฆษกทำเนียบขาวก็มักจะโผล่หน้ามาเอ่ย "เราเป็นห่วงสถานการณ์ที่ประเทศยูจังเลย"
แต่กลับไม่ห่วงประเทศตัวเอง ไม่ได้ห่วงว่าทำไมชาวอเมริกันจ่ายภาษีไปเป็นค่าอาวุธไปให้ชาติอื่นเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
จะรู้ว่ามันเริ่มต้นมาได้อย่างไร ก็ต้องศึกษาประวัติศาสตร์
สงครามโลกครั้งที่สองน่าจะเป็นจุดเปิด Pandora's box เมื่อประเทศในยุโรปพังพินาศ ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกล้มระเนระนาด แต่อเมริกาปลอดภัย ด้วยแสนยานุภาพทางทหาร ทันใดนั้นอเมริกาก็มองเห็นโอกาสที่จะเป็นเจ้าโลก
สหรัฐฯต่อสู้กับโซเวียตในช่วงสงครามเย็นยาวนาน สมัยผมเป็นเด็ก สำนักข่าวสารอเมริกันพิมพ์นิตยสารแจกคนไทย มีทั้งความรู้และโฆษณาชวนเชื่อผสมกัน โดยเฉพาะเรื่องภัยคอมมิวนิสต์ ตอนนั้นเด็กไทยกลัวคอมมิวนิสต์ คิดว่าเป็นผีชนิดหนึ่ง จับเด็กไปฆ่า
เด็กไทยก็โตมาแบบนี้ มีภาพว่าอเมริกาคือมหามิตร
จนเมื่อโซเวียตล้ม (เพราะตัวมันเอง ไม่ใช่เพราะสหรัฐฯ) สหรัฐฯก็กลายเป็น Unipolar power ใหญ่แต่เพียงผู้เดียวในโลกา แต่ไม่สบายใจเมื่อจีนมาหายใจรดต้นคอ ซึ่งเป็นภาคบังคับ เพราะเศรษฐกิจจีนจะใหญ่กว่าสหรัฐฯในไม่กี่ปีข้างหน้า
นี่ก็คือเหตุผลที่ผู้นำสหรัฐฯต้องตีประเทศจีนสามเวลาหลังอาหาร เสาร์อาทิตย์และวันหยุดราชการเพ่ิมรอบเช้า 10.00 น.
และนี่ส่งผลย้อนกลับ (backfire) เช่น การสกัดจีนเรื่องชิปยิ่งทำให้จีนรีบพัฒนาชิปเร็วขึ้นกว่าเดิม
อเมริกาเป็นประเทศที่รวมทั้งคนดีและคนไม่ดี มีบริษัทยาที่ค้ากำไรเกินควร แต่ก็มีคนอย่าง โจนาส ซอล์ค (Jonas Salk) ที่คิดค้นวัคซีนโรคโปลิโอสำเร็จ แล้วมอบให้ชาวโลกโดยไม่รับสิทธิบัตร มีคนอย่าง จอร์จ โซรอส ที่คนไทยจดจำได้ดีจากเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง แต่ก็มีคนใจบุญอย่าง ชัค ฟีนีย์ (Chuck Feeney) ที่สร้างมหาวิทยาลัยไปทั่วโลก
ความสัมพันธ์ของชาวโลกกับสหรัฐฯจึงเป็น love-hate relationship เรายอมรับความเก่งของเขา แต่เราก็กลัวความบ้าของเขา ไม่มีชาติใดในโลกอยากรบกับอเมริกัน ไม่มีใครอยากสู้กับหมาบ้า
ลีกวนยูเคยบอกว่า "ถามว่าผมอยากเหมือนอเมริกาไหม ใช่ ในด้านความสามารถประดิษฐ์คิดค้น ในด้านความคิดสร้างสรรค์... แต่อเมริกาที่ไร้ความสามารถควบคุมปัญหายาเสพติด - ไม่อยาก! หรือปัญหาปืน ไม่อยาก!"
ในปี 1961 สิงคโปร์จับซีไอเอสามคนข้อหาล้วงความลับ อเมริกาเสนอให้หนึ่งล้านแก่พรรค PAP ของลีกวนยูเพื่อให้ปล่อยตัวคนของตน ลีกวนยูบอกว่า “อเมริกาซื้อผู้นำเวียดนามและประเทศอื่น ๆ มากจนคิดว่าผู้นำทุกคนในโลกซื้อได้หมด”
ลีกวนยูบอกว่าปัญหาของพวกตะวันตกคือ "hubris" (กร่าง โอหัง) hubris นี่จะทำลายตัวเอง
คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ใช่คนเลวร้าย แต่ไม่ต่างจากไทยหรือประเทศอื่นๆ จะพัฒนาการเมืองอเมริกาได้ ก็ต้องพัฒนาคนก่อน
ในคหสต. ปัญหาของคนอเมริกันคือความรู้รอบตัวต่ำมาก เมื่อได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน นักการเมืองพันธุ์กระหายเลือดก็ยังคงอยู่ได้ต่อไป และทำให้โลกป่วน สหรัฐฯสามารถยุติสงครามใหญ่ๆ ในวันนี้ได้ในอึดใจเดียว แต่เลือกไม่ทำ
โลกเรากว้างใหญ่พอที่ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ แต่ไม่ใหญ่พอสำหรับพวกที่มีอีโก้สูงกว่าภูเขาเอเวอเรสต์ และความโลภลึกกว่า Mariana Trench
ไม่ว่าจักรวรรดิอเมริกาจะยิ่งใหญ่แค่ไหน วันหนึ่งมันก็เสื่อมและล้ม (บางคนว่ามันอยู่ในช่วงสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว) นี่ไม่ได้แช่ง แต่มันเป็นสัจธรรมโลก ประวัติศาสตร์หลายพันปีนี้สอนเราว่า ทุกจักรวรรดิล่มสลายเสมอ จำนวนมากล่มเพราะตัวเอง จักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิอังกฤษ ("อาทิตย์ไม่เคยตกดิน") ล้วนล่มสลายไปเรียบร้อยแล้ว
มันเป็นสัจธรรมเช่นนั้นเอง
วินทร์ เลียววาริณ
25-6-25(ภาพจาก Apocalypse Now)
1 วันที่ผ่านมา -
คอมพิวเตอร์บอกผมว่า วันนี้ผมอยู่ในโลกนี้เป็นวันที่ 25,296
ตามแนวเซน เมื่อคืนนี้เป็น 'การตาย' ครั้งที่ 25,295
และวันนี้เป็นวันเกิดครั้งที่ 25,296
โชคดีที่ได้มองดูโลกอีกครั้ง
สำหรับคนทั่วไป ใช้ชีวิตมาสองหมื่นกว่าวัน ถือว่าไม่น้อย
สองหมื่นกว่าวันทำอะไรได้มากมาย
นานๆ ทีเราก็ควรถามตัวเองว่าเราอยู่มานานเท่าไร เรามีความสุขไหม ถ้าไม่ ทำไมจึงไม่มีความสุข
นานๆ ทีเราก็ควรถามตัวเองว่าเราอยู่มานานเท่าไร ทำอะไรมาบ้าง และจะทำอะไร ถ้าไม่เคยทำอะไรดีๆ เลย ก็น่าจะใช้โอกาสนี้บอกตัวเองว่า ทำอะไรสักหน่อยดีไหม
Today is the first day of the rest of your life.
สุขสันต์วันเกิดครับ
เริ่มต้นวันเกิดใหม่ด้วยรอยยิ้มดีไหม?
วินทร์ เลียววาริณ
วันเกิดครั้งที่ 25,296.......................
เว็บไซต์ที่คำนวณอายุเป็นจำนวนวัน
https://jalu.ch/coding/days/en1 วันที่ผ่านมา -
ข่าวที่จะเล่าต่อไปนี้ไม่ค่อยเผยแพร่ในวงกว้างเท่าไร คือข่าวอิหร่านโจมตีฐานทัพอเมริกันในกาตาร์
หลังจากทรัมป์ทิ้งระเบิดหลายลูกใส่ 'ฐานนิวเคลียร์' ที่อิหร่าน อิหร่านก็ยิงขีปนาวุธหกลูกใส่ฐานทัพอเมริกันที่ Al-Udeid กาตาร์เพื่อสั่งสอน ให้รู้ว่าไผเป็นไผ
ก่อนยิงก็แจ้งฝ่ายสหรัฐฯว่า "กูจะยิงแล้วนะ"
ดังนั้นสหรัฐฯก็ถอนคนออกไปทัน
จึงถือว่านี่เป็นการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์
ที่ตลกก็คือทรัมป์ยังออกมาขอบคุณอิหร่านที่เตือนก่อน!
หลังจากนั้นก็ประกาศว่าสองฝ่ายตกลงยุติการตบตีกันแล้ว
ชาวโลกก็มีอาการงงว่าเกิดอะไรขึ้น นี่มันละครหรือเปล่า เพราะพล็อตเรื่องนี้มันแปลกๆ
ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวจะไปถามท่านรัฐมนตรีรักชาติ เชื่อมั่นว่าท่านน่าจะรู้ เพราะผลตรวจ MRI สมองท่านน่าจะผิด
ราตรีสวัสดิ์
วินทร์ เลียววาริณ
24-6-252 วันที่ผ่านมา