-
วินทร์ เลียววาริณ16 วันที่ผ่านมา
คนไทยเราเปลี่ยนชื่อเสมอๆ เพื่อความมงคล บางครั้งเราก็เปลี่ยนเพราะนโยบายการเมือง เช่น ยาม้าเปลี่ยนเป็นยาบ้า ทำให้ยาม้าหายไปจากโลกทันที
แต่มินึกว่าทั่นประธานาธิบดีทรัมป์ก็นิยมเปลี่ยนชื่อเช่นกัน ล่าสุดเพิ่งเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา
Google ก็รับลูกทันทีโดยเปลี่ยนให้อย่างเป็นทางการ ครูจะออกข้อสอบวิชาภูมิศาสตร์ก็ต้องตามให้ทัน
เช้าตรู่นี้มีข่าวว่าประธานาธิบดีเม็กซิโกจะฟ้อง Google
ทำให้หลายประเทศนึก coldๆ hotๆ ไม่รู้ว่าท่านจะมาเปลี่ยนของเราหรือเปล่า เช่น อ่าวไทยเป็นอ่าวมะกัน รถเมล์ไทยเป็นโคลัมบัส (bus)
น่ากัวมั่กมั่ก เอ๊ย! น่ากลัวมากๆ
อย่ากระนั้นเลย เราสมควรชิงรุกก่อน โดยเปลี่ยนชื่อฝรั่งทั้งหลายเป็นไทย ต้องเอาให้เข็ด
เริ่มที่นักแสดงนักร้องคนดัง
Clint Eastwood = กลินท์ อิทธิวุฒิ (คนตั้งชื่อคือ จุก เบี้ยวสกุล)
Paul Newman = พร นิ้วแม่น (คนตั้งชื่อคือ จุก เบี้ยวสกุล)
Charles Bronson = ชาญ บ้านสั้น (คนตั้งชื่อคือนักประพันธ์ เพชร สถาบัน)
Jason Statham = เจตสรรค์ สถาธร
Zac Efron = เสก แอบร่อน
David Beckham = เด่นวิทย์ บักคำ
Celine Dion = ศิรินทร์ ดีอ่อน
Christina Aguilera = กฤษณา อัครลีลา
Keanu Reeve = ขี้หนู ลีบ
Tom Cruise = ต้อม คุด
Tom Selleck = ต้อม เศษเหล็ก
Rod Stuart = รอด สระจวด
Arnold Schwarzenegger = อนันต์ สวัสดิ์เนตรเกลอ
Jessica Simpson = เจษสีกา เสมสันต์
Withney Houston = วิธณีย์ หัตถ์ธรรพ์
Kylie Minogue = ไข่รี มีโหนก
Uma Thurman = อุมา ถือมั่น
Angelina Jolie = อัญจรินา จรลี
Harrison Ford = หริสันต์ ฟัด
Tom Hanks = ต้อม แห้ง
Linsay Lohan = รินศรี โล่หาร
Paris Hilton = ภาริศ หินตัน
Ian McKellen = เอียน มรรคขี้เลน
James Marsden = เจิม มาดเดิน
Reese Witherspoon = ริษา วิธพูน
Shia LaBeouf = ไชยา ระบัด
Sandra Bullock = แสนดา บุญโลก
Nicole Kidman = นิกร คิดมั่น
Jennifer Aniston = เจนนิตย์ฟ้า อนิศสะท้าน
Gregory Peck = แกงกะหรี่ เป็ด
Anne Hathaway = แอ่น หัตถเวช
Kate Hudson = เขต หัตถ์สั้น
Ashley Judd = อัญชลี จัด
Renee Zellweger = เรณี ศรีวิกา
Paula Abdul = พรหล้า แอบดุน
Kevin Spacey = กวินทร์ สักป่าสี
Huge Jackman = หิว แจกมัน
Christian Bell = กฤษณ์เธียร เบน
Gene Hackman = จีน หักมัน
Kevin Bacon = กวินทร์ บ้านคอน
Marlon Brando = มาลอง เบ่งดู
Cate Blanchett = เขต บ้านเชษฐ์
Kevin Costner = กวินทร์ กอดเหนือ
Matt Damon = มาศ ด่ามอญ
Andy Garcia = แอ่นดี กล้าเสีย
Samuel L. Jackson = สำมวล แอ่วแจกส้น
Al Pacino = อั้น พัฒน์สิโน
Jennifer Lopez = เจนฟ้า โหลเป็ด
Mike Myers = ไหม มีเยอะ
Tim Allen = ติ๋ม อ่อนเล่น
Don Johnson = ดอน จรสั้น
James Brolin = เจิม บ่อดิน
Nicolas Cage = นิขรัตน์ เกศ
Russell Crowe = รัตน์เสน โค
John Cusack = จ้อน คู่แสก
Morgan Freeman = หมอแก่น ฝีมั่น
Ben Kingsley = เบญ กิ่งสาลี่
Suzanne Somers = สุขศานต์ สมมาตร
John Travolta = จ้อน ถวัลย์ตา
Yul Brynner = ยูร บินเหนือ
Rosamund Pike = รสสมุน-ไพร
Mel Gibson = แมว กีบสั้น
และนามสุดท้าย... เขียนด้วยความขออภัยอย่างสูง มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ!
Robert Pattison = รูเปิด ปฏิสนธิ์
ไม่รู้ Google จะเล่นด้วยไหม
ว.ล.
18-2-25(รายชื่อส่วนใหญ่รวบรวมมาจากท่านผู้คะนองภาษาทั้งหลาย)
1- แชร์
- 26
-
หลังกบฏบวรเดชล้มเหลว มีการจับกุมคนเกี่ยวข้องมากมายหลายร้อยคน ติดคุกเป็นระนาว และติดคุกยาวเป็นสิบปี ตั้งแต่คุกบางขวาง ย้ายไปที่เกาะตะรุเตา และเกาะเต่า ตายไปมาก เป็นการลงโทษกบฏที่รุนแรงที่สุด
นักโทษจำนวนมากเป็นปัญญาชน ได้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ อย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม ทำให้เรารู้ไปจนถึงรายละเอียดของชีวิตคนคุก เช่นที่เกาะเต่า อดอาหารจนฟันร่วงจากปาก เป็นต้น
มันเป็นการกวาดล้างทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และส่งผลให้เกิดการรัฐประหารตามมาอีกหลายครั้ง
รัฐประหารในยุคหลัง ถ้าแพ้ อย่างมากก็เนรเทศผู้ก่อการออกนอกประเทศ ผ่านไปไม่กี่ปี ก็กลับมาเดินปร๋อ
แต่กบฏบวรเดชเล่นกันหนักจริง
ผมใช้ข้อมูลจำนวนมหาศาลนี้เขียนนวนิยายเรื่อง น้ำเงินแท้ บันทึกเรื่องกบฏบวรเดช เป็นนวนิยายแนว ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน และ ปีกแดง แต่ไม่ค่อยมีคนรู้ เพราะไม่เคยโปรโมต สนใจก็หาซื้อมาอ่าน เพราะหนังสือหมด จะไม่ตีพิมพ์ใหม่อีก
วันนี้ขอเล่าเรื่องหนึ่งในนักโทษบวรเดชที่เป็นคนระดับสูง และมีชีวิตโลดโผน ไม่อ่านไม่ได้ สมควรอ่าน เพราะไม่มีสอนในโรงเรียน
พระยาสุรพันธเสนี (อิ้น บุนนาค) สมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลราชบุรี ซวยเพราะถูกพระองค์เจ้าบวรเดชชวน ต่อหน้านายกรัฐมนตรี พระยาพหลพลพยุหเสนา
เกร็ดที่น้อยคนรู้คือ พระยาสุรพันธเสนีก็คือพ่อตาของนักเขียน มนัส จรรยงค์ นักเขียนพาลูกสาวท่านหนี (อ้อม บุนนาค)
เรื่องนี้ยาว ต้องเล่ามาตั้งแต่ต้น
พระยาสุรพันธเสนีเขียนบันทึกไว้ในหนังสือ ฝันร้ายในชีวิตของข้าพเจ้า ว่า
“ในขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในราชการและดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลราชบุรีอยู่นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จแปรพระราชฐานประทับร้อนที่สถานตากอากาศหัวหิน ณ ที่พระราชวังไกลกังวล การเสด็จแปรพระราชฐานครั้งนี้อยู่ในความรับผิดชอบของข้าพเจ้าตามประเพณีแต่เดิมมา หรือเรียกว่าตามหน้าที่ก็ว่าได้ ในเวลานั้นเองก็ได้มีกองกำลังนครราชสีมาลุกขึ้นแข็งอำนาจ ภายใต้การนำของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดชเพื่อต่อสู้กับรัฐบาล โดยกล่าวว่ารัฐบาลมิได้ดำเนินการระบอบประชาธิปไตยตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญากับราษฎร
เมื่อข่าวนี้แพร่ไปอย่างรวดเร็วทั้งทางหนังสือพิมพ์และวิทยุ ข้าพเจ้าก็ได้ข่าวนี้ด้วยความตื่นเต้นและตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ ณ ตำบลอันอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงตกอยู่ในฐานะที่จะต้องป้องกันและถวายความปลอดภัยต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ความจริงเรื่องที่พระองค์เจ้าบวรเดชจะได้คิดต่อสู้กับรัฐบาลนั้น ข้าพเจ้าล่วงรู้ก่อนหน้านั้นแล้ว ๑ วัน เรื่องนี้เล่าลือกันไปต่าง ๆ นานา ข้าพเจ้าได้บันทึกไว้เสียเดี๋ยวนี้ว่า ถ้าข้าพเจ้าคิดอ่านการร้ายหวังจะล้มรัฐบาลจริง ข้าพเจ้าก็คงจะได้สั่งนายทหารชั้นนายร้อยเอก กรมทหารปืนใหญ่ซึ่งเป็นพรรคพวกของข้าพเจ้าจับพระยาพหลฯไว้เสียแล้ว
วันนั้นข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่าเป็นวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาพักยังจังหวัดราชบุรี ข้าพเจ้าจึงได้เชื้อเชิญพระยาพหลฯ มารับประทานน้ำชาในเวลาเย็นที่สโมสรข้าราชการจังหวัดราชบุรี บรรดาข้าราชการและพ่อค้าประชาชนคนสำคัญที่ได้รับเชิญมานั้นมากมายก่ายกองจนเหลือที่ข้าพเจ้าจะเอารายชื่อมากล่าวในที่นี้ได้หมด
เรากำลังสนทนากันด้วยเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราชการหรือเรื่องส่วนตัวก็ตาม ข้าพเจ้าเป็นคนมีนิสัยชอบล่องป่าล่าสัตว์ และพระยาพหลฯก็เป็นคนชอบกีฬาชนิดเดียวกัน เวลานั้นคำว่านิยมไพรยังไม่ได้บัญญัติกันขึ้น ก็เรียกแต่ว่าล่าสัตว์ ล่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่หรือยิงนกตกปลาเป็นกีฬาที่ข้าพเจ้าโปรดมากเท่า ๆ กับกอล์ฟ ขณะที่เรากำลังคุยกันอยู่ ณ สโมสรข้าราชการราชบุรีนั้นเอง เสียงเครื่องบินก็ดังกังวานขึ้นเหนือท้องฟ้าของจังหวัดราชบุรี
มันก็ไม่ใช่เสียงกระหึ่มครึมครางเหมือนเครื่องบินในสมัยนี้ เป็นเครื่องบินของกองทัพอากาศที่ทันสมัยลำหนึ่งของสมัยนั้น ดูเหมือนจะเป็นเครื่องบินปีกสองชั้นในสมัยต่อมา เราฟังเสียงของมันเหมือนเสียงกระป๋องเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเสียงเครื่องบิน ๔ เครื่องยนต์ เครื่องบินปีกสองชั้นนั้นเรียกชื่อว่าเทียวปอร์เดอร์ล้าช หรือเบเก้อะไร ข้าพเจ้าก็จำไม่ได้เสียแล้ว นอกจากจะดังลั่นอยู่เหนือท้องฟ้าแล้ว ยังจะบินมาลงที่สนามบินราชบุรีเสียอีกด้วย ผู้ขับขี่เครื่องบินคือขุนไสวมัณยากาศ พอลงจากเครื่องบินแล้วก็รีบเดินทางมาหาข้าพเจ้าพร้อมด้วย พ.ท. พระพิชัยฯ
สำหรับ พ.ท. พระพิชัยฯคนนี้ ต่อมาข้าพเจ้าทราบว่าได้ไปคอยรับขุนไสวมัณยากาศอยู่ที่สนามบิน เมื่อเครื่องบินหยุดเรียบร้อยแล้ว พ.ท. พระพิชัยฯ ถามขุนไสวฯว่ามาทำไม? ขุนไสวมัณยากาศก็ตอบไปตามความจริงว่า พระองค์เจ้าบวรเดชฯให้นำจดหมายมาให้เจ้าคุณเทศาฯ เมื่อทราบดังนั้นแล้ว พ.ท. พระพิชัยฯก็ได้นำขุนไสวฯมายังสโมสรราชบุรีในทันที ซึ่งในเวลานั้นกำลังกินเลี้ยงกันอยู่ พระพิชัยฯส่งจดหมายของพระองค์เจ้าบวรเดชฯให้ข้าพเจ้าต่อหน้าพระยาพหลฯ
ข้าพเจ้ารีบรับจดหมายมาเปิดผนึกและอ่านดูใจความในจดหมายนั้นพอที่จะจดจำ ๆ ได้แต่ใจความสำคัญคือขอให้ข้าพเจ้านำทหารที่ราชบุรีและเพชรบุรีไปช่วยที่กรุงเทพฯ และในเวลาเดียวกันนั้น ข้าพเจ้าก็รีบตอบจดหมายพระองค์เจ้าบวรเดชฯไปในทันทีเหมือนกันว่า ข้าพเจ้าไม่มีความประสงค์ที่จะยกกำลังทหารทั้งราชบุรีและเพชรบุรีไปต่อสู้กับทหารของรัฐบาล ข้าพเจ้ามีความประสงค์อยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือจะป้องกันและรักษาความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์ตามหน้าที่ของข้าพเจ้าเท่านั้น
เมื่อขุนไสวฯได้รับจดหมายตอบของข้าพเจ้าแล้ว ก็ขึ้นเครื่องบินกลับไปจากจังหวัดราชบุรีไปกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าได้โทรเลขถึงพระองค์เจ้าบวรเดชฯตามข้อความดังกล่าวนั้น
ในเวลานั้นพระยาพหลฯหน้าซีดลงไปในทันที กิริยาอาการทั้งหมดเปลี่ยนไป ถ้าข้าพเจ้าเป็นกบฏดังที่ถูกกล่าวหา ข้าพเจ้าจะปล่อยพระยาพหลฯไว้ทำไม ข้าพเจ้าจะต้องจับกุมนายกรัฐมนตรีไว้เป็นประกันเสียก่อนอย่างแน่นอนเป็นการง่ายเหลือเกินที่ข้าพเจ้าจะสั่งให้ตำรวจหรือทหารปืนใหญ่ชั้นผู้บังคับกองซึ่งเป็นพวกของข้าพเจ้าให้เข้าทำการจับกุมทันที
พระยาพหลฯได้กำหนดไว้ว่าจะพักอยู่ที่ราชบุรี ๓ วัน แต่พอกระทบเรื่องที่ขุนไสวฯนำจดหมายจากพระองค์เจ้าบวรเดชฯมาส่งให้แก่ข้าพเจ้าท่ามกลางที่ประชุมการเลี้ยงน้ำชา ณ สโมสรข้าราชการราชบุรี แผนการที่จะพักอยู่ที่นั่นก็เป็นอันล้มเลิก พระยาพหลฯได้เดินทางกลับกรุงเทพฯทันทีโดยทางรถไฟซึ่งจะออกจากสถานีราชบุรี ๗.๐๐ น. วันที่ ๑๑ ตุลาคม คือวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าเองก็ได้ไปส่งพระยาพหลฯที่สถานีรถไฟ เราร่ำลากันแล้ว รถไฟก็เคลื่อนออกจากสถานีไป พระยาพหลฯรู้เรื่องดีแล้วในวันนั้นว่าจะมีการต่อสู้รัฐบาลเกิดขึ้น และถ้าขุนไสวมัณยากาศไม่นำจดหมายจากพระองค์เจ้าบวรเดชฯไปให้ข้าพเจ้าท่ามกลางที่ประชุม เจ้าคุณพหลฯก็จะไม่รู้เรื่องนี้ได้เลย
ข้าพเจ้าจับรถไฟอีกขบวนหนึ่งล่องลงไปทางใต้ด้วยความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ นี่เป็นความสัตย์จริงของข้าพเจ้าที่ไม่ได้กล่าวออกไปอย่างนกแก้วนกขุนทอง ข้าพเจ้าไปจังหวัดเพชรบุรีอย่างเนิบนาบ ไม่ฉับไวเหมือนในเวลานี้ที่เดินทางได้อย่างล่องหน เมื่อถึงจังหวัดเพชรบุรีอันเป็นบ้านเกิดเมืองมารดาของข้าพเจ้า เราได้ปรึกษากันในระหว่างข้าพเจ้ากับ พ.ต. หลวงสรสิทธิยานุการ (สิทธิ แสงชูโต) ผู้บังคับการทหารบกราบ ๑๔ จังหวัดเพชรบุรี พ.ต. หลวงสรสิทธิฯผู้นี้เป็นญาติกับข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าถามหลวงสรสิทธิฯว่า เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนี้ เราจะทำอย่างไรดีจึงจะป้องกันและถวายความปลอดภัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ เราทั้งสองได้แสดงความคิดเห็นกันอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดก็ตกลงกันได้ว่ามีอยู่ทางเดียวคือ
๑. ประกาศกฎอัยการศึกเฉพาะจังหวัดเพชรบุรี
๒. ประกาศระดมทหารกองหนุน โดยออกคำสั่งไปยังนายอำเภอทุกอำเภอ
ในคำประกาศระดมพลของเราก็ได้กำชับกำนันและผู้ใหญ่บ้านให้รีบส่งหมายเกณฑ์ให้ทันในวันรุ่งขึ้น และให้มาถึงโรงทหารในวันรุ่งขึ้นเช่นเดียวกัน ภายในวันที่ ๑๒ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ได้กำชับไปว่าเราไม่ได้ระดมทหารครั้งนี้เพื่อไปรบราฆ่าฟันกับใคร เพียงแต่เราต้องการกำลังทหารมาเพื่อป้องกันและถวายความปลอดภัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเท่านั้น
วันนั้นเป็นวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ อากาศแจ่มใสถึงแม้ว่าฤดูฝนจะเพิ่งสิ้นไปหมาด ๆ ลมหนาวเริ่มต้นขึ้นบ้างแล้ว มันพัดผ่านแสงแดดในเวลาเช้า ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นและเป็นสุขใจอย่างแปลกประหลาด ข้าพเจ้ากำลังทำหน้าที่ให้แก่ตัวของข้าพเจ้าและวงศ์ตระกูลของข้าพเจ้าอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว
ข้าพเจ้ารีบไปยังกรมทหารราบที่ ๑๔ ข้าพเจ้ารู้สึกเบิกบานใจยิ่งไปกว่าเดิมเสียอีกในเมื่อได้เห็นชายฉกรรจ์บ่ายโฉมหน้ามาจากทุกทิศทุกทาง จะอะไรเสียอีกเล่าท่าน เขาเดินทางมาจากระยะอันไกลจากชนบทของอำเภอต่าง ๆ ๕ อำเภอ ที่มีพาหนะก็มาโดยพาหนะ ที่ไม่มีพาหนะที่จะโดยสารมาก็เดินมาด้วยเท้า ด้วยสีหน้าสงบเสงี่ยมยิ้มแย้มแจ่มใสและราบรื่นเบิกบาน โดยมิได้มีความประหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใด
เราเริ่มจ่ายทหารออกประจำอยู่ตามจุดสำคัญ ๆ หลายแห่ง เป็นต้นว่าสถานีรถไฟบ้านน้อย สถานีรถไฟเพชรบุรี และจุดสำคัญอื่น ๆ เพื่อป้องกันมิให้ทหารฝ่ายใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดชฯหรือทหารฝ่ายรัฐบาล ไม่ให้ล่วงล้ำเลยจังหวัดเพชรบุรีลงไปทางใต้ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อถวายความปลอดภัยแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ตั้ง ข้าพเจ้าเองในเวลานั้นก็ไม่ได้นึกไว้ล่วงหน้าเลยว่า ข้าพเจ้าต้องพบกับชีวิตอันลำเค็ญน่าสยดสยองในกาลวิโยคอันจะมาถึงในไม่ช้านี้
เช้าวันที่ ๑๓ ตุลาคม มีเครื่องบินมาจากพระองค์เจ้าบวรเดชฯ และส่งหนังสือจากพระองค์เจ้าบวรเดชฯให้แก่ข้าพเจ้า ใจความในหนังสือนั้นก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากจะส่งข่าวการถอยมา เป็นการบอกลางแพ้แล้วก็ไม่มีอะไรอื่นให้ข้าพเจ้ารับทราบข่าวการรบว่า ทหารหัวเมืองกำลังถอยขึ้นไปทางเหนือ ซึ่งนักการทหารทุกคนย่อมรู้ดีว่าภูมิประเทศในเขตนครราชสีมาเป็นภูมิประเทศที่เหมาะที่สุดในการที่จะตั้งรับ นับตั้งแต่ปากช่อง มวกเหล็ก หินลับ ทับกวางขึ้นไปทีเดียว...
ในวันเดียวกันนั้นเอง ข้าพเจ้าก็ได้รับโทรเลข ๑ ฉบับ ส่งมาจาก พ.ท. หลวงพิบูลสงคราม ใจความในโทรเลขนั้นมีอยู่ว่าให้ข้าพเจ้า พ.อ. พระยาสุรพันธเสนี พ.ท. หลวงสรสิทธยานุการ กับพระยาวิเศษฦาชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีเดินทางไปพบกับ พ.ท. หลวงพิบูสงครามที่จังหวัดราชบุรีโดยด่วน เมื่อเรา ๓ คนได้รับโทรเลขฉบับนี้แล้ว ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจเด็ดขาดและทันที มีเราทั้ง ๓ คนไปกันเสียหมดแล้ว ใครเล่าจะดูแลรักษาการณ์ทางนี้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ข้าพเจ้าจึงกล่าวกับคนทั้งสองนั้นว่าข้าพเจ้าไม่ยอมไปพบ ท่านทั้งสองจะไปพบก็ไปพบกันเถิด
มันก็เป็นความจริงอย่างที่ข้าพเจ้าวาดภาพไว้ในความคาดคะเนมิได้ผิดเลย พ.ท. หลวงสรสิทธยานุการกับพระยาวิเศษฦาชัยออกเดินทางจากเพชรบุรีในเวลาบ่าย พอรถถึงสถานีบ้านน้อยก็พบกับขบวนรถบรรทุกทหารซึ่ง พ.ท. หลวงพิบูลสงครามเป็นผู้ควบคุมมาพอดี จะมีอะไรอีกเล่าที่จะเกิดขึ้น ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีและผู้บังคับการทหารรราบที่ ๑๔ ถูกจับเป็นเชลยทันทีในข้อหากบฏและล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตย
ข้าพเจ้าปราศจากคู่คิด หลวงสิทธิฯผู้บังคับการก็ถูกจับ พระยาวิเศษฦาชัยก็ถูกจับ จะมีอะไรอีกเล่าที่จะเหลืออยู่ในความหวังของข้าพเจ้าที่จะรักษาองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้นก่อนที่หลวงพิบูลฯจะยกทหารมาเพชรบุรี ข้าพเจ้าก็เผ่นขึ้นรถออกเดินทางจากเพชรบุรีไปเสียแล้วตามถนนเพชรเกษมเดี๋ยวนี้ แต่เวลานั้นถนนเพิ่งจะตัดจากเพชรบุรีไปได้แค่ตำบลหัวสะพานเท่านั้น ทั้งทางก็ไม่สะดวกเพราะเพิ่งถมใหม่ ๆ ข้าพเจ้าจึงต้องตัดสินใจอย่างด่วนทีเดียวว่าจะทำอย่างไรในเวลาต่อไป
เมื่อข้าพเจ้าหนีออกจากเพชรบุรีแล้ว พ.ท. หลวงพิบูลสงครามก็ไปถึงเพชรบุรีพร้อมด้วยกำลังทหาร ตามคำรายงานจากผู้ที่ได้เห็นเหตุการณ์แจ้งแก่ข้าพเจ้า เมื่อได้เห็นตัวข้าพเจ้าและเรียกให้ไปรายงานตัว ก็ไม่ไป ดังนั้น พ.ท. หลวงพิบูลสงครามจึงขึ้นรถยนต์ทหารพร้อมด้วยอาวุธปืนกลไปยังบ้านข้าพเจ้าและค้นหาตัว...”
พระยาสุรพันธเสนีถูกจับจนได้ เพราะมีคนทรยศ และติดคุกยาว ถูกส่งไปที่เกาะตะรุเตา ที่นั่นเขาเป็นหนึ่งในห้านักโทษที่หนีจากเกาะอย่างไม่น่าเชื่อ
เรื่องนี้ต้องเล่าต่ออีกยาว มันเป็นเกร็ดซ้อนเกร็ด
ไม่มีสอนในโรงเรียน
วินทร์ เลียววาริณ
6-3-25
.............................อ่านรายละเอียดใน น้ำเงินแท้
https://www.winbookclub.com/store/detail/118/น้ำเงินแท้0 วันที่ผ่านมา -
A24 เป็นค่ายหนังอินดีมีชื่อ เสนอหนังดีหนังแรงมาหลายเรื่อง ปีก่อนก็มี Civil War ของ Alex Garland
ปีนี้บ้านเรานำอีกเรื่องมาฉาย The Brutalist
หนังแรง หนัก ไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่สำหรับคอหนังแท้ ไม่น่าพลาด
ผมรีวิวเรื่องนี้เสร็จแล้ว ยาวมาก จึงจะนำลงใน Blockdit เสาร์นี้ ใครยังไม่ดู แต่อยากคุย ก็เชิญไปดูก่อน ให้เวลา 48 ชั่วโมง
หนังยาวสามชั่วโมงครึ่ง มีพัก intermission 15 นาที
ไม่ได้ดูหนังที่มี intermission มาหลายสิบปีแล้ว
เจอกันวันเสาร์
วินทร์ เลียววาริณ
6-3-250 วันที่ผ่านมา -
ผู้อ่านขาจรที่ไม่คุ้นกับเพจนี้ อาจสงสัยว่าทำไมผมต้องลงโฆษณาขายหนังสือเอง เป็นนักเขียนก็เขียนไปซี ทำไมต้องทำงานการตลาดด้วย
คำตอบคือ นักเขียนไทยไม่ใช่นักเขียนนอก ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็อดตาย
No eat. Dead.
ผมทำงานโมเดล ‘พิมพ์เองขายเอง’ มายี่สิบกว่าปีแล้ว เดินตามรอยนักเขียนคนแรกๆ ที่ทำคือพี่ชาติ กอบจิตติ มีนักเขียนหลายคนเดินตามโมเดลนี้ แล้วหายไปทีละคนสองคน ผมว่าผมน่าจะเป็นคนท้ายๆ ที่ยังยืนอยู่ คงเป็น endangered species อีกไม่นานแล้วละ
‘พิมพ์เองขายเอง’ หมายถึงนักเขียนลงทุนพิมพ์เอง พูดง่ายๆ คือนักเขียนเปิดสำนักพิมพ์ ตีพิมพ์งานของตัวเอง
การทำงานโมเดลนี้ต้องสวมหมวกหลายใบ เขียนหนังสือ ออกแบบ โฆษณา เปิดบูธขายหนังสือ ฯลฯ
ปกติสำนักพิมพ์ใหญ่หน่อย จะมีบุคลากรด้านต่างๆ คนเขียนเขียนไป บรรณาธิการตรวจงานไป เจ้าหน้าที่พิสูจน์อักษรก็ตรวจหาคำผิดไป คนออกแบบปกก็ออกแบบไป คนวาดภาพประกอบ คนจัดอาร์ตเวิร์ก ช่างภาพ ฯลฯ ก็ทำงานเฉพาะอย่างของพวกเขาไป
แต่ในสำนักพิมพ์เล็กมากๆ อย่าง 113 นักเขียนต้องเหมาทำงานเกือบทุกหน้าที่ เพราะไม่คุ้มว่าจ้างคนหลายตำแหน่ง
ถ้านักเขียนสามารถทำงานหน้าที่อื่นได้ด้วย ก็ประหยัดพอสมควร นี่ก็ซื้อเบนท์ลีย์มาขับเฉี่ยวคนจนเล่น เบื๊อเบื่อความรวยของตัวเอง!
นี่ไม่ได้หมายความว่านักเขียนใหม่ที่คิดใช้โมเดลนี้ ต้องทำงานเองทุกอย่างหรอกนะ แต่เรียนรู้งานอื่นๆ ไว้ ก็ไม่เสียหาย
สวมหมวกหลายใบบางครั้งก็สนุกได้
ย่อมมีคนถามว่าแล้วบทบาทไม่ตีกันหรือ เช่น บทบาทนักขายอาจส่งอิทธิพลไปที่บทบาทของนักเขียน ให้เขียนงานที่ขายได้เท่านั้น
แล้วแต่คนครับ ส่วนตัวผมมองว่า เวลาสวมหมวกแต่ละใบ ก็ทำให้ดีที่สุดในหน้าที่ของหมวกใบนั้น แต่ไม่ลดคุณค่างานเด็ดขาด
เมื่อสวมหมวกนักเขียน ก็เขียนงานที่ตนเองเชื่อ และทำงานที่เป็นศิลปะให้มากที่สุด ไม่ต้องเอาใจใคร
เมื่อสวมหมวกนักขาย ก็หาทางขายงานที่เขียนให้ได้มากที่สุด
ผมเองก็ทำแทบทุกอย่าง รีเสิร์ช เขียน ทำอาร์ตเวิร์ก วาดรูปประกอบ ถ่ายรูป(บ้าง) ออกแบบปก ทำเพจ ตอบลูกค้า ขายของ โฆษณา แบกของ ฯลฯ
หมวกใบที่ไม่สวมเลยก็คือบรรณาธิการ และผู้พิสูจน์อักษร เพราะต้องการให้สายตาคนอื่นช่วยจับผิดงานเขียน จับผิดเองไม่ค่อยได้
เมื่อสวมหมวกใบใด ก็ทำงานใบนั้น ก็เท่านั้น
นักเขียนไทยเหนื่อยกว่านักเขียนตะวันตกเยอะ ต้องเขียนให้ได้ทั้งคุณภาพและปริมาณ ถ้าไม่อยากกินมาม่าเป็นอาหารหลัก
เหนื่อยแต่เป็นอิสระ แต่เหนื่อยมากกว่าอิสระหน่อย
โมเดลนี้ทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพฤติกรรมการอ่านหนังสือของคนทั้งโลกเปลี่ยนไป สำหรับนักเขียนไทยเหนื่อยกว่า เพราะคนไทยมีแค่ 60-70 ล้าน
มีคนวิเคราะห์ให้ผมฟังว่า ปัญหาของเพจนี้คือ ผมให้อ่านฟรีมากไป จนกระทั่งผู้อ่านไม่เห็นว่าทำไมต้องซื้อหนังสือ เพื่อให้นักเขียนอยู่เขียนหนังสือให้อ่านต่อไปได้
โมเดลล่าสุดที่ผมเพิ่งเริ่มทำคือ pre-order จะรอดหรือไม่ ยังไม่รู้
แต่ถ้าไม่ทำ ก็ No eat. Dead.
วินทร์ เลียววาริณ
6-3-250 วันที่ผ่านมา -
นวนิยายของกิมย้งที่ใช้ไทม์ไลน์ถัดมาจาก กระบี่นางพญา คือ แปดเทพอสูรมังกรฟ้า ห่างจากเรื่อง กระบี่นางพญา ประมาณ 1,500 ปี เล่าเรื่องผ่านตัวละครหลักสามคนคือ ต้วนอี้ เฉียวฟง และซีจุ๊
เริ่มที่ต้วนอี้
ต้วนอี้เป็นเจ้าชายแห่งอาณาจักรต้าหลี่ เขาไม่สนใจฝึกวิทยายุทธ์ เมื่อบิดา ต้วนเจิ้นฉุน พยายามให้เขาฝึกวิชา เขาก็หนีออกจากวังไปท่องโลก แต่ผ่านการผจญภัย เขากลายเป็นยอดฝีมือ สำเร็จวิชาดรรชนีกระบี่หกชีพจร ลมปราณภูตอุดร ซึ่งเป็นวิชาดูดพลังลมปราณของคนอื่นและท่าเท้าท่องคลื่น
ต้วนอี้พัวพันกับหญิงสาวหลายคน เช่น จงหลิง (เจ็งเล้ง) มู่หวั่นชิง หวังอวี่เยียน (เฮ้งอวิ้เหงียน) เป็นต้น แต่พบว่าหญิงสาวสามคนนี้เป็นน้องสาวต่างแม่กับเขา เนื่องจากต้วนเจิ้นฉุนบิดาของเขาเจ้าชู้ มีผู้หญิงมากมาย
เขาหลงรักหวังอวี่เยียนมากกว่าใคร แต่นางรักมู่หยงฟู่ (ม่อย้งฮก) ทายาทเชื้อพระวงศ์แคว้นเอี้ยน
ในตอนท้าย ต้วนอี้พบความจริงว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของต้วนเจิ้นฉุน ทำให้เขาจะแต่งงานกับคนที่เขาเคยคิดว่าเป็นน้องสาวต่างแม่ได้
ในนวนิยายเวอร์ชั่นแรก ต้วนอี้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งต้าหลี่ อภิเษกกับหวังอวี่เยียน แต่ผู้อ่านไม่ชอบตัวละครตัวนี้ ชอบมู่หวั่นชิงมากกว่า ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้ในฉบับปรับปรุง กิมย้งเปลี่ยนนางเอกของต้วนอี้เป็นมู่หวั่นชิงและจงหลิง
ต้าหลี่ของต้วนอี้อยู่ที่ไหน?
ลองนึกภาพว่า แผ่นดินจีนกว้างใหญ่ แบ่งเป็นรัฐต่าง ๆ เหลียว (ชี่ตัน) อยู่ด้านบน ติดกันก็เป็นต้าจิน (หนี่เจิน) ด้านใต้คือราชวงศ์ซ่งของพวกฮั่น และต้าหลี่
ในประวัติศาสตร์ พื้นเพของต้วนอี้คืออาณาจักรต้าหลี่ (大理國) คือพื้นที่ยูนนานในปัจจุบัน ชื่ออาณาจักรมาจากชื่อเมืองต้าหลี่ ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องหินอ่อน
แม้เป็นอาณาจักรอิสระ แต่ต้าหลี่ผูกความสัมพันธ์ที่ดีกับซ่งมาแต่แรก ส่งบรรณาการให้ซ่งมาตลอดโดยไม่ได้ถูกบังคับ ตั้งแต่ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ซ่ง คือซ่งไท่จู่ ก็ปล่อยอาณาจักรต้าหลี่ไว้โดยไม่ยึดครอง นี่เป็นกุศโลบายที่ชาญฉลาดของต้าหลี่
ต้าหลี่มีความสำคัญต่ออาณาจักรซ่งในเรื่องม้า ม้าต้าหลี่มีคุณภาพสูง เหมาะกับการสงคราม
ในปี 1252 มองเกอ ข่าน ส่งน้องชาย กุบไล ข่าน ไปบุกต้าหลี่ เมื่อกองทัพมองโกลไปถึง จักรพรรดิต้วนชี่ซิ่งก็ยอมแพ้
จักรพรรดิต้วนชี่ซิ่งยังครองอำนาจที่ยูนนานต่อไปได้ภายใต้อำนาจของมองโกล ต้าหลี่ช่วยส่งทัพไปช่วยรบกับซ่งใต้ และยังช่วยราชวงศ์หยวนปราบกบฏมองโกลที่ยูนนาน
ครั้นถึงยุคราชวงศ์หมิง ปี 1381 ทัพหมิงสามแสนคนโจมตีพวกหยวนที่แตกหนีมาที่ต้าหลี่ ต้าหลี่ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรหมิง
กิมย้งนำจักรพรรดิต้วนตี่เฮง (ต้วนชี่ซิ่ง) แห่งต้าหลี่มาสร้างเป็นตัวละครใน มังกรหยก ภาค 1 และ 2 ก็คือราชันทักษิณ หนึ่งในห้ายอดฝีมือยุทธจักร
เวลาที่ก๊วยเจ๋งกับอึ้งย้งพบราชันทักษิณนั้น พระองค์สละราชสมบัติแล้วออกผนวช ได้สมญานามอิดเต็งไต้ซือ อิดเต็งไต้ซือได้พบกับก๊วยเจ๋งและอึ้งย้ง ครั้งที่อึ้งย้งบาดเจ็บสาหัส หลวงจีนอิดเต็งใช้พลังภายในรักษาอึ้งย้ง
วิทยายุทธ์ของอิดเต็งไต้ซือคือ วิชาดรรชนีเอกสุริยัน แต่ต่อมาก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาพลังธาตุธรรมชาติจากเฮ้งเตงเอี้ยง คือหนึ่งในห้ายอดฝีมือ
วิชาดรรชนีเอกสุริยันของอิดเต็งไต้ซือก็มีที่มาจากดรรชนีกระบี่หกชีพจรที่ต้วนอี้ฝึก
.....................
ส่วนเฉียวฟงเป็นหัวหน้าพรรคกระยาจก เป็นผู้นำที่กล้าหาญ ใจกว้าง เชี่ยวชาญวิทยายุทธ์ มีบุคลิกเป็นชายชาตรี
เฉียวฟงถูกกล่าวหาว่าสังหารรองประมุขพรรคกระยาจก หม่าต้าหยวน ตามมาด้วยข้อหาชาติกำเนิดว่าไม่ใช่ชาวฮั่น แต่เป็นชาวชี่ตัน ศัตรูของฮั่น เขาถูกมองว่าเป็นหนามยอกอกของบู๊ลิ้มของฮั่น ต้องถูกกำจัด ผลคือเฉียวฟงต้องพ้นจากพรรคกระยาจก
เฉียวฟงสืบหาชาติกำเนิดตนเอง และพบว่าตนเป็นชาวชี่ตันจริง ตระกูลของเขาแซ่เซียว
เฉียวฟงจึงเปลี่ยนชื่อเป็นเซียวฟง
ตลอดเวลาที่เขาตกต่ำ ถูกใส่ความ สตรีนางหนึ่งยืนหยัดเคียงข้างเขาตลอดเวลา คืออาจู สาวใช้ของจอมยุทธ์ใต้มู่หยงฟู่ อาจูรักเขาอย่างลึกซึ้ง แต่ท้ายที่สุดความรักก็กลายเป็นโศกนาฏกรรม
เพราะเขาเชื่อว่าต้วนเจิ้นฉุนเป็นผู้ฆ่าบิดามารดาตน และท้าประลองยุทธ์ นำไปสู่โศกนาฏกรรม ในการต่อสู้เขาทำร้ายต้วนเจิ้นฉุนบาดเจ็บสาหัส และพบว่าคนนั้นมิใช่ต้วนเจิ้นฉุน หากคืออาจู นางปลอมตัวเป็นพ่อไปสู้กับเซียวฟง ก่อนตาย อาจูบอกว่าต้วนเจิ้นฉุนเป็นบิดานาง และขอใช้ชีวิตนางไถ่พ่อ
ด้วยความขมขื่นใจ เซียวฟงลาจากอาณาจักรซ่ง เดินทางไปถึงเขตของพวกหนี่เจิน พบจักรพรรดิเหลียวพระนาม เย่ลี่หงจี (หรือเยลูกี ชื่อจีนคือเหลียวเต้าจง) ทั้งสองสาบานเป็นพี่น้องกัน เซียวฟงช่วยปราบกบฏให้ ทำความดีความชอบ ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง
ความขัดแย้งระหว่างแคว้นซ่ง (ฮั่น) และแคว้นเหลียว (ชี่ตัน) ทำให้ทั้งสองแคว้นพร้อมทำสงครามกัน
ต่อมาเย่ลี่หงจีทรงต้องการบุกอาณาจักรซ่ง ขอให้เซียวฟงช่วย เซียวฟงปฏิเสธ จึงถูกจับขัง ต้วนอี้กับซีจุ๊ไปช่วย
เซียวฟงเผชิญหน้ากับกองทัพเหลียว จับเย่ลี่หงจีเป็นตัวประกัน ขอให้สัญญาจะไม่รุกรานซ่ง แล้วฆ่าตัวตาย
เรื่องของเซียวฟงเข้มข้นมาก พรุ่งนี้จะเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ฉากหลังของเซียวฟง รอได้ใช่ไหมเอ่ย?
วินทร์ เลียววาริณ
5-3-25.....................
ยุทธจักรวาลกิมย้ง
สารคดีนิยายกำลังภายในและประวัติศาสตร์จีน โดยอิงจากงานแต่ละชิ้นของกิมย้ง
ราคา 245 บาท 21 เรื่อง ความรู้ละ 11.6 บาท
หนังสือหมดเมื่อไร จะไม่ตีพิมพ์ใหม่แล้วhttps://www.winbookclub.com/store/detail/186/ยุทธจักรวาลกิมย้ง
โปรโมชั่นพิเศษ กิมย้ง + เหตุผล + Mini Zen
เว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/189/โปรโมชั่น%203%20in%201%20ชุด%20S2Shopee https://s.shopee.co.th/9KTdTiEz8m
หรือชุดรวมรส
ชุดรวมมิตร 3 (R3) ยุทธจักรวาลกิมย้ง + รอยยิ้มใต้สายฝน + ฆาตกรรมกลางทะเล + 16 องศาเหนือ + หลับถึงชาติหน้า ราคาเต็ม 1,260 เหลือเพียง 880.- (ลด 380)
https://s.shopee.co.th/30ZZw8Rzcp1 วันที่ผ่านมา -
ศึกบวรเดชไม่ได้รบกันด้วยปืนอย่างเดียว ยังรบกันด้วยยุทธวิธีการเจรจาซื้อพวก
หลวงพิบูลสงครามไปเจรจากับทหารเพชรบุรี บอกว่า “ถ้าคุณร่วมกับเรา เราจะนิรโทษกรรมให้ และลืมเรื่องนี้ คุณก็มองออก ฝ่ายบวรเดชต้องแพ้แน่นอน”
ทหารเพชรบุรีจึงเปลี่ยนข้างไปเข้ากับรัฐบาล
เมื่อทหารเพชรบุรีเปลี่ยนข้าง ทหารหัวเมืองจังหวัดอื่น ๆ ที่เหลือก็คิดหนัก ในที่สุด ผ.บ. กองพันทหารอุบลฯก็เปลี่ยนใจไปเข้ากับฝ่ายรัฐบาลเช่นกัน เมื่อรัฐบาลเสนอเงื่อนไขนิรโทษกรรมให้
ตามข้อตกลงกับฝ่ายรัฐบาล กองทหารอุบลราชธานีเดินทางสู่โคราช รื้อทางรถไฟช่วงปากช่อง-โคราช แล้วเข้ายึดนครราชสีมา เพื่อให้ฝ่ายบวรเดชเข้าเมืองโคราชไม่ได้ บีบให้ฝ่ายบวรเดชรบสองด้าน
หลังจากทหารราบอุบลราชธานียึดเมืองโคราชได้ ฝ่ายบวรเดชก็ส่งพระยาเสนาสงครามคุมกำลังทหารสี่ร้อยนายไปยึดบุรีรัมย์เป็นฐาน ก่อนยึดอุบลราชธานีต่อไป
คำสัญญาจะไม่เอาโทษของรัฐบาลบวกกับเสบียงที่เริ่มร่อยหรอ ทำให้ทหารกบฏส่วนหนึ่งหลบหนีไปมอบตัวต่อฝ่ายรัฐบาลทุกวัน
เสนาธิการฝ่ายกบฏประชุมกัน พระยาศรีสิทธิสงครามรายงานว่า “ตอนนี้เรามีกำลังน้อยกว่า เพราะหลายกองพันหัวเมืองเข้ากับรัฐบาลแล้วเนื่องจากรัฐบาลสัญญาจะนิรโทษกรรมให้ ตอนนี้เหลืออยู่ไม่มากที่ยังยืนหยัดสู้ร่วมกับเรา”
พระองค์เจ้าบวรเดชตรัสว่า “ความผิดพลาดของเราคือเชื่อว่าหัวเมืองต่าง ๆ มีอุดมคติเดียวกับเรา เราน่าจะรู้แล้วตั้งแต่ทหารจากอุดรธานีแจ้งว่าไม่มีรถไฟ จึงมาช้า เป็นผลให้ต้องเลื่อนวันปฏิบัติการ ความจริงคือทหารอุดรธานีลังเลตั้งแต่แรกว่าจะเข้าร่วมด้วยหรือไม่”
“เราจะทำอย่างไรต่อไป?”
“นี่เป็นเวลาที่เราจะปรับขนาดทัพ ใช้เฉพาะที่ต้องการรบต่อจริง ๆ เราจะถอยกลับไปตั้งหลักที่ปากช่อง มันจะเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของเรา”
แม่ทัพฝ่ายบวรเดชสั่งการให้ถอนกำลังทหารออกจากหลักสี่ไปขึ้นรถไฟสามขบวนที่ดอนเมือง รถไฟขบวนแรกบรรทุกกองทหารนครราชสีมากับทหารสระบุรี ขบวนที่สองบรรทุกทหารอุบลราชธานีกับทหารโคราช ขบวนที่สามบรรทุกทหารราบโคราชกับทหารช่างอยุธยา มุ่งหน้าสู่ปากช่อง โดยทิ้งทหารกองพันทหารราบนครราชสีมาและกองพันทหารม้าสระบุรีจำนวนหนึ่งเฝ้าระวังหลัง ต้านทหารรัฐบาลที่ไล่ล่าตามมา
พระยาศรีสิทธิสงครามคุมกำลังสามร้อยนายระวังหลัง แม่ทัพใหญ่สั่งทหาร “ทำลายเส้นทางรถไฟไปนครราชสีมา ตั้งแต่แก่งคอยเป็นต้นไป ระเบิดทำลายสะพาน เพื่อถ่วงเวลาการเคลื่อนกำลังของรัฐบาล รื้อรางรถไฟ ใช้ไม้หมอนทำรังปืนกลไว้ทุกกิโลเมตร ความยาวสี่กิโลเมตร เมื่อรถไฟขนทหารรัฐบาลเดินทางมาถึงสถานีรถไฟแก่งคอย จะถูกบังคับให้หยุดรถไฟ และต้องเคลื่อนพลด้วยเท้าเท่านั้น เมื่อนั้นก็จะพบรังปืนกลหนักของฝ่ายเรารออยู่”
ในเวลาเดียวกันพระองค์เจ้าบวรเดชและพระยาเสนาสงครามเคลื่อนทัพไปถึงนครราชสีมา ขับไล่พวกทหารอุบลฯออกไปสำเร็จ
วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๔๗๖ ทหารรัฐบาลรุกหนักขึ้น ยึดสถานีแก่งคอยได้สำเร็จ
ฝ่ายกบฏที่เหลือถอยร่นไปเรื่อย ๆ จำนวนหนึ่งเปลี่ยนใจเปลี่ยนข้าง
สองวันต่อมา ทัพรัฐบาลก็รุกยึดทับกวางสำเร็จ ทหารฝ่ายบวรเดชไปตั้งรับที่หินลับ กำลังรัฐบาลตั้งหลักที่กิโลเมตรที่ ๑๔๐ ระยะทางสี่กิโลเมตรห่างจากหินลับ
วันที่ ๒๓ ตุลาคม ทั้งสองฝ่ายรบกันทั้งวัน ทหารรัฐบาลพยายามบุกยึดหินลับให้ได้ ณ หลักกิโลเมตร ๑๔๒ ทหารไทยทั้งสองฝ่ายติดดาบปลายปืนตะลุมบอนห้ำหั่นกัน ทหารฝ่ายบวรเดชล้มตายจำนวนมาก
แม่ทัพใหญ่ฝ่ายบวรเดชครุ่นคิดหนัก แม้ข่าวล่าสุดคือพระยาเสนาสงครามยึดบุรีรัมย์ได้ แต่สถานการณ์โดยรวมเลวร้ายกว่าที่เขาคิด
เย็นนั้นพระยาศรีสิทธิสงครามกับนายทหารคนสนิท ร.ต. บุญรอด เกษสมัย ออกจากค่ายที่สถานีหินลับ ไปตรวจความพร้อมในการรบ แม่ทัพกับทหารคนสนิทเดินไปตามทางรถไฟ ไปถึงเสาโทรเลขต้นที่สี่ของหลักกิโลเมตรที่๑๔๓
พลันทหารทั้งสองก็เผชิญหน้ากับทหารฝ่ายรัฐบาลหมวดหนึ่งที่กำลังเดินสวนทางมา ห่างกันในระยะยี่สิบเมตร ทหารรัฐบาลคนหนึ่งนาม ร.ท. ตุ๊ จารุเสถียร (ต่อมาคือจอมพลประภาส จารุเสถียร) ยิงพระยาศรีสิทธิสงครามล้มลงเสียชีวิต ส่วนทหารคนสนิทถูกจับและถูกทุบตีอย่างไม่ปรานี ขณะที่ทหารฝ่ายรัฐบาลย่ำยีศพแม่ทัพผู้จากไป
ข่าวพระยาศรีสิทธิสงครามถูกยิงเสียชีวิตที่หินลับสร้างความตื่นตกใจต่อทหารกบฏอย่างยิ่ง สิ้นแม่ทัพใหญ่ ทหารฝ่ายบวรเดชก็หมดกำลังใจสู้รบต่อไป
สถานีหินลับแตกในคืนนั้น
นายทหารผู้หนึ่งกล่าวว่า “เรายังรบต่อไปได้ โดยยึดนครราชสีมาเป็นฐาน”
พระองค์เจ้าบวรเดชฯตรัส “เรื่องจบแล้ว อย่าสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวโคราชมากไปกว่านี้เลย”
ทรงสั่งการ พล.ต. พระยาเสนาสงครามให้ติดต่อฝ่ายรัฐบาลเพื่อดำเนินการยอมแพ้
บ่ายวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ พระองค์เจ้าบวรเดชฯและพระชายาเสด็จโดยเครื่องบินเบร์เกต์จากสนามบินทหารนครราชสีมา ร.อ. หลวงเวหนเหินเห็จเป็นนักบิน ไปลี้ภัยที่กรุงพนมเปญ
เช้าตรู่วันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ทหารกบฏทั้งหมดรวมพลที่สถานีรถไฟบุรีรัมย์ สีหน้าหม่นหมองเศร้าสร้อย พระยาเสนาสงครามสั่งการให้ ร.อ. หลวงหาญรอนรบ (เจือ สาลิคุปต์) ผบ. กองร้อย ม.พัน ๔ นำทหารและอาวุธไปรอมอบตัวต่อฝ่ายรัฐบาลที่นครราชสีมา หลังจากนั้นนายทหารชั้นผู้ใหญ่สามสิบกว่าคนที่มีคำสั่งจับตายก็ขี่ม้าข้ามช่องเสม็ด หนีไปลี้ภัยที่อินโดจีน
ปฏิบัติการล้อมฆ่ากวางยุติหลังผ่านไปเพียงสิบห้าวัน
กวางสู้
กวางชนะ
..........................
จาก ประวัติศาสตร์ที่เราลืม / วินทร์ เลียววาริณ
โปรโมชั่นสุดคุ้ม สั่งทาง Shopee https://shope.ee/30QSjhDgNg?share_channel_code=6
สั่งทางเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/176/%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%20%E0%B9%91-%E0%B9%95%20+%20%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9
1 วันที่ผ่านมา