-
วินทร์ เลียววาริณ2 วันที่ผ่านมา
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯรอบนี้ ได้ยินแต่คนบอกว่า ไม่รู้จะเลือกใคร เพราะแย่ทั้งคู่
ทำให้นึกถึงสำนวนฝรั่ง Between the devil and the deep blue sea Between the devil and the deep blue sea เป็นสำนวนอังกฤษ หมายถึงสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างสองทางที่แย่ทั้งคู่ ใกล้เคียงกับภาษิตไทยว่า หนีเสือปะจระเข้
ที่มาของสำนวนนี้มีหลายเวอร์ชั่น และไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าฉบับไหนถูก
เวอร์ชั่นแรกมาจากตำนานกรีก มหากาพย์เรื่อง Odyssey ของ โฮเมอร์ เล่าถึงกษัตริย์โอดิซิสต้องเผชิญหน้ากับไซลา ปิศาจหกหัว กับปิศาจคาริบดีสที่ก่อให้เกิดวังน้ำวน (คำว่า ปิศาจ สะกด D ตัวใหญ่ - Devil)
ปิศาจร้ายนั้นไม่น่าเจอะเจอแน่ แต่ทะเลน้ำวนก็ย่ำแย่พอกัน
เวอร์ชั่นที่สองมีที่มาจากการเดินเรือ เรือเดินสมุทรในสมัยโบราณทำด้วยไม้กระดานมาต่อกันแล้วยาด้วยชัน devil เป็นศัพท์เฉพาะในทางเดินเรือ หมายถึงร่องต่อของแผ่นไม้ยาวที่นำมาสร้าง หรืออาจหมายถึงแผ่นไม้ที่ยาวที่สุดข้างลำเรือ จากหัวเรือไปท้ายเรือ
การวางไม้ทำให้เกิดรอยต่อบนลำเรือ รอยต่อนี้ต้องไม่ให้น้ำซึมเข้าไปได้ จึงต้องอุดชันเป็นระยะ การอุดชันต้องอาศัยกะลาสีไต่ลงไปข้างลำเรือการนั่งห้างยาชันเรือในตำแหน่งระหว่างแผ่นไม้ (devil) กับทะเลลึกเบื้องล่าง (deep blue sea) เป็นงานที่อันตราย โดยเฉพาะหากต้องทำตอนเรือกำลังแล่น ไม่มีใครอยากทำงานนี้
อีกทฤษฎีหนึ่งบอกว่า สำนวนนี้อาจจะมาจากการแบ่งชั้นของกองทัพเรืออังกฤษสมัยโบราณ เรือสมัยนั้นแบ่งเป็นชั้นบนกับชั้นล่าง ชั้นบนเป็นที่อยู่ของนายทหารยศสูง ชั้นล่างเป็นที่อยู่ของกะลาสี แบ่งคั่นด้วย devil งานของกะลาสีเป็นงานหนัก จนอาจเป็นที่มาของการเปรียบชีวิตของกะลาสีว่าแย่เหมือนอยู่ระหว่างชั้นบนของพวกที่ใช้งานพวกเขาอย่างหนักกับชั้นล่างลงไปซึ่งเป็นท้องทะเลลึก
ไม่ว่าจะมีที่มาอย่างไร มันก็หมายถึงสิ่งที่แย่หรืออันตรายสองอย่างที่ไม่น่าเลือก
เลือกนักการเมืองฝ่ายหนึ่งก็ยี้ จะเลือกอีกฝ่ายก็แย้
แต่ไม่เลือกก็ไม่ได้
ทางเลือกที่ไม่ค่อยอยากไปทั้งสองทาง (หรืออาจมากกว่าสองทาง) แบบนี้เรียก dilemma พอแปลแบบกล้อมแกล้มว่า ‘ทางไม่อยากเลือก’
จากหนังสือ คำที่แปลว่ารัก / วินทร์ เลียววาริณ
1- แชร์
- 23
-
เพลงญี่ปุ่นเพลงหนึ่งที่ผมชอบมาก ฟังประจำ ชื่อ อุเอะ โอะ มุอิเตะ อะรุโค (上を向いて歩こう) แปลว่าแหงนหน้ามองข้างบนยามเดิน
หากชื่อเพลงไม่คุ้นหู ก็คงเพราะชาวโลกรู้จักมันในชื่อเพลง สุกียากี้ (Sukiyaki)
เมื่อเพลงนี้ออกมานั้น ผมอายุห้าขวบ ช่วงหลายปีนั้นเพลงนี้ฮิตระเบิด เป็นซิงเกิลที่ขายได้ทั่วโลกสูงสุดถึง 13 ล้านแผ่น (ตัวเลข 13 ล้าน = ครึ่งหนึ่งของประชากรไทยเวลานั้น)
ในเมื่อไม่ใช่เพลงเกี่ยวกับของกิน ทำไมจึงตั้งชื่อเพลงว่า สุกียากี้ ? ก็จนปัญญาตอบ เพราะการตั้งชื่อเพลงนี้ว่า สุกียากี้ ก็เหมือนตั้งชื่อเพลง What A Wonderful World ว่า สปาเก็ตตี หรือต้มยำ หรือข้าวหมกไก่ คนละเรื่องโดยสิ้นเชิง!
เอาละ นามนั้นสำคัญไฉน มาว่ากันที่เนื้อเพลงดีกว่า
เพลงนี้มีความหมายอะไร?
วลี ‘มองข้างบน’ ในชื่อเพลงก็คือมองท้องฟ้า
เนื้อเพลงพูดถึงชายคนหนึ่งเดินโดยเงยหน้าขึ้นเบื้องบน เพื่อที่ว่าน้ำตาของเขาจะไม่ร่วงลงมา
เนื้อเพลงท่อนแรกว่า...
ฉันมองขึ้นบนเมื่อฉันเดิน เพื่อว่าน้ำตาจะได้ไม่ร่วงลงมา
จดจำวันวานแสนสุขแห่งฤดูใบไม้ผลิ
แต่คืนนี้ฉันอยู่โดดเดี่ยว
ฉันมองขึ้นบนเมื่อฉันก้าวเดิน นับดวงดาว
สายตาพร่าเลือนด้วยน้ำตา
จดจำวันวานแสนสุขแห่งฤดูร้อน
แต่คืนนี้ฉันอยู่เดียวดาย
ความสุขวางอยู่ไกลจากก้อนเมฆ
ความสุขวางอยู่เหนือท้องฟ้า...เป็นเพลงที่มีความหมายดีทีเดียว เมื่อเศร้าก็เงยหน้ามองฟ้า มิเพียงน้ำตาไม่ร่วงลงมา ยังเห็นดาวรายกลางนภา
ในบทหนึ่งของนวนิยายเรื่อง ปีกแดง ก็มีฉากคล้าย ๆ กันโดยบังเอิญ ครั้งหนึ่งตัวละคร รุจน์ รุจิเรข นั่งหลบมุมร้องไห้ในต่างแดนเพราะคิดถึงแม่ ตัวละคร ‘ไฮดี’ ปลอบเขาว่า “เห็นท้องฟ้าข้างบนเรามั้ย ตอนฉันยังเป็นเด็ก ทุกครั้งที่ไม่สบายใจและร้องไห้ ปู่ของฉันมักบอกเสมอว่า เวลากลัดกลุ้มใจเมื่อไหร่ จงเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ปู่ว่าฟ้าคือความยิ่งใหญ่ ฟ้าคือต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง เธอจะรู้สึกว่าปัญหาของเธอน่ะกระจิริดเหลือเกิน เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของฟ้า เวลาห้าหกสิบปีบนโลกมนุษย์ของแต่ละผู้คนช่างสั้นแสนสั้น เมื่อเทียบกับเวลาทั้งมวลของจักรวาล เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะกังวลไปเพื่ออะไร...
“ปู่ยังสอนอีกว่า ถ้าสังเกตท้องฟ้าไปนาน ๆ จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของฟ้า บางวันเมฆหนา บางวันฟ้าใส บางครั้งฝนตก บางครั้งก็มีสายรุ้งบนฟ้า ในเวลากลางคืน เราจะเห็นดาวเต็มไปหมด ช่างไม่มีอะไรแน่นอน ถ้าสามารถเข้าใจรหัสแห่งฟ้านี้ได้ ก็จะเข้าใจชีวิต เมื่อเข้าใจชีวิต ก็จะไม่กลัดกลุ้มใจอีกต่อไป ดังนั้นเวลาฉันไม่สบายใจ ฉันชอบมานั่งที่นี่ ใกล้ต้นคัสทานี ดูท้องฟ้า ดูทิวสนสีเขียวไกลออกไปโน่น สักพักฉันก็สบายใจ”
ปีกแดง บทนี้ใช้วิธีคิดคล้าย ๆ อุเอะ โอะ มุอิเตะ อะรุโค คือเงยหน้ามองท้องฟ้ายามโศกเศร้า การเงยหน้าขึ้นฟ้ายามทุกข์อาจจะเป็นเรื่องสากลก็ได้ เพราะภาษาอังกฤษก็มีสำนวนเกี่ยวกับการเงยหน้าสู้ชีวิต คือ keep one’s chin up
chin คือคาง ยกคางขึ้นก็เป็นกิริยาของการเงยหน้า
เวลาหดหู่เศร้าหมอง มีทุกข์ ให้เงยหน้าขึ้น อย่าก้มหน้า ก้มหน้าเห็นแต่ดินโคลน แต่เงยหน้าอาจเห็นฟ้า ตะวัน หรือดวงดาว
หรืออย่างน้อยที่สุดน้ำตาก็ไม่ร่วงลงมา
จากหนังสือ กอดหนาม / วินทร์ เลียววาริณ
สนใจหนังสือ โปรโมชั่นพิเศษ ซื้อทางเว็บ https://www.winbookclub.com/store/detail/243/%28S11%29%20%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%20+%20%E0%B8%9B%E0%B8%8E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%8C%20%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1%20Mini%20Tao
ซื้อทาง Shopee https://shope.ee/1qEAFwkFjK?share_channel_code=6
1 วันที่ผ่านมา -
วันที่ห้าเดือนสิบเอ็ดตรงกับวันที่ 4 ที่สำนักอินทรีเลือกเจ้าสำนักคนใหม่ ณ เซี่ยมล้อก็มีการเลือกตั้งประธานคนใหม่แห่งสำนักอีแปะ
อันสำนักอีแปะเป็นสำนักที่ควบคุมเงินตราในยุทธจักรมานานหลายชั่วคนแล้ว แต่อดีีตมา เป็นสำนักที่ดำรงความซื่อตรง
จนกระทั่งบัดนี้...
ที่ลานหมู่บ้าน ชาวบ้านมาชุมนุมกัน แต่ละคนสีหน้าคร่ำเคร่ง หัวร่อมิออก ร่ำไห้มิได้ ราวกับมิได้ขับถ่ายมาหลายวัน
ใครคนหนึ่งกล่าว "เกิดเรื่องใหญ่แล้ว มีการส่งจอมยุทธ์จากสำนักลึกลับไปล้วงลูกสำนักอีแปะ"
"ล้วงลูกเช่นใด?"
"ใช้ฝ่ามือกุมไข่ ล้วงเพื่อให้แต่งตั้งท่านประธานคนใหม่ตามโผ"
"เดี๋ยวนี้ล้วงลูกถึงสำนักอีแปะแล้วหรือไร? สำนักลึกลับนี่ทำได้จริงหรือ?"
"Don't underestimate the power of the dark side."
"แปลว่าอันใด? ท่านผู้อาวุโส"
"เจ้านี่ความรู้ต่ำ เจ้าควรจะอ่านหนังสือมากกว่านี้ หาอ่านหนังสือของสำนักอิกอิกซาก็ได้ หาซื้อมิยาก ราคามิแพง เอ๊ะ! นี่ข้าฯพูดถึงไหนแล้ว?"
"พูดถึงภาษาประหลาด"
"มันแปลว่า จงอย่าประเมินอำนาจของพลังมืดต่ำเกินไป คนพูดคือด๊าดเวเด้อ"
"เขาเป็นอีสานหรือไร? จึงมีเด้อ?"
"หามิได้ เขาเป็นเจ้าสำนักพรรคมารแห่งอวกาศไกลโพ้นโน้น"
"ใจคอเขาจะล้วงจริงหรือ?"
"มิผิด ล้วงจริง ล้วงลึก ล้วงนาน"
"เช่นนี้บรรดาศิษย์สำนักอีแปะมิเสียวแย่หรือ?"
"ย่อมเสียวอย่างยิ่ง อดีตเจ้าสำนักอีแปะหลายคนจึงรวมตัวกันต้านการเสียว เอ๊ย! ต้านการล้วงลูกนี้"
"แล้วต้านสำเร็จหรือไม่?"
"ที่นี่เซี่ยมก๊กนะ ทำ'ไรได้ ทำได้แค่ลากเรื่องออกไปเท่านั้น ทว่ายังมิได้แก้ปัญหาการล้วงลูก เพราะจอมยุทธ์ที่ส่งคนไปชิงตำแหน่งประธานเชี่ยวชาญการล้วงยิ่งนัก ด้วยวิทยายุทธ์การล้วงชั้นสูงของพรรคมาร"
"พวกสำนักลึกลับได้รับวิชาล้วงไข่มาจากที่ใด?"
"เชื่อว่ามันน่าจะเดินตกเหว แล้วค้นพบคัมภีร์ของนางเฒ่าเป่ยหลูซี่ ฉายาแม่เฒ่าสารพัดพิษ แห่งสำนักอั้งม้อ"
"ชื่อคัมภีร์ใด?"
"ชื่อคัมภีร์ แสงทอง เอ๊ย! คัมภีร์ Cage Nail Cold Egg หรือกรงเล็บไข่ยะเยือก"
"ข้าฯได้ยินชื่อแม่เฒ่านี่มานาน ดังอัสนี วสันต์กรอกหู เอ๊ย! ดังอัสนีบาตกรอกหู ถ้าจำมิผิด เป็นแม่เฒ่าที่ชมชอบบีบไข่?"
"คอร์เร็คท์ นางชอบบีบไข่มาก เนื่องเพราะนางฝึกวิชากรงเล็บบีบไข่ จำเป็นต้องหาสิ่งของมาบีบ และบีบมาตลอด ล่าสุดไปบีบไข่สำนักไต้หวัน อันกรงเล็บไข่ยะเยือกเป็นวิชาอันตราย จุดเด่นคือจับไข่คู่ต่อสู้..."
"ท่านหมายถึงทำให้คู่ต่อสู้จับไข้?"
"เจ้าโง่ ความรู้น้อย ข้าฯหมายถึงจับไข่ เจ้าควรจะอ่านหนังสือมากกว่านี้ หาอ่านหนังสือของสำนักอิกอิกซาก็ได้ หาซื้อมิยาก ราคามิแพง เอ๊ะ! นี่ข้าฯพูดถึงไหนแล้ว?"
"จับไข่คู่ต่อสู้"
"อา! ใช่ จุดเด่นของกรงเล็บไข่ยะเยือกก็คือจับไข่ มันเป็นวิชาพลังหยิน จับไข่ผู้ใด มันผู้นั้นก็สั่นสยิวสะท้านทรวง ต้องยอมทำทุกอย่างตามคำสั่งของคนจับไข่ มิเช่นนั้นไข่จะกลายเป็นน้ำแข็ง หลุดร่วงหล่นสู่พสุธา ประหนึ่งใบไม้ร่วงปลิวจากขั้ว"
ชาวบ้านหลายคนอุทานด้วยความตกใจ "อา! ร้ายกาจยิ่ง หวาดเสียวยิ่ง"
"ครานี้มันจะบีบไข่คณะกรรมการสำนักอีแปะ เชื่อว่าคงหนาวสะท้าน ต้านได้ยาก"
"ร้ายกาจยิ่ง นี่ก็คือการยึดอำนาจชัดๆ"
"มิผิด มันก็คือการยึดอำนาจ แล้วจะทำไม ใครจะทำ'ไร"
"ไยสำนักลึกลับต้องการควบคุมสำนักอีแปะ? ไยมิไปคุมสำนักอีคอน เงินทองมากมายเหมือนกัน"
"สำนักลึกลับมิปรารถนาจะเป็นบอส จึงมิสนใจ หมายตาแต่สำนักอีแปะเท่านั้น เนื่องเพราะสำนักอีแปะสามารถกำหนดจำนวนอีแปะทั้งยุทธจักรได้ คุมเงินก็คุมคน คุมคนก็คุมแผ่นดิน"
"แล้วจะทำอย่างไรจึงจะต้านกรงเล็บบีบไข่ล้วงลูกได้?"
"น่าจะยาก เรายอมรับชะตากรรมเถอะ จงจำไว้ ไข่เรามิใช่ของเรา เคี้ยกเคี้ยก"
วินทร์ เลียววาริณ
5-11-242 วันที่ผ่านมา -
ลงเรื่องความไร้สาระของชื่อมงคลและสีรถมงคลแล้ว ว่าจะต่อด้วยที่มาของสีของวัน และความเชื่อเรื่องวัน แต่ขอข้ามไปก่อน เพราะเมื่อวานเห็นข่าวยายวัย 77 ปีแจ้งว่าถูกหมอดูฮวงจุ้ยหลอกทำพิธี สูญเงิน 66 ล้าน
ก็ขอคุยเรื่องฮวงจุ้ยก่อน
ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องจริงหรือหลอก? อำนาจฮวงจุ้ยจริงหรือมั่ว?
ในฐานะอดีตสถาปนิก ผมมีมุมมองที่อาจต่างจากคนอื่น และแน่นอนว่า ไม่คุยเรื่องตรรกะ "ศาสตร์นี้อยู่มาห้าพันปีแล้ว จึงเป็นเรื่องจริง"
ผมเคยคุยเล่นกับเพื่อนสถาปนิกว่า ถ้าลูกค้าแก้แบบบ่อย ทำงานยาก ก็บอกลูกค้าว่านี่เป็นแบบที่ดีแล้ว เพราะมันถูกหลักฮวงจุ้ย อยู่แล้วรวย ชีวิตจะเฮง เท่านี้ลูกค้าก็เงียบกริบ ใครเล่าจะหาญเถียงสู้อำนาจศักดิ์สิทธิ์ ถึงไม่แน่ใจก็อย่าลบหลู่เลย ปลอดภัยไว้ก่อน
ศาสตร์ฮวงจุ้ยกำเนิดในจีนมาราวห้าพันปี ด้วยความเชื่อว่ามันช่วยเสริมสร้างความสุข ความร่ำรวย คุณภาพชีวิตที่ดี หลักการคือการจัดการกับพลังงานทั้งหลายในที่อยู่อาศัยของเรา
พลังงานนี้ก็คือชี่
คำว่า ฮวงจุ้ย (風水) แปลตรงตัวว่า ลมกับน้ำ เพราะหลักการของมันก็คือการรักษาสมดุลการไหลของลมกับน้ำกับพลังงาน
พูดง่าย ๆ ก็คือ หากจัดการสมดุลของเรากับสิ่งแวดล้อมได้ดี ชีวิตก็ดี
ต่างจากโหราศาสตร์และไสยศาสตร์อื่น ๆ หลักการของฮวงจุ้ยส่วนหนึ่งอยู่ในพื้นที่ของวิทยาศาสตร์!
ส่วนที่เป็นวิทยาศาสตร์ก็คือหลักสถาปัตยกรรมศาสตร์นั่นเอง มันเป็นวิทยาศาสตร์เพราะการออกแบบบ้านอาคารตรงตามหลักทิศทางของแดดและลม ย่อมทำให้ผู้อยู่มีความสบาย ความสุข เพราะได้รับลมและเลี่ยงแดดจัดจ้าที่ทำให้ไม่สบายได้
นักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ในเมืองไทย เรียนเรื่องทิศทางลมและแดดที่ส่งผลต่อผู้อยู่อาศัยมาตั้งแต่ปี 1 การวางบ้านเรือนในตำแหน่งที่ถูกทิศ ทำให้บ้านอยู่สบาย ไม่ร้อน ได้รับลมเต็มที่ และไม่ถูกความร้อนของแดดบ่าย เราจึงถูกห้ามออกแบบหน้าต่างด้านตะวันตก แต่เปิดหน้าต่างทิศใต้-เหนือ ให้ลมผ่านได้
วิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ยังสอนให้ใช้น้ำช่วยลดความกระด้างของอาคาร และทำให้เย็นลง สอนการใช้ต้นไม้เพื่อลดความร้อน เพ่ิมออกซิเจน และทำให้อาคารดูดีขึ้น อยู่แล้วสบาย นักศึกษาจึงต้องออกแบบสวน บ่อน้ำ ฯลฯ ไปโดยปริยาย
ในทางสถาปัตย์ คุมเรื่องรูปทรง ตำแหน่ง ทิศ สี ลดมุมแหลมที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย
ปัจจัยเหล่านี้เมื่อใช้ในอาคาร ย่อมนำความสบายมาให้ผู้อยู่ สุขภาพกายและใจดีขึ้น เมื่อกายและใจดี ชีวิตก็ย่อมดี คิดอ่านทำการทำงานก็เจริญ
ดังนั้นการกล่าวว่าการออกแบบอาคารที่ดีช่วยให้ชีวิตดีขึ้นจึงเป็นความจริง แต่เราไม่เรียกสถาปนิกผู้ออกแบบอาคารว่าซินแสฮวงจุ้ย และไม่สามารถคิดค่าออกแบบได้สูงเหมือนซินแสฮวงจุ้ย!
สิ่งที่ผู้ออกแบบฮวงจุ้ยขายก็คือ เรื่องเหนือธรรมชาติ และคิดค่าบริการแบบเหนือธรรมชาติ
ซินแสก็ยกประโยชน์ของวิทยาศาสตร์ให้เป็นของไสยศาสตร์
................
อย่างไรก็ตาม อีกส่วนหนึ่งของศาสตร์ฮวงจุ้ยคือไสยศาสตร์ เช่นเดียวกับไสยศาสตร์ทั่วไป มันต้องพึ่งเครื่องมือหรืออุปกรณ์ช่วยเดินทางลัด
หลักการคือการลดพลังความชั่วร้ายและเสริมสร้างความมงคลโดยการใช้อุปกรณ์พิเศษที่สามารถสื่อพลัง เช่น ยันต์แปดเหลี่ยม สิงโตหิน เสือคาบดาบ เป็นต้น
การวางฮวงจุ้ยในด้านไสยศาสตร์นี้จึงเป็นหลักเดียวกับการแขวนพระเครื่องหรือติดยันต์กันความชั่วร้าย
มองในมุมวิทยาศาสตร์ เป็นไปได้ไหม? คำตอบคือไม่ ด้วยข้อมูลทั้งหมดในวิชาฟิสิกส์ ไม่มีแรงหรือพลังงานใด ๆ ในจักรวาลที่ทำให้มนุษย์โชคดีมีสุข
สมมุติว่ามีแรงหรืออำนาจพิเศษนี้จริง ตามหลักฟิสิกส์ หากกระทำต่อจุดหนึ่งบนโลก ก็ควรได้รับผลเท่ากัน แรงแยกได้อย่างไรว่าส่งผลต่อคน ไม่ส่งผลต่อสัตว์?
ยกตัวอย่างเช่นบ้านนาย ก. เจ้าของโรงฆ่าสัตว์ ปลูกสร้างตามหลักฮวงจุ้ย เจ้าของบ้านประสบความสำเร็จ แต่สัตว์ซึ่งอยู่ที่เดียวกันกลับถูกฆ่าตายหมด
อำนาจศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถทำงานได้หรือหากไม่มีสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ เช่น กระจกเงา ยันต์ ดาบ ทำไมอำนาจศักดิ์สิทธิ์ต้องพึ่งพามนุษย์เพื่อสำแดงพลัง มนุษย์ในยุคที่ยังไม่มีการประดิษฐ์กระจกเงา ยันต์ ดาบ ไม่มีความมงคลใช่หรือไม่
มันไม่มีหลักเกณฑ์สากลในการเลือกชนิดสัตว์และวัตถุมงคล
หากโลกนี้ไม่มีเสือ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ทำงานผ่านเสือก็ไม่มีหรือ? อำนาจศักดิ์สิทธิ์ต้องรอจนโลกมาถึงจุดที่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น เสือ สิงโต เกิดขึ้นในโลกก่อน จึงจะเริ่มกระบวนมงคลได้เช่นนั้นหรือ? ทำไมอำนาจศักดิ์สิทธิ์จึงทำงานผ่านเสือ สิงโต ทำไมไม่ทำงานกับลิง ไก่ หมู นกตะกรุม อีแร้ง? เพราะเสือสิงโตดูสง่างามและน่าเกรงขามกว่านกตะกรุม อีแร้ง?
ที่ขันขื่นก็คือสัตว์มงคลเหล่านี้ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ สิงโตและเสือเป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครอง กำลังใกล้สูญพันธุ์ เพราะถูกล่าเป็นว่าเล่น แอฟริกาซึ่งเป็นที่อยู่ของสิงโตจำนวนมากกลับเป็นภูมิภาคที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ถ้าเสืออยู่ดี ๆ ในป่า แล้วมีคนไปล่า เราจะพึ่งอำนาจพิเศษของมันได้หรือ? เช่นที่เราไปหาพระเพื่อล้างซวย ถ้าลูกวัดบอกว่าพระรูปนั้นเพิ่งตกบันได ฟันหักสองซี่ วันก่อนนั้นไปเยี่ยมโยมแม่ ไฟไหม้บ้านโยมแม่ มีคนนิมนต์ออกจากวัดไปสวดที่อื่น รถก็เกิดอุบัติเหตุ เรายังอยากไปล้างซวยกับพระรูปนั้นไหม
ถ้าไปหาหมอให้ช่วยลดความอ้วน หมอตัวอ้วนใหญ่ หายใจหอบเพราะพุงหนาหลายชั้น เราคงไม่อยากให้หมอคนนั้นรักษา
ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเสือสิงห์ยังเอาตัวไม่รอด มันจะช่วยเราให้รอดได้อย่างไร
อีกจุดหนึ่งที่ผู้เชื่อเรื่องฮวงจุ้ยอาจไม่ได้คิดก็คือ การสะท้อนแรงชั่วร้ายออกไปจากตนหรือบ้านตน ก็คือการทำร้ายคนอื่นนั่นเองมิใช่หรือ? ถ้าใช่ นี่เป็นศาสตร์ที่เสริมความมงคลหรือความเห็นแก่ตัว? ถ้าใช่ ชีวิตเราจะได้บุญได้อย่างไรจากการทำร้ายคนอื่น?
เห็นชัดว่าเรากำลังใช้การเสริมความเห็นแก่ตัวเป็นมงคลของชีวิต
มุมวิทยาศาสตร์เดียวที่อธิบายเรื่องฮวงจุ้ยในมุมไสยศาสตร์ก็คือ Placebo Effect
มันเป็นผลทางจิตวิทยา เมื่อสบายใจ รู้สึกปลอดภัย ทุกอย่างก็ดี
ณ วันนี้จุดขายของฮวงจุ้ยเน้นที่ไสยศาสตร์ เป็นการตลาดธรรมดาที่เล่นกับความเชื่อง่ายของผู้คนผู้ไม่ตั้งคำถามหรือคิดจะตรวจสอบ
หากใช้ฮวงจุ้ยในด้านวิชาการของการออกแบบทางสถาปัตยกรรม ก็ทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่หากใช้ฮวงจุ้ยในด้านไสยศาสตร์ มันก็ไม่ต่างจากความงมงายอื่น ๆ ที่ใช้ความโลภและความเห็นแก่ตัวเป็นเข็มทิศชีวิต
จากหนังสือ หลับถึงชาติหน้า / วินทร์ เลียววาริณ
5-11-24(หนังสือเล่มนี้อธิบายความเชื่อเหลวไหลแบบนี้ทั้งหมด ซื้อเล่มเดียว ประหยัดค่าหมอดูตลอดชีวิต ใช้ได้ถึงลูกถึงหลาน https://www.winbookclub.com/store/detail/168/หลับถึงชาติหน้า)
2 วันที่ผ่านมา -
ปีนี้เป็นที่ 20 ของโครงการเติมหัวใจใส่ห้องสมุด
อีกรอบและอีกรอบ อีกครั้งและอีกครั้ง วันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา โครงการเติมหัวใจใส่ห้องสมุด ได้ส่งมอบหนังสือ สร้างชาติจากศูนย์ จำนวน 2,012 เล่ม มูลค่า 643,840.-บาท เข้าสำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ เรียบร้อยแล้ว
งานนี้ไม่มีทางมาถึงจุดนี้หากปราศจากสปอนเซอร์หลายท่าน ได้แก่
บริษัท วิลล์ ชิลล์ จำกัด
บริษัท บุญครอง (2485) จำกัด
บริษัท แมกซิแมกซ์ โปร จำกัด
ครอบครัวคันธารวงสกุล
คุณนฎา กล้วยไม้
ครอบครัวอัศว์วิเศษศิวะกุล
อาจารย์นงนภัส ตาปสนันทน์
แป้ง รูปขจร ป๋อมแป๋ม
สิริพร ฐิติวราภรณ์
ชัยพร ไชยวงศ์สุริย และครอบครัว
ครอบครัวโภคะกุล
นายใจเทียน-นางเง็กลั้ง ไพบูลย์และครอบครัว
ครอบครัว สิริศิรวิชญ์
สุระเมษฐ์ สิริศิรวิชญ์
ครอบครัวลิ้มไพบูรณ์
ครอบครัวรัตนะเจริญธรรม
วันมาตา ขจรเดชกุล
รังสรรค์ สกุลยง
ธเนศวร์ วงศ์ธัญญกรณ์
วีณา เอื่ยมวัฒนไพสิน
สำนักพิมพ์ 113
และผู้ไม่ประสงค์จะออกนามจนถึงเดือนตุลาคม 2567 โครงการเติมหัวใจ ใส่ห้องสมุด ได้บริจาคหนังสือไปแล้วรวม 222,406 เล่ม เป็นมูลค่าหนังสือ 47,768,085.-บาท
ผมทำโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2547 ถือเสมอว่าชีวิตได้ดีเพราะห้องสมุด อยากคืนกำไร ส่งความรู้ให้คนในประเทศ
ทุกครั้งที่ผลิตหนังสือใหม่ ผมจะส่งหนังสือใหม่นั้นเข้าห้องสมุดทั่วประเทศด้วย โดยแรงช่วยเหลือของสปอนเซอร์ที่ถือปรัชญา 'คืนกำไรให้สังคม' เหมือนกัน
ดังนั้นใครไม่สะดวกซื้อ ก็อ่านฟรีได้จากห้องสมุด และเพจนี้
แต่หากใครมีปัญญาซื้อหนังสือได้ ก็ช่วยซื้อ เพื่อให้นักเขียนสามารถผลิตงานและทำโครงการห้องสมุดต่อไปได้
ก็บอกกันตรงๆ อย่างนี้แหละ เพราะสำนักพิมพ์นี้ไม่ได้เปิดมาเพื่อทำกำไรสูงสุด แต่ช่วยๆ กัน
ในยุคที่คนอ่านหนังสือน้อยลง เรายิ่งต้องช่วยกันเดินหน้าไปด้วยกัน เพราะเลิกอ่านหนังสือเมื่อไร ลมหายใจประเทศก็หยุดเมื่อนั้น
วินทร์ เลียววาริณ
4 พฤศจิกายน 25673 วันที่ผ่านมา -
ฟันธงผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ!
4 วันที่ผ่านมา